วันนี้บิดาลู่ทำตัวแปลกไปจากทุกวันที่พูดน้อยและหดหู่ เขากรอกสุราเข้าปากตนเองไปหลายชาม พูดหัวเราะเสียงดัง คล้ายว่าจะสลัดความเ็ปจากการสูญเสียภรรยาไปให้หมดสิ้น พยายามกระตือรือร้นมุ่งสู่ชีวิตใหม่ที่รออยู่ แต่น่าเสียดายที่ทุกคนต่างมองเห็นว่าความแข็งแกร่งที่เขาสร้างขึ้นมาห่อหุ้มตัวไว้เป็เพียงกระดาษแผ่นบางที่จิ้มเพียงนิดเดียวก็ฉีกขาดได้...
เป็ไปตามคาด ไม่ถึงสองเค่อ บิดาลู่ก็เมามาย น้ำหูน้ำตาไหลหมดสภาพ แม้จะถูกประคองขึ้นไปนอนบนตั่งแล้ว เขาก็ยังเอื้อมมือไปไปหยิบโถลายครามในตู้มาถือเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ต่อให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็คนโง่ก็เดาได้ว่าสิ่งที่ถูกใส่ไว้ในโถคืออะไร มิน่าเล่ายามปกติไม่ใคร่จะเห็นบิดาลู่เดินทางไปที่หลุมศพเท่าใดนัก ที่แท้เขาก็เอาสิ่งนั้น...มาไว้อยู่ที่บ้านนี่เอง
ทุกคนสบตากันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร ความจริงแล้วภรรยาของผู้อื่น ผู้อื่นคิดจะทำพิธีอย่างไรก็ย่อมได้ คิดจะเก็บเอาไว้ที่บ้านก็ไม่ใช่กงการอะไรของพวกเขา
แต่นี่ก็ดูไม่ค่อยเป็มงคลอยู่บ้าง และพอดีกับที่ทุกคนกินอิ่มกันแล้ว จึงพากันลุกขึ้นขอตัวลากลับ
ลู่เสี่ยวหมี่กำลังยุ่งอยู่ในครัว เห็นชาวบ้านทยอยกันกลับไปก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ท่านป้าหลิวได้ยินเื่ราวมาจากทางสามี จึงมาบอกกล่าวแก่เสี่ยวหมี่สองสามประโยค
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่พูดอะไร สุดท้ายก็ต้มน้ำแกงสร่างเมาให้พี่สามยกไป ส่วนเหตุผลที่ไม่ให้พี่ใหญ่ลู่ยกไป เป็เพราะนางให้เขาเอาแป้งทอดไปแจกจ่ายที่ประตูทิศใต้
ในตอนที่ท้องฟ้ามืดสนิท ในที่สุดพี่ใหญ่ก็บังคับเลื่อนกลับมาพร้อมกับหลิวเสี่ยวเตา
ตอนออกไปพี่ใหญ่ลู่สวมเสื้อคลุมขนแกะ หมวกขนหมาป่า และรองเท้าผ้าฝ้ายอีกคู่หนึ่ง แต่เมื่อกลับมาถึงกลับเหลืออยู่เพียงเสื้อตัวใน...
ขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับอากาศหนาวจนร่างแทบแข็ง ลู่เสี่ยวหมี่ก็เห็นพี่ชายที่บริจาคสิ่งของจนตัวเองแทบแข็งตายกลับมาบ้าน เห็นเช่นนั้นแล้วนางก็ไม่มีแรงจะพูดอะไรอีก
ในที่สุดงานครบรอบร้อยวันอย่างยิ่งใหญ่ของไป๋ซื่อก็เสร็จสิ้นลง
ลู่เสี่ยวหมี่จัดการเก็บกวาดในครัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เรียกท่านลุงหยางให้มายกยาที่ต้มเสร็จแล้วไป จากนั้นก็เดินไปปิดประตูเรือน จู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยล้าจับใจ
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่างเปล่าอย่างอธิบายไม่ได้ บิดาที่เกียจคร้านและแปลกประหลาด พี่ใหญ่ที่มีจิตใจเมตตาเกินไป พี่รองที่มีแต่พละกำลัง และพี่สามที่เป็บัณฑิตยากจน
ราวกับว่ามีบางอย่างในความมืดกำลังถักทอตาข่ายอย่างช้าๆ ส่วนนางก็เป็เหยื่อที่ตาข่ายนั้น้าจับ
ไม่รู้ลมหิมะพัดมาอีกครั้งั้แ่เมื่อใด หิมะสีขาวราวขนห่านค่อยๆ โปรยลงมาแลดูงามสง่า น่าเสียดายที่ถูกลมเหนืออันเกรี้ยวกราดพัดโหมอย่างรุนแรงจนจังหวะสั่นคลอน แล้วตกลงมาบนพื้นในสภาพไม่ค่อยสง่างามนัก
ลู่เสี่ยวหมี่กำมือแน่น สูดเอาอากาศหนาวเย็นเข้าไปเต็มปอด ชาติก่อนยากลำบากขนาดนั้นนางยังดิ้นรนผ่านมาได้ ชาตินี้มีครอบครัว มีคนในหมู่บ้านที่เอื้ออาทร มีความทรงจำในชาติก่อนคอยช่วยเหลือ แค่ถังหูลู่ไม้เล็กๆ ยังหาเงินมาใช้ในครอบครัวได้ถึงครึ่งปี ยังมีอะไรให้ต้องกลัวอีก
ไม่ว่าเื่อะไรก็ไม่อาจขัดขวางเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของนางที่อยากจะร่ำรวย มีกินมีใช้ไปชั่วชีวิตได้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรนางจะฝ่าฟันไปให้หมด
หน้าต่างของเรือนพักฝั่งตะวันออกไม่รู้ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่งั้แ่เมื่อใด แสงเทียนจากด้านในลอดผ่านออกมาฉายกระทบไปยังแม่นางน้อยที่กำลังกำหมัดขึ้นฟ้าอย่างห้าวหาญพอดี
เกาเหรินนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้าต่างเห็นแล้วก็อดกลอกตามองบน หัวเราะพรืดออกมาไม่ได้
เฝิงเจี่ยนโยนตำราทิ้งก่อนปิดหน้าต่าง จากนั้นกล่าวว่า “เข้านอนเถอะ”
ผู้เฒ่าหยางย่อมรับคำอย่างเชื่อฟัง ส่วนเกาเหรินนั้นยังตายังกลอกกลิ้งไปมา มองไปยังช่องหน้าต่างไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่...
หิมะดุจขนห่านชุดใหญ่ตกหนักทั้งคืน ใครหลายคนเคยได้ยินคำเปรียบเปรยนี้ แต่มีคนน้อยนักที่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
หากว่าบ้านที่พักอาศัยเป็บ้านหลังเล็กเตี้ย หิมะขนห่านชุดใหญ่ตกลงมาทั้งคืนก็ทำให้แทบจะเปิดประตูบ้านไม่ได้ หากว่าบังเอิญด้านหลังบ้านมีต้นไม้อยู่สองต้น คอยกันลมเหนือไว้ เช่นนั้นหิมะที่สะสมอยู่ระหว่างใต้หลังคาจนถึงพื้นก็ยังมากพอให้บรรดาเด็กซุกซนเอาเลื่อนมาไถลแข่งกันได้
ต้องขอบคุณท่านปู่ลู่ผู้นั้น เรือนสกุลลู่ใหญ่โตที่สุดในหมู่บ้านเขาหมี จึงไม่มีสภาพน่าอนาถเช่นนั้นเกิดขึ้น
แต่คนในบ้านสกุลลู่กลับก่อปัญหาไม่หยุดหย่อน เดิมทีวันลาในฤดูหนาวของพี่สามลู่หมดลงแล้วก็ควรกลับไปศึกษาต่อที่สำนัก
พูดถึงสำนักศึกษาที่พี่สามลู่ศึกษาอยู่ก็นับว่ามีชื่อเสียงในแคว้นต้าหยวน เป็หนึ่งในสี่สำนักศึกษาใหญ่ แน่นอนว่าหนึ่งในเหตุผลหลักเป็เพราะว่าที่นั่นคือสำนักศึกษาแห่งเดียวของภาคเหนือ เป็สำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงดีและอาจารย์ผู้สอนสั่งก็มีวิชาความรู้
พี่สามลู่มีพร์ในการเรียนหนังสือมาแต่ยังเล็ก สามปีก่อน เขาสอบผ่านเป็ซิ่วไฉด้วยอายุเพียงสิบสองปี ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็พร้อมจะเข้าสอบจวี่เหรินแล้ว
ยามนี้กำลังเป็่เวลาสำคัญของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ เดิมทีเพราะงานร้อยวันของไป๋ซื่อจึงเสียเวลาไปหกเจ็ดวันแล้ว หากยังไม่รีบกลับไปศึกษาต่อ ก็เป็ไปได้ว่าบรรดาอาจารย์ที่นั่นจะพากันคิดว่าเขาเป็คนเกียจคร้านไม่มุมานะ
ดังนั้น เมื่องานร้อยวันเสร็จสิ้นลง ลู่เสี่ยวหมี่ก็รีบจัดสัมภาระให้พี่สามลู่ทันที เตรียมการจะให้พี่รองที่หนังหนาทนทานต่ออากาศหนาวเดินทางไปส่งเขาที่สำนักศึกษา
ถึงแม้อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ทางสำนักศึกษาก็จะอนุญาตให้นักศึกษากลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้าน คราวนี้กลับไปอีกไม่นานก็ยังต้องกลับมาอีก แต่ลู่เสี่ยวหมี่ก็ยังจัดเตรียมสัมภาระมากมายให้พี่สามของนาง
ตัวนางไม่ค่อยรู้จักแคว้นต้าหยวนมากนัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การมีเงินอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ยังต้องมีความสามารถที่จะรักษามันเอาไว้ให้ได้ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็ดั่งหมูรอคนมาเชือด ยิ่งร่ำรวยมากเท่าไรก็ยิ่งตกเป็เป้ามากขึ้นเท่านั้น
ในอนาคต หากแผนการสู่ความร่ำรวยของนางประสบผลสำเร็จ นางไม่กล้าพูดว่าตนจะได้เป็เศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งต้าหยวน แต่จะต้องโดดเด่นในเมืองเล็กๆ อย่างอันโจวนี้ได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นก็คงจะถูกเพ่งเล็งไม่น้อย หากสกุลลู่ไม่มีใครรับราชการคอยเป็ที่พึ่งให้ตระกูล เกรงว่าจะมีแต่ปัญหาตามมา
ดังนั้น การศึกษาเล่าเรียนของพี่สามลู่จึงเป็เื่สำคัญของคนทั้งตระกูลลู่
แน่นอนว่า ต่อให้จะสลัดเื่พวกนี้ออกไปทั้งหมด นางในฐานะน้องแท้ๆ ช่วยตระเตรียมข้าวของให้พี่ชายที่กำลังจะออกเดินทางไกลก็ถือว่าเป็เื่ที่สมควรแล้ว
การเดินทางในฤดูหนาว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คืออาภรณ์บางและเสบียงเย็นชืด
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่ถนัดงานเย็บปัก สุดท้ายจึงต้องรบกวนป้าหลิวอีกครั้ง โดยครั้งนี้ใช้ขนไก่และหนังกระต่ายในการทำ
ต้องใช้ไก่มากถึงสามสิบกว่าตัวถึงจะรวบรวมขนได้หนึ่งจินกว่า ลู่เสี่ยวหมี่ลังเลเป็อย่างมาก สุดท้ายก็ตัดสินใจทำกางเกงฝ้ายที่ด้านในบุขนขึ้นมาสองตัว ตัวหนึ่งให้เฝิงเจี่ยน อีกตัวหนึ่งให้พี่สามของนาง
ส่วนหนังกระต่ายนั้นไม่นับว่าหายากอะไร ใช้หนังกระต่ายสิบกว่าตัวเย็บต่อกันก็ทำเสื้อคลุมกันลมขึ้นมาได้หนึ่งตัวแล้ว และต่อให้ต้องเพิ่มหมวกและถุงมือขึ้นมาอีกคู่หนึ่งก็ใช้ไม่เกินยี่สิบตัวแน่นอน
เรือนหลังของบ้านสกุลลู่มีลู่เสี่ยวหมี่พักอยู่คนเดียว ป้าหลิวจึงไม่ต้องกังวลอะไร นางพาลูกสะใภ้กุ้ยจือเอ๋อร์มาที่บ้านของลู่เสี่ยวหมี่
สองคนนี้ทำงานว่องไวยิ่ง คนหนึ่งทำกางเกงอีกคนหนึ่งทำเสื้อคลุม ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เสร็จไปเกือบหมด
ผ้าฝ้ายสีขาวงาช้างยัดขนไก่ไว้ด้านใน เย็บให้แนบสนิทไร้รอยต่อให้ขนไม่อาจหลุดร่วงออกมา ทั้งเบาและนุ่มนิ่ม สุดท้ายปิดทับอีกชั้นด้วยผ้าสีน้ำเงินสด ออกมาดูดีไม่น้อย ดูแล้วน่าจะเป็ที่นิยมกว่ากางเกงบุฝ้ายมากนัก
ท่านป้าหลิวชอบมาก จับพลิกไปพลิกมาหลายครั้ง ยิ้มเอ่ยชมว่า “เสี่ยวหมี่ฉลาดจริงๆ ใช้ขนไก่แทนฝ้ายบุใส่เนื้อกางเกง เก่งจริงๆ ที่คิดออกมาได้”
บ้านหลิวมีลูกชายสองคน กุ้ยจือเอ๋อร์แต่งให้กับลูกชายคนโตต้าหลิน ยามปกติแม่สามีและลูกสะใภ้รักใคร่กันดี แต่ใครบ้างจะไม่เห็นแก่ตัว ่นี้นางได้ยินแม่สามีชมเสี่ยวหมี่อยู่บ่อยๆ เดาว่านางคงเตรียมจะขอเสี่ยวหมี่มาเป็ภรรยาให้เสี่ยวเตา ในใจก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียหากได้แต่งสะใภ้อย่างเสี่ยวหมี่เข้าบ้านมา ต่อให้นางจะขยันขันแข็งและแสนดีแค่ไหนก็คงถูกเปรียบเทียบเป็สตรีโง่งมอยู่ดี
แต่ตอนนี้นางจะพูดออกไปตรงๆ ก็คงไม่ได้ ได้แต่ยกมือขึ้นกัดปลายด้ายที่เย็บเสร็จแล้วให้ขาด ลูบเสื้อคลุมขนกระต่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นั่นน่ะสิ ท่านแม่ ท่านดูเสื้อคลุมกันลมนี่สิเ้าคะ ดูดีกว่าที่ขายอยู่ในเมืองตั้งเยอะ ทั้งยังมีหมวกคลุมศีรษะ้า ที่ข้อมือและปกเสื้อด้านหน้ายังมีกระดุมอีกด้วย แ่ากันลมได้อย่างดี ถึงลมจะพัดมาแรงแค่ไหนก็ไม่ต้องลมหนาว”
ท่านป้าหลิวเองก็ดึงเสื้อคลุมกันลมไปดู ปากพร่ำชมไม่ขาด “ใช่แล้ว แม้แต่เสื้อคลุมที่พวกผู้มีอันจะกินในเมืองสวมใส่กันก็ยังไม่ดีเท่านี้ อย่างมากก็แค่เชือกรัดผูกหนึ่งเส้น ลมแรงๆ พัดมาคงทำให้คนขาดใจได้ง่ายๆ สู้ตัวนี้ไม่ได้สักนิด”
“ที่บ้านเราก็มีหนังกระต่ายเช่นกัน พรุ่งนี้ข้าจะทำให้ท่านพ่อ ต้าหลินและเสี่ยวเตาคนละตัวนะเ้าคะ”
กุ้ยจือเอ๋อร์เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เป็ไปดังคาด แม่สามีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดี เ้าช่างกตัญญูยิ่งนัก คิดอะไรรอบคอบ”
เนื่องจากลู่เสี่ยวหมี่รบกวนให้สตรีสกุลหลิวทั้งสองมาช่วยงานจนค่ำมืด นางจึงรู้สึกผิดยิ่ง จึงเข้าครัวไปทำบะหมี่มะเขือเทศใส่ผักกาดขาวมาให้
กำลังเดินถือเข้ามาในห้องพอดีก็ได้ยินเสียงหัวเราะของคนทั้งสอง “ท่านป้า พวกท่านคุยเื่อันใดกันอยู่หรือถึงได้ดูมีความสุขเช่นนี้?”
ท่านป้าหลิวรีบยื่นมือไปรับถ้วยมาจากมือนาง แล้วพูดว่า “พวกเราสองแม่ลูกกำลังชมว่าเ้าเฉลียวฉลาด เสื้อคลุมกันลมนี้ช่างเหมาะยิ่งนัก กุ้ยจือเอ๋อร์กำลังคิดว่าจะขโมยกลับไปทำที่บ้านเราบ้างอยู่เลย”
“ข้าก็แค่คิดขึ้นมาเล่นๆ เท่านั้น จะใช้คำว่าพี่สะใภ้ ‘ขโมย’ กลับไปได้อย่างไรเ้าคะ? พูดออกไปผู้อื่นจะหาว่าข้าตระหนี่เอาได้ พี่สะใภ้เห็นสิ่งใดแล้วชอบใจ ก็เอาไปใช้ได้ตามสบายเ้าค่ะ”
“แหม น้องหญิงช่างใจกว้าง เช่นนั้นข้าขอดูกล่องใส่เงินของเ้าเสียหน่อยเป็ไร”
กุ้ยจือเอ๋อร์ล้อเล่น เสี่ยวหมี่ก็รู้ดี แต่กลับแสร้งทำเป็โกรธ กอดตู้ด้านหลังอย่างปกป้องเอาไว้แน่นพลางร้องว่า “ไม่ได้เด็ดขาด ท่านป้ารีบพาพี่สะใภ้ออกไปเลยเ้าค่ะ”
ท่านป้าหลิวหัวร่องอหาย ยื่นมือไปจิ้มหน้าผากลูกสะใภ้และเสี่ยวหมี่ “พวกเ้าสองคนพออยู่ด้วยกันแล้วซุกซนยิ่งนัก”
กุ้ยจือเอ๋อร์และเสี่ยวหมี่ก็หัวเราะเช่นกัน คนทั้งสามหัวเราะหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพากันล้างมือทานอาหารมื้อดึก
ยามปกติเสี่ยวหมี่ใส่ใจกับอาหารของเฝิงเจี่ยนเป็อย่างมาก แทบทุกสองวันนางจะต้องทำน้ำเคี่ยวกระดูกหมูใส่หม้อดินเก็บไว้ ในฤดูหนาวน้ำแกงจะจับตัวเป็ก้อน แต่จะไม่เน่าเสียและไม่แข็งจนเอามาทำอาหารไม่ได้ พอถึงเวลาทำกับข้าวก็แค่ตักขึ้นมาสองช้อน ไม่ว่าจะใช้ผักผัดหรือทำบะหมี่ก็ล้วนได้รสชาติหอมเข้มกลมกล่อม
เช่นเดียวกับบะหมี่ที่ยกมาในวันนี้ นางนำบะหมี่ค่อยๆ ลวกจนสุกในน้ำร้อน จากนั้นต้มน้ำให้เดือดในหม้อใหญ่ ตักน้ำเคี่ยวกระดูกหมูที่จับตัวเป็ก้อนแล้วลงไปละลาย แทบไม่ต้องปรุงสิ่งใดเพิ่มเติม ใส่แค่ต้นหอมสับหนึ่งกำ ขิงขูด ผักกาดขาวหั่นหนึ่งกำ ตบท้ายด้วยเหยาะน้ำมันงาสองสามที
ยามดึกดื่นอันหนาวเหน็บได้ซดน้ำแกงร้อนๆ หอมกลมกล่อมเช่นนี้นับเป็รางวัลตอบแทนอย่างงามให้กับกระเพาะของตนแล้ว
สองสตรีสกุลหลิวอดชมเสี่ยวหมี่ไม่ขาดปากอีกครั้งไม่ได้ กินเสร็จก็ลงมือทำงานต่ออย่างไม่อิดออด เสร็จแล้วทั้งสามคนก็ล้มตัวลงนอนกันลวกๆ บนเตียงเตา หลับไปได้งีบเดียวฟ้าก็สว่างแล้ว
สองสตรีสกุลหลิวลากลับไปเตรียมอาหารเช้าให้บ้านตัวเอง เสี่ยวหมี่ยิ่งยุ่งกว่า นางต้องรีบเตรียมเสบียงให้พี่สามลู่เอาไว้กินระหว่างทาง
นางเด็ดพริกจากพวงที่ร้อยติดอยู่กับคานหลังคาลงมาสับแล้วสับอีกจนละเอียด เนื้อหมูก็เลือกส่วนที่ติดมันนำมาหั่นเป็ชิ้นเล็กขนาดประมาณเมล็ดถั่วเหลือง จากนั้นสับหัวหอมและขิง โถใส่เครื่องเทศหลากสีถูกหยิบออกมาเรียงกันทีละใบ
บิดาและบรรดาบุตรชายลู่ รวมถึงพวกเฝิงเจี่ยนนายบ่าว ยังไม่ทันได้ตื่นเต็มตาก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นลอยมาตามลม กลิ่นนี้ถึงกับลากพวกเขาให้ตื่นจากฝันอย่างเอาแต่ใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้