พูดมาตั้งนาน สุดท้ายก็จ้างคนมาเขียนแทนนี่เอง เฉิงชิงหมดคำจะกล่าว
“ข้าไม่มีเงิน!”
ถึงมีเงินก็ไม่ซื้อ
นางยังคิดจะเอาเงินจากมือเ้าโง่คนไหนดีอยู่เลย
น่าเสียดายที่นางไม่เหมือนคนที่ทะลุมิติคนอื่น ปกติพอเห็นบทกวีก็จำได้หมดแล้วนำมายุคโบราณ แสร้งทำเป็เขียนเอง หากตนเองไม่ใช้ก็ยังสามารถขายให้ผู้อื่นได้ เฉิงชิงอยากจะทำธุรกิจที่ไร้ต้นทุนนี้มาก น่าเสียดายที่เมื่อดูจากผลการสอบอันดับที่เก้าสิบเจ็ดของห้องติงแล้ว ไหนเลยจะมีคนมาหานางเพื่อซื้อบทกวี
เ้าอ้วนชุยเห็นนางตระหนี่ก็ชื่นชมมาก
“แม้แต่สิบยี่สิบตำลึงเงินก็ไม่มีเลยหรือ? เฉิงชิง เ้าต้องคิดให้ดีนะ หากไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูมือเปล่า พวกอวี๋ซานย่อมต้องรอดูเื่ตลกของเ้าแน่ หากเ้าไม่มีเงินจริงๆ ข้าจะให้เ้ายืมก่อนก็ได้”
แม้เ้าอ้วนชุยจะขี้ขลาดไปหน่อยแต่ก็นับว่าเป็คนที่ใจกว้างอย่างแท้จริง
นางย่อมมีเงินสิบยี่สิบตำลึงเงินแน่นอน แต่ใช้สำหรับจ้างคนเขียนให้แทนแล้วไปออกหน้าที่งานชุมนุมวรรณกรรม เฉิงชิงคิดว่าเป็การไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ถึงจะมีความสามารถด้านวรรณกรรมอย่างไร แต่การแต่งบทความแต่งบทกวีที่ดีก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเขียนออกมาได้ตลอด หากผู้อื่นสามารถเขียนได้ ก็ย่อมเอาไปสร้างชื่อเสียงที่งานชุมนุมวรรณกรรมด้วยตนเอง ที่ขายทิ้งไปกว่าครึ่งไม่ถือว่าเป็อันใด
เฉิงชิงทนไม่ได้จริงๆ หากต้องจ่ายเงินซื้อของชำรุด
บรรดาคนที่ไปซื้องานเขียนและบทกวีอย่างเ้าอ้วนชุยย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่หากนางมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมา กว่าครึ่งย่อมต้องทิ้งไว้ในหลุม
ตัวอย่างเช่นฮูหยินผู้เฒ่าจูแห่งบ้านรอง ครั้งก่อนชดเชยนางด้วยเงินจำนวนมากแล้วสบายใจได้หรือ?
ยังมีอวี๋ซานอีก วันที่ประกาศผลการสอบประจำเดือนวันนั้นก็กล่าวกระทบกระเทียบต่อหน้าผู้คน จะต้องไม่ได้มีเจตนาดีแน่
คนเหล่านี้รอนางไปซื้อบทความหรือบทกวีอยู่เป็แน่ เพราะนางอยู่ที่สถานศึกษาไม่มีมิตรสหาย ทั้งยังไม่สนิทกับบุตรหลานตระกูลเฉิง ไหนเลยจะมีหนทางให้พึ่งพิง ไม่แน่ว่าคนที่ขายเรียงความให้นางอาจจะเป็คนที่บ้านรองหรืออวี๋ซานจัดหามาก็เป็ได้
เมื่อเฉิงชิงคิดได้เช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะพินิจพิเคราะห์เ้าอ้วนชุยจากบนลงล่าง แววตาที่มองนั้นทำให้เ้าอ้วนชุยแผ่นหลังเย็นะเื
“นะ นั่นแววตาอะไรของเ้าน่ะ ข้าจะให้เ้ายืมเงินก็ผิดด้วยหรือ?”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดเื่อื่นน่ะ”
เ้าอ้วนนี่ร่ำรวยมากอยู่แล้ว ดูไม่เหมือนผู้ที่จะถูกซื้อตัวได้โดยง่าย
นอกจากนี้ยังเป็ผู้ที่ทำดีกับนางเป็คนแรกในสถานศึกษา เฉิงชิงจึงไม่อาจซี้ซั้วคิดสงสัยเ้าอ้วนชุยได้
เมื่อนึกไปถึงนิสัยที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ ของอวี๋ซานแล้ว งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูในครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะใช้ลูกไม้อะไรมาก่อกวนอีก เฉิงชิงยังแนะนำเ้าอ้วนชุย
“ชุยเยี่ยน ข้าไม่ยืมเงินของเ้าหรอก ข้ายังจะแนะนำเ้าว่าอย่าใช้เงินไปกับเื่พวกนี้เลย ของอย่างความสามารถด้านวรรณกรรมกลบเกลื่อนหรือเสแสร้งไม่ได้หรอก ถ้ามีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี บัณฑิตมีพร์ที่มีชื่อเสียงก็ไม่แน่ว่าจะสามารถสอบได้คุณวุฒิ ถึงจะได้ชื่อเสียงจอมปลอมพวกนั้น แต่หากไม่อาจเปลี่ยนเป็ผลประโยชน์ที่แท้จริงได้ เ้าว่าขาดทุนหรือไม่?”
เงินเพียงเล็กน้อยสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็ชื่อเสียงเปี่ยมความสามารถ เ้าอ้วนชุยก็ไม่รู้สึกขาดทุนเลย หากเขาทำได้ดีในงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู คนในครอบครัวต้องดีใจกันถ้วนหน้า ทั้งยังให้เงินมากว่ากี่สิบตำลึงนั่น!
แต่เมื่อเฉิงชิงใช้แววตาแบบนั้นมองมายังเขา เ้าอ้วนชุยก็เกิดความละอายใจอยู่บ้างอย่างอธิบายไม่ได้
เ้าอ้วนชุยตระหนักในทันทีว่าแม้เฉิงชิงจะร่างกายบอบบาง รูปร่างหน้าตาไม่เจริญสายตา แต่ก็เกิดมามีดวงตาที่งดงาม
ดวงตาคู่นี้จ้องเขาอยู่นาน เ้าอ้วนชุยก็ไม่กล้าจะมองตรง หันศีรษะไปมา ใบหน้ายับย่น
“...หากไม่ซื้อบทความ เช่นนั้นพวกเราที่ได้คะแนนอันดับที่ร้อยกว่าของห้องติงไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมจะมีความหมายอะไรเล่า?”
“มีบทกวี มีสุรา มีผู้เปี่ยมความสามารถมารวมตัวกัน ทั้งยังมีแม่นางน้อยที่มาเดินใต้แสงจันทร์ พี่ชุย เป็คนอย่าละโมบเกินไป ถึงไม่ได้สร้างชื่อเสียงในงานชุมนุมวรรณกรรม แต่ก็สามารถสนุกไปกับงานชุมนุมได้ เ้าว่าถูกหรือไม่?”
เฉิงชิงตบบ่าของเ้าอ้วนชุยแล้วก็เดินจากไป
เ้าอ้วนชุยยืนอึ้งอยู่นาน มองตามเงาหลังของเฉิงชิงแล้วเอ่ยตะกุกตะกัก
“เฉิงชิง เ้าเพิ่งอายุสิบสามนะ...”
อายุน้อยกว่าเขาสองปี แต่คำพูดคำจากลับเหมือนคนที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
เดี๋ยวก่อนนะ เฉิงชิงคงไม่ได้เอาจริงใช่ไหม?
งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูย่อมมีหญิงงามมาเข้าร่วมแน่นอน สถานที่ที่มีบัณฑิตเปี่ยมพร์จะไม่มีนางคณิกาลือชื่อไปได้อย่างไร!
นางคณิกาจากหอโคมเขียวเ่าั้ล้วนอยากจะให้บัณฑิตเปี่ยมพร์มอบบทกวีเพื่อเพิ่มค่าตัวของตนกันทั้งนั้น
นอกจากนางคณิกาแล้ว แม่นางน้อยจากตระกูลดีงามบางส่วนก็ย่อมมีบิดาและพี่ชายประกบตามมาด้วย งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูของอำเภอหนานอี๋ก็ถือว่าเป็งานดูตัวครั้งใหญ่ที่มีปีละครั้ง เ้าอ้วนชุยด่าว่าเฉิงชิงที่อายุยังน้อยก็เข้าใจเื่พวกนี้แล้ว เมื่อคิดไปถึงว่าเฉิงชิงยังอยู่ใน่ไว้ทุกข์ หากไปก่อเื่อย่างสายลมจันทรา[1]ที่งานชุมนุมวรรณกรรม ย่อมจบเห่เป็แน่ ในฐานะเพื่อนแล้ว วันงานชุมนุมวรรณกรรมเขาจะต้องจับตามองเฉิงชิงอย่างใกล้ชิดเสียหน่อย
พริบตาเดียวก็มาถึงวันที่สิบห้าเดือนแปด เรือนแยกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งอยู่ห่างจากสถานศึกษาหนานอี๋ไปไม่กี่ลี้ เป็ของผู้าุโที่เกษียณอายุราชการแล้วท่านหนึ่ง ด้วยเพราะสถานที่เหมาะสม งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูจึงจัดที่นี่ติดต่อกันหลายปีแล้ว
เรือนแยกของท่านเสนาบดีสร้างหันหน้าไปทางน้ำ ยามค่ำคืนของงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูในทุกปี โดยรอบเรือนแยกจะกลายเป็ตลาดชั่วคราว ภายในเรือนแยกเหมาะสำหรับขับกวีชมจันทร์ ส่วนด้านนอกก็จะมีร้านค้าแผงลอยตั้งอยู่มากมาย ความคึกคักยังมากกว่างานวัดเสียอีก
มีบัณฑิตบางส่วนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่อำเภอหนานอี๋ถึงขนาดมาจากที่ห่างไกล สามารถกล่าวได้ว่าคนหนุ่มมากความสามารถทั่วทั้งเมืองเซวียนตูได้มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้
เดิมเฉิงชิงเตรียมตัวจะไปเอง อวี๋ซานกลัวนางจะขลาดกลัวจึงมาดักคนบริเวณที่พักของสถานศึกษาั้แ่บ่าย
“เฉิงชิง ข้ารู้ว่าเ้าไม่มีรถม้าจะใช้เดินทาง ไม่สู้พวกเราเดินทางไปด้วยกัน ญาติผู้พี่ของเ้าก็จะไปด้วย”
บนใบหน้าของอวี๋ซานมีรอยยิ้ม เฉิงกุยยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
เฉิงชิงหัวเราะใส่พวกเขา “ไม่ต้องหรอก ข้าเช่าเรือลำเล็กไว้แล้ว รอดวงจันทร์ลอยขึ้นสูงแล้วล่องเรืออยู่ด้านใต้ก็สุนทรีย์มาก ศิษย์พี่อวี๋ ท่านว่าใช่หรือไม่?”
อวี๋ซานพยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที
“เ้าอย่าพูดถ้อยคำที่ฟังดูดีเลย กลัวก็คือกลัว ลูกผู้ชายอกสามศอก เ้าไปกับข้าก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ขี้ขลาดเสียจริง!”
เฉิงชิงกลอกตาใส่เขา
นางเป็ลูกผู้ชายอกสามศอกกับผีน่ะสิ
ตระกูลเฉิงอายุร้อยปีย่อมมีข้อมูลภายในแน่นอน เด็กรับใช้สองคนที่นายผู้เฒ่าห้าเฉิงส่งมาให้นาง คนหนึ่งชื่อซือเยี่ยน อีกคนชื่อซือโม่ ทั้งหมดล้วนรู้หนังสือ ซือเยี่ยนสูงใหญ่มีพละกำลังเยอะ ซือโม่ผอมบางงดงามและหัวไวแต่กำเนิด
แต่ไม่ว่าจะเป็ซือเยี่ยนหรือซือโม่ ยามเฉิงชิงเรียกใช้ก็ล้วนคล่องมือมาก อย่าได้มองว่าพวกเขาเป็บ่าวรับใช้ของบ้านห้า ทักษะโดยรวมแล้วแทบไม่ต่างอะไรกับผู้ช่วยข้างกายของเฉิงชิงเมื่อก่อนเลย ถึงขนาดรู้ใจกว่าผู้ช่วยโง่เง่าบางคนเสียด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่แปลกอะไร หากผู้ช่วยไม่ถูกใจในการทำงานก็สามารถเปลี่ยนงานได้ แต่บ่าวไพร่ที่ลงลายมือสัญญาซื้อขายตัวไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่าเ้านายไม่้า ตลอดชีวิตของพวกเขาล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับเ้านาย หาก้าอยู่ในตำแหน่งสำคัญของเ้านายก็ย่อมต้องทำหน้าที่ให้ดี
เรือเล็กที่เฉิงชิงนั่งก็ได้ทั้งสองเป็คนจัดการ มีซือเยี่ยนและซือโม่แล้ว นางก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก อย่างน้อยสองคนนี้ก็ตรวจสอบเรือล่วงหน้า ไม่ต้องให้เฉิงชิงมากังวลใจเื่เล็กน้อย
เฉิงชิงนั่งเรือไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม อวี๋ซานก็เรียกเรือลำหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตามไป การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับคนโรคจิต
ถึงจะสะกดรอยตามศัตรู แต่นี่ออกจะเกินไปหน่อยไหม
ได้ยินมาว่าในแคว้นเว่ยมีบางคนเป็พวกรักร่วมเพศ… คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง สภาพหน้าเหลืองตัวผอมเช่นนาง รสนิยมของอวี๋ซานจะเป็เอกลักษณ์ขนาดนี้เลยหรือ?
เฉิงชิงไม่รู้ว่าที่เรือด้านหลัง อวี๋ซานก็กำลังถูกสหายร่วมเรียนหยอกล้ออยู่
“น่าเสียดายที่นั่นเป็หนุ่มน้อย หากเป็แม่นางน้อย ข้าคงได้เห็นงานมงคลของอวี๋ซานใกล้เข้ามาแล้ว!”
เฉิงกุยอดเบิกตามองตามไม่ได้
โชคดีที่เฉิงชิงเป็ญาติผู้น้องชายของเขา ถึงจะชอบหรือไม่ชอบที่อีกฝ่ายกล่าว แต่หากญาติผู้น้องหญิงของตนถูกอวี๋ซานตามจีบจนวิ่งหนีเช่นนี้ เฉิงกุยย่อมต้องชกอวี๋ซานสักหมัดเป็แน่
สหายร่วมเรียนคนอื่นจะเย้าแหย่อย่างไรอวี๋ซานก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ สายตาจ้องเขม็งไปยังเรือที่เฉิงชิงนั่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ตั๊กแตนไล่จับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[2] ด้านหลังเรือที่พวกอวี๋ซานนั่งยังมีเรืออยู่อีกลำหนึ่ง ย่อมเป็เ้าอ้วนชุยที่มีความรู้สึกว่าเฉิงชิงอาจจะโชคร้ายในงานชุมนุมวรรณกรรม จึงปฏิญาณตนคอยจับตาดูเฉิงชิง
งานชุมนุมวรรณกรรมนี้ เฉิงชิงที่คิดจะทำตัวไม่เป็จุดสนใจก็ลำบากแล้ว!
[1] สายลมจันทรา หมายถึงทิวทัศน์ที่สวยงาม เป็สัญลักษณ์ของความรักระหว่างชายหญิง
[2] ตั๊กแตนไล่จับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง หมายถึงผู้ที่เอาแต่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่น แต่ไม่ได้ระวังว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกผู้อื่นจ้องจะคิดบัญชีเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้