นายน้อยอวี๋อยากจะงัดข้อกับเฉิงชิงผู้มีความคิดอันซับซ้อนอีกสักครั้ง แต่ติดก็ตรงหาตัวอีกฝ่ายได้ไม่ง่ายนัก
เฉิงชิงเองก็ไม่ได้โง่ เพิ่งไปตบหน้าบ้านรองมาแล้วยังจะอยู่ด้านนอกทั้งวัน กลัวบ้านรองจะมาเอาคืนไม่สะดวกหรืออย่างไร?
ถึงไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่ตายเสียหน่อย นางยังคงหวังที่จะมีชีวิตรอดไปสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋อยู่นะ!
หลังจากตั้งใจถือเงินไปคืนบ้านรองอย่างเอิกเกริกแล้ว ไม่ว่าผู้คนภายนอกจะวิพากษ์วิจารณ์บ้านรองอย่างไร จะเวทนาต่อบ้านของนางอย่างไร เฉิงชิงก็ไม่สนใจทั้งสิ้น
นางเพียงปิดประตูอ่านตำราอยู่ในบ้าน ไม่รู้ว่าสถานศึกษาหนานอี๋จะสอบอะไรบ้าง แต่มาตรฐานอย่างน้อยก็คือการอ่านสี่ตำราที่นางหลี่มอบให้จนครบถ้วน
ถึงแม้ตำราที่นางหลี่มอบให้จะเป็แบบที่มีอรรถาธิบายประกอบแล้ว แต่เฉิงชิงก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
‘ราชวงศ์เว่ย’ นี้กลับเป็ราชวงศ์ที่เฉิงชิงไม่คุ้นเคย ผู้ชนะใน่เวลาที่บ้านเมืองวุ่นวายใน่ยุคของราชวงศ์ิกลับเป็ผู้สถาปนาราชวงศ์เว่ยแซ่เซียว หาใช่ิไท่จู่[1]ไม่
ประวัติศาสตร์่ก่อนหน้าปลายราชวงศ์หยวนก็เหมือนกับที่เฉิงชิงเข้าใจ
ราชวงศ์เว่ยนั้นเหมือนกับราชวงศ์ิ ไม่ว่าจะระบบการสอบเข้ารับราชการหรือรูปแบบสังคม สี่ตำราก็ยังคงเป็หนังสือสี่เล่มนั้นที่เฉิงชิงคุ้นเคย ที่นางเอ่ยว่าไม่เคยศึกษามาก่อนล้วนเป็เื่ไร้สาระ ในหนังสือวิชาภาษาและวรรณกรรมมักมีการคัดเลือกประโยคเด่นในตำราหลุนอวี่ มาให้คนรุ่นหลังกล่าวตาม
แต่หากจะนำความเข้าใจในคำอธิบายง่ายๆ พวกนั้นมาใช้สอบในการสอบเข้ารับราชการของราชวงศ์เว่ย ก็ถือว่าเป็การดูถูกระดับความยากของการสอบเข้ารับราชการแล้ว
เมื่อไม่มีอาจารย์ที่ดีคอยชี้แนะ ขั้นตอนการร่ำเรียนด้วยตนเองของเฉิงชิงก็เป็ไปอย่างยากลำบาก
แต่นางยังคงมีความเข้าใจแบบผู้ใหญ่อยู่ หากต้องเปลี่ยนเป็เด็กที่ทั้งอ่อนวัยและยังไม่ได้เรียนรู้เื่ราวใดๆ มาศึกษา ก็คงเป็เื่ที่ชวนปวดหัว ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี
ต้องขอบคุณที่เฉิงจือหย่วนเริ่มสอนหนังสือให้ ‘เฉิงชิง’ มิเช่นนั้นพอนางหยิบตำราที่เต็มไปด้วยตัวอักษรโบราณเหล่านี้ คาดว่าแม้แต่จะอ่านจนจบประโยคก็คงทำไม่ได้!
เฉิงชิงปิดประตูเก็บตัว ทุกวันยามเหม่า[2]จะตื่นขึ้นมาเป็คนแรก แล้วจึงค่อยพักผ่อนในยามไฮ่[3] ถ้าเปลี่ยนเป็ระบบยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็คือตื่นนอนตอนตีห้า ห้าทุ่มจึงค่อยพักผ่อน หนึ่งวันมีสิบสองชั่วยาม นางไม่ได้ละมือจากตำราเลยเจ็ดถึงแปดชั่วยามเป็อย่างต่ำ
นางหลิ่วและพี่สาวทั้งสามเ็ปใจเป็อย่างมาก
เมื่อได้ยินเสียงท่องตำรา จิตใจของนางหลิ่วก็ยิ่งเ็ปที่บุตรสาวต้องมาร่ำเรียนอย่างยากลำบาก ทุกวันเฝ้าแต่คิดหาวิธีบำรุงร่างกาย ฝ่ายเฉิงกุยก็หาโอกาสมาพบนางหลิ่วเพื่อแสดงละคร ถ่อมาถึงตรอกหยางหลิ่วด้วยตนเองเพื่อขอขมา
นางหลิ่วทำตามที่เฉิงชิงกำชับ รับคำขอโทษเอาไว้ ส่วนของขวัญก็ยืนกรานให้เฉิงกุยนำกลับไป
เมื่อเห็นเฉิงกุยมาขอโทษอย่างระมัดระวัง พี่สาวทั้งสามของเฉิงชิงก็คลายความโกรธลงไม่น้อย
น้องชายช่างมีความสามารถ เรียกให้คนบ้านเดิมมาก้มหัวได้ด้วย!
ส่วนเฉิงชิงไม่ออกมาพบแขกเลยสักครั้ง ยังคงเก็บตัวอ่านตำราอย่างยากลำบากอยู่้า
เฉิงกุยที่อยู่ด้านล่างพอได้ยินเสียงท่องตำราสักพักหนึ่งก็อดหัวเราะไม่ได้ ที่แท้เฉิงชิงก็ไม่ได้หลอกท่านย่า เขาไม่เคยศึกษาสี่ตำราอย่างแท้จริง ยามนี้เพิ่งเริ่มท่อง ‘ตำราหลุนอวี่’
มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแล้วอย่างไรเล่า พื้นฐานการเรียนย่ำแย่ ระยะห่างก็ห่างจากเขาอยู่มากโข… ระยะห่างของทั้งสองคนก็จะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เพราะปีหน้าเขาก็จะเข้าร่วมสอบการสอบระดับมณฑลแล้ว ถ้าสอบผ่านก็จะได้เป็บัณฑิตจวี่เหริน
ส่วนเฉิงชิง พอออกทุกข์เสร็จก็เพิ่งจะเข้าร่วมการสอบเพื่อเป็บัณฑิตถงเซิง[4] พอสอบเสร็จถึงจะสอบเพื่อเป็ซิ่วไฉ
เมื่อความรู้ห่างกันหกเจ็ดปีขนาดนี้ คิดจะเร่งม้าอย่างไรก็ตามระดับของเขาตอนนี้ไม่ทันหรอก!
เฉิงกุยมาติดต่อกันเจ็ดแปดวัน ข้อเท้าของนางหลิ่วก็หายดีแล้ว คนบ้านเฉิงก็ไม่ต้องไปร้านขายยาซื้อยาขี้ผึ้งแก้ฟกช้ำมาทาอีก เฉิงกุยจึงแสดงท่าทีห่างเหิน ไม่ได้มาเยี่ยมอีก
ตลอดหลายวันที่เฉิงกุยมา เฉิงชิงก็ท่องแต่ตำราหลุนอวี่จนจบ เด็กหนุ่มไม่มองเฉิงชิงเป็คู่แข่งระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อนายน้อยอวี๋ที่หาตัวเฉิงชิงไม่พบ ได้ยินถึงความคืบหน้าด้านการเล่าเรียนของเฉิงชิงก็หัวเราะจนปวดท้อง
“ขนาดระดับยังเทียบไม่ได้กับนายน้อยอย่างข้า ยังคิดจะสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋อีก? ข้าจะรอดูเขาที่สถานศึกษาหนานอี๋ เมื่อถึงการสอบเข้าเข้าศึกษาในเดือนหก หากว่าเขาสามารถใช้ความสามารถของตนเองสอบเข้าสถานศึกษามาได้ นายน้อยอย่างข้าจะไปขออภัยเขา!”
ข่าวลือที่นายน้อยอวี๋ปล่อยไว้ด้านนอกลอยมาถึงหูของเฉิงชิง นางพลันหัวเราะ
เื่ขี่ม้าขู่ขวัญคน นางไปเอาคืนกับบ้านรองแล้ว ส่วนประวัติความเป็มาของนายน้อยอวี๋ นางเองก็ได้สอบถามมาอย่างชัดเจน คุณชายแห่งตระกูลเ้าเมืองเซวียนตู ถ้าเป็ยุคปัจจุบันก็คือลูกชายของนายกเทศมนตรี เป็บุตรหลานในตระกูลขุนนางอย่างแท้จริง… ช้าเร็วอย่างไรนางก็จะเอาคืนการหยอกล้อของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสอบผ่านการสอบเข้าของสถานศึกษาหนานอี๋ ไม่อาจเบนความสนใจไปยังนายน้อยอวี๋ผู้นี้ได้
หาก้าได้รับความเคารพจากผู้อื่น ก็ต้องให้ตนเองมีกำลังเสียก่อน
ถ้าขนาดสอบเข้าสถานศึกษายังไม่สำเร็จ แล้วนางจะเอาอะไรมาทำให้คนในตระกูลเห็นความสำคัญ!
นางวางแผนจะเข้าร่วมการสอบเข้าในเดือนหก ขณะนี้ปลายเดือนสี่แล้ว เฉิงชิงบอกตัวเองว่าไม่ต้องกระวนกระวายไป สงบจิตใจแล้วศึกษาต่อเถิด
ทุกวันนี้นอกจากจะท่องตำราแล้วยังจัดเวลาออกกำลังกายให้กับตนเอง แต่นางก็ยังไม่ออกไปไหน ทำเพียงแค่เดินไปเดินมาอยู่ตรงลานกลางบ้าน หากเหงื่อยังไม่ออกจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม นางจะไม่หยุดเดิน ส่วนนางหลิ่วเองก็นำสมุนไพรที่บ้านห้ามอบให้มาผสมในอาหาร ตลอด่การร่ำเรียนอันยากลำบากสองเดือนมานี้ ร่างกายของเฉิงชิงไม่เพียงไม่ทรุดโทรมลง บนใบหน้ากลับมีเืฝาดอย่างคนสุขภาพแข็งแรง
“ลูกข้า สีหน้าของเ้าดีขึ้นมากเลย!”
นางหลิ่วพึงพอใจมาก
ก่อนหน้าที่เฉิงชิงจะเจ็บป่วย ผิวก็ค่อนข้างขาวอยู่แล้ว พออาการป่วยหนักกัดกินร่างกาย ใบหน้าเล็กๆ ยิ่งซีดเหลืองราวเทียนไข
หลังจากปิดประตูไม่ออกมาพบเจอผู้คนอยู่สองเดือน อาการเจ็บป่วยก็หายไป สีหน้าดีขึ้น สีผิวก็เปลี่ยนกลับไปเป็สีขาวอีกครั้ง
นางหลิ่วไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกของเฉิงชิง สิ่งที่นางสนใจคือให้ร่างกายของเฉิงชิงแข็งแรง
เฉิงชิงส่องคันฉ่องสัมฤทธิ์อยู่นาน เค้าโครงใบหน้ายังไม่โตเต็มวัย ใบหน้านี้จำแนกไม่ออกว่าเป็ชายหรือหญิง อีกทั้งนางี้เีจะไปทำให้ตัวเองผิวแทนแล้ว… ไม่จำเป็ แคว้นเว่ยก่อตั้งมาหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าปี มีความรุ่งเรืองสงบสุข อำเภอหนานอี๋ยังดี ได้ยินว่าในแถบทางใต้ที่แวดวงการค้าเจริญก้าวหน้า ผู้ชายมองว่าการผัดแป้งทัดดอกไม้คือความงาม!
หากนำสีผิวของเฉิงชิงนี้ไปเทียบกับภายในสถานศึกษาก็ไม่ถือว่าดึงดูดสายตา เพราะในศิษย์สิบคน มีคนที่ขาวกว่านางไปแล้วเก้าคน
เฉิงชิงวางใจแล้ว
ร่ำเรียนอย่างยากลำบากมาสองเดือน นางถึงค่อยออกมาจากห้องใต้หลังคา ประกาศว่าตนสิ้นสุดการเก็บตัวแล้ว
บุตรสาวคนโตถามนางว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะสอบผ่านเข้าไปเรียนในสถานศึกษา เฉิงชิงยิ้มพลางพยักหน้า “ข้าจะลองดูอย่างเต็มที่!”
เมื่อนางออกมาก็ไปยังบ้านห้า ขอบคุณนางหลี่ที่ได้มอบตำราให้ อีกทั้งแสดงท่าทีว่าตนเองเตรียมพร้อมดีแล้วสำหรับการสอบเข้าของสถานศึกษา นางหลี่แนะนำนางว่าไม่ต้องรีบเร่ง ดูแลรักษาสุขภาพของตนเองก่อนค่อยคิดเคร่งเครียด
“ท่านย่าขอรับ เวลามีค่าดั่งทอง หากข้าปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปแม้แต่นิด ถือว่าไม่รับผิดชอบต่ออนาคตภายหน้าของตนเอง ข้าอยากจะลองดูสักครั้ง”
หลังจากเผชิญเหตุร้ายไม่คาดฝันแล้ว เด็กคนนี้โตเกินวัยเหลือเกิน
ผ่านไปสองเดือน คดีของเฉิงจือหย่วนก็ยังไม่คลี่คลายเช่นเดิม ใต้เท้าข้าหลวงใหญ่จางก็ไปจากเมืองเหอไถกลับสู่เมืองหลวงแล้ว… แววตาของนางหลี่ที่มองเฉิงชิงอยู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเวทนา
“ถ้าเช่นก็ไปลองดูสักหน่อย สอบไม่ผ่านก็ไม่เป็ไร สถานศึกษาหนานอี๋หาใช่การสอบเข้ารับราชการ ครั้งนี้สอบไม่ผ่าน อีกสามเดือนก็สามารถสอบใหม่อีกครั้ง เ้าไม่ต้องกดดันตัวเองจนเกินไป”
เฉิงชิงเอ่ยขอบคุณความเป็ห่วงของนางหลี่
นางไม่ได้สอบถามเกี่ยวกับคดีของเฉิงจือหย่วน ยามนี้ยังไม่มีข่าวอะไรก็ถือว่าเป็ข่าวดี หากราชสำนักตัดสินว่าเฉิงจือหย่วนมีความผิด ข่าวย่อมแพร่มาถึงอำเภอหนานอี๋นานแล้ว แต่นี่ยังไม่มีคนวิพากษ์วิจารณ์อะไร เช่นนั้นก็ยังคงถึงทางตันเช่นเดิม
เฉิงชิงวางแผนไว้แล้ว รอหลังจากการสอบเข้าศึกษาของสถานศึกษาหนานอี๋แล้ว นางจะมาสนทนากับท่านนายท่านห้าเฉิงสักครั้ง
ทว่าจนตอนนี้ นายท่านห้ายังคงไม่ยอมพบนาง
เฉิงชิงเข้าใจดี
การเป็ผู้นำตระกูลนั้นยุ่งนัก ถ้าใครอยากพบก็ได้พบ เช่นนั้นนายท่านห้าเฉิงก็เหนื่อยตายกันพอดี!
เมื่อได้ยินว่าเฉิงชิงเตรียมพร้อมดีแล้วสำหรับการสอบเพื่อเข้าศึกษาของสถานศึกษาในเดือนหก ฮูหยินผู้เฒ่าจูก็เริ่มตัดแต่งกิ่งดอกไม้อีก
“แม่นมโจว ชิงเกอเอ๋อร์อายุยังน้อย ร่ำเรียนอย่างหนักมาสองเดือนย่อมทำให้สุขภาพย่ำแย่เป็แน่ เ้านำน้ำแกงบำรุงไปส่งให้เขาเสียหน่อย”
แม่นมโจวก้มหน้ารับคำ
ตามความคิดของแม่นมโจว เดิมฮูหยินผู้เฒ่าไม่จำเป็ต้องกระวนกระวายใจ ในเมื่อสุดท้ายแล้วเฉิงชิงสอบเข้าเรียนในสถานศึกษาไม่ผ่านอยู่แล้ว ไหนจะเมื่อเปรียบเทียบกับระดับของนายน้อยเฉิงกุยแล้วก็ยังถือว่าห่างไกลกันนัก
แต่ครั้งก่อนเฉิงชิงได้ทำลายชื่อเสียงของนายน้อยเฉิงกุย ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเกรี้ยวอย่างแท้จริง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ยินดีที่จะเห็นเฉิงชิงโผล่หัวออกมาแม้แต่น้อย
แม่นมโจวถอนหายใจจากส่วนลึกของจิตใจ ฮูหยินผู้เฒ่าคือนายส่วนนางเป็บ่าว คำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า นางจะกล้าไม่ทำตามได้อย่างไร?
ถ้าจะโทษ ก็โทษที่โชคชะตาของเฉิงชิงไม่ดีเอง ไม่ได้เกิดมาเป็หลานชายแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า!
[1] ิไท่จู่หรือจักรพรรดิหงอู่ คือปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ิ
[2] ยามเหม่า คือ่เวลาั้แ่ 05.00 น. ถึง 06.59 น. ตามการนับเวลาแบบจีนโบราณ
[3] ยามไฮ่ คือ่เวลาั้แ่ 21.00 น. ถึง 22.59 น ตามการนับเวลาแบบจีนโบราณ
[4] บัณฑิตถงเซิง คือผู้สอบผ่านการสอบระดับอำเภอและระดับเมือง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้