เสี่ยวหมี่รีบไปต้อนรับ แล้วไปหาเก้าอี้มาวางเชิญให้ทั้งสองนั่งลง
กุ้ยจือเอ๋อร์ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จึงสนิทสนมกับเสี่ยวหมี่ นางจึงเข้าไปช่วยเติมฟืนในเตาให้อย่างเป็ธรรมชาติ
เสี่ยวหมี่เห็นว่าแม่นางน้อยคนนั้นอายุเพียงแค่สิบสามสิบสี่ สีหน้าซีดเหลือง รูปร่างผอมแห้ง อาภรณ์ที่สวมใส่ก็เหมือนว่าจะเคยเห็นกุ้ยจือเอ๋อร์สวมใส่มาก่อน จึงเดาได้ว่าน่าจะเป็คนจากบ้านเดิมของกุ้ยจือเอ๋อร์
นางยิ้มถามว่า “พี่สะใภ้ ท่านนี้คือน้องหญิงจากบ้านเดิมของท่านกระมัง”
คิดไม่ถึงว่ากุ้ยจือเอ๋อร์ยังไม่ทันพูดอะไร แม่นางน้อยคนนั้นกลับแย่งพูดขึ้นมาก่อน “ไม่ใช่สักหน่อย ข้าคือหลานสาวของท่านป้าต่างหาก”
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็สะอึกไป ไม่แน่ใจว่าท่านป้าที่นางพูดถึงหมายถึงใคร ทั้งยังสังเกตเห็นว่าเด็กสาวคนนี้สายตาล่อกแล่กกลอกกลิ้งไปมา สุดท้ายยังทิ้งสายตาดูแคลนมองนาง แต่เมื่อนางมองมายังต่างหูสีเงินของตน สายตากลับรุนแรงราวกับจะกระชากมันออกไปก็ไม่ปาน
นางรู้สึกไม่ชอบใจทันที แต่ก็ยังคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางคนนี้คงจะเป็คนจากบ้านเดิมของท่านป้าหลิวกระมัง?”
กุ้ยจือเอ๋อร์เกรงว่าเด็กหญิงจะเสียมารยาทอีก จึงรีบเอ่ยว่า “ใช่แล้ว นางเป็ญาติผู้น้องของบิดาต้าจู้ นามว่าเจาตี้เอ๋อร์ ปีนี้อายุสิบห้า เดิมทีท่านแม่้าให้เสี่ยวเตาพานางออกไปเที่ยวเล่น สุดท้ายไม่รู้เสี่ยวเตาวิ่งหนีหายไปไหน พอดีข้าคิดว่าจะมาขอยืมเส้นด้าย...”
กุ้ยจือเอ๋อร์พูดจบก็เสไปพูดเื่อื่น ที่จริงแล้วนางเองก็ไม่ชอบญาติผู้น้องสามีคนนี้นัก
ตอนที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ เจาตี้เอ๋อร์เห็นว่าอาภรณ์ของนางสวยดี เนื่องจากพ่อแม่สามีก็อยู่ด้วย นางจึงได้แต่แสร้งทำเป็ใจกว้าง ยกอาภรณ์ชุดหนึ่งของนางให้เจาตี้เอ๋อร์ เจาตี้เอ๋อร์ไม่เพียงไม่ขอบคุณทั้งยังช่างเลือกอีกต่างหาก สุดท้ายก็เลือกชุดที่ยังใหม่อยู่ถึงแปดส่วนของนางไป
ตอนหลังเมื่อได้ยินว่านางจะมาที่บ้านสกุลลู่ นางเห็นว่า่นี้สกุลลู่กำลังโด่งดังจึงร้องอยากจะตามมาด้วย ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
เสี่ยวหมี่ย่อมไม่รู้เื่พวกนี้ อย่างไรเสียก็เป็เื่ของบ้านอื่น นางไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วม
นางจึงเลือกลูกชิ้นเนื้อที่ทอดเสร็จแล้วบางส่วนมารับรองเจาตี้เอ๋อร์ แล้วหาเื่สัพเพเหระคุยกับกุ้ยจือเอ๋อร์
คนทั้งสองคนหนึ่งเติมฟืน คนหนึ่งทอดลูกชิ้น นับว่าทำงานประสานกันได้เป็อย่างดี
เมื่อทอดจนหมดแล้ว เสี่ยวหมี่ก็หยุดมือ คิดจะชวนกุ้ยจือเอ๋อร์กินลูกชิ้นรองท้องกันสักหน่อย
คาดไม่ถึงว่าลูกชิ้นที่ทอดเสร็จแล้วตั้งแยกไว้หนึ่งถาดนั้นแทบไม่เหลือแล้ว
กุ้ยจือเอ๋อร์ใเช่นกัน นางถามออกมาว่า “ลูกชิ้นหายไปไหนหมดแล้วเล่า หรือว่าเกาเหริน...”
พูดได้ครึ่งเดียว นางก็หน้าแดงก่ำ
ที่แท้เป็เจาตี้เอ๋อร์กำลังพยายามยัดลูกชิ้นทอดเ่าั้เข้าปากลงไป ท้องน้อยๆ ป่องออกมา คล้ายว่าหากขยับเขยื้อนอกเพียงนิดเดียวนางอาจจะอ้วกออกมาก็เป็ได้...
ชัดเจนว่าเกาเหรินเป็แพะรับบาป ลูกชิ้นพวกนั้นตกเป็เหยื่อของเจาตี้เอ๋อร์ไปแล้ว
ถึงแม้คนในหมู่บ้านจะมีนิสัยตรงไปตรงมาไม่กระบิดกระบวน แต่หากไปเป็แขกบ้านอื่นก็จะไม่กินอาหารบ้านผู้อื่นอย่างเต็มที่เช่นนี้ เพราะทุกคนรู้ดีว่าเสบียงอาหารนั้นราคาแพง หากกินข้าวบ้านผู้อื่นจนอิ่มท้องเกินไป หลังจากนั้นคนบ้านนั้นอาจจะต้องกินโจ๊กเปล่าๆ ไปอีกหลายวันก็เป็ได้ อีกอย่างคือเื่ของมารยาท ต่อให้เป็คนหยาบกระด้างเช่นไรก็ยังต้องรักษาหน้าของตัวเองบ้าง
แต่เจาตี้เอ๋อร์กลับทั้งไม่รู้ความและหน้าไม่อาย ลูกชิ้นจานใหญ่ถึงเพียงนั้น เท่ากับเนื้อห้าจินและแป้งอีกสองทัพพี นางกินลงไปทั้งหมด
ทั้งยังกินเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเ้าบ้านอีกด้วย นี่มัน...น่าขายหน้าเกินไปแล้ว
กุ้ยจือเอ๋อร์แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี นางรีบยืนขึ้นกล่าวขออภัยลู่เสี่ยวหมี่ “เสี่ยวหมี่ ขอโทษเ้าจริงๆ คือ...เจาตี้ คือ ข้า...”
“พอเถอะ พี่สะใภ้ ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ท่านไม่ต้องร้อนใจ”
ที่จริงเสี่ยวหมี่ก็โกรธมากเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะเสียดายเนื้อหมูหรือแป้ง แต่อีกไม่นานเถ้าแก่เฉินก็จะมาแล้ว ตอนนี้อาหารถูกเจาตี้เอ๋อร์กินจนเกลี้ยง จะให้เตรียมใหม่ก็ไม่ทัน พี่สามลู่คงอดกินแน่แล้ว
ทว่าตอนนี้กุ้ยจือเอ๋อร์ท้องโตอยู่ อีกทั้งคนที่กินก็เป็หลานสาวของท่านป้าหลิว นางจะะเิอารมณ์โกรธก็ไม่ได้ กลับต้องมาช่วยโน้มน้าวกุ้ยจือเอ๋อร์ด้วย
ในที่สุดเจาตี้เอ๋อร์ก็กลืนลูกชิ้นลูกสุดท้ายลงไปได้ นางจุกจนตาแทบเหลือก สุดท้ายก็เรอออกมาเสียงดัง
“โอ๊ยอิ่มจะตาย อร่อยจริงๆ ข้ายังไม่เคยกินเนื้อมากขนาดนี้มาก่อนเลย”
เจาตี้เอ๋อร์เอ่ยปากชม แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ลูกชิ้นจำนวนหนึ่งที่ยังเหลืออยู่ในถาด ท่าทางเหมือนอยากจะห่อกลับบ้านก็ไม่ปาน
เสี่ยวหมี่กลัวนางจะจุกตายหรืออ้วกออกมาให้ขายหน้า
ชัดเจนว่ากุ้ยจือเอ๋อร์ก็คิดเช่นเดียวกัน นางรีบดึงมือเจาตี้เอ๋อร์แล้วบอกลาเสี่ยวหมี่
“โอ๊ย ท้องข้า เ้าช้าหน่อยสิ ข้าเดินไม่ไหว”
กุ้ยจือเอ๋อร์รู้สึกโกรธอยู่ในใจย่อมออกแรงมากหน่อย เจาตี้เอ๋อร์จึงเดินตามไปอย่างซวนเซพลางบ่นไม่หยุด
“รีบกลับบ้านกับข้าเดี๋ยวนี้ น่า...น่าโมโหจริงๆ”
ชั่วชีวิตนี้กุ้ยจือเอ๋อร์ไม่เคยขายหน้าเช่นนี้มาก่อน นางโกรธจนแทบจะร้องไห้ออกมา
บังเอิญตอนที่พวกนางเดินออกมานอกห้องครัว เฝิงเจี่ยนก็เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศพอดี
ไม่รู้เขากำลังตั้งใจเขียนอะไรอยู่ข้างหน้าต่าง คิ้วขมวดมุ่น แต่กลับยิ่งดูหล่อเหลาอย่างเหลือเชื่อ
เจาตี้เอ๋อร์แทบจะวิ่งเข้าใส่ทันที ดีที่กุ้ยจือเอ๋อร์ดึงรั้งเอาไว้สุดชีวิต
“เ้าดึงข้าไว้ทำอะไร ข้าจะเข้าไปสนทนาหน่อย”
“จะสนทนาอะไร รีบกลับบ้านกับข้า”
ในที่สุดกุ้ยจือเอ๋อร์ก็น้ำตาร่วงลงมา นางไม่แม้แต่จะสนใจลูกในท้องด้วยซ้ำรีบลากเจาตี้เอ๋อร์กลับบ้านไปด้วยแรงมหาศาล
เฝิงเจี่ยนเงยหน้าขึ้นพลางขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม จากนั้นก็หันไปถามลู่เสี่ยวหมี่ที่เดินออกมาจากห้องครัว “มีเื่อะไรหรือ?”
เสี่ยวหมี่โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนแรกอยากจะเล่าให้ฟังว่าลูกชิ้นที่นางทอดอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดเช้าลงไปนอนอยู่ในท้องผู้อื่นหมดแล้ว แต่ก็กลัวเฝิงเจี่ยนจะหาว่านางตระหนี่ใจแคบ จึงได้แต่ปวดใจอยู่คนเดียว
เกาเหรินและลู่อู่เดินเข้าเรือนมาได้กลิ่นหอมจากห้องครัว ก็รีบวิ่งมาทันที สุดท้ายกลับเห็นลูกชิ้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก็ะโออกมา “เหตุใดถึงมีแค่นี้?”
เสี่ยวหมี่กลอกตา ตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“พี่รอง ท่านไปตัดผักที่เพิงมาสักหน่อย ตอนบ่ายทำแกงจืดหมูก้อนกับแป้งทอดใส่ต้นหอม ลูกชิ้นนี่ก็ไม่ต้องส่งไปให้พี่สามแล้ว”
“ได้สิ อีกประเดี๋ยวข้าจะตามเถ้าแก่เฉินไปที่สำนักศึกษาด้วย ระหว่างทางข้าจะซื้อพวกไก่ย่างไปฝากเ้าสาม เขาเองก็ชอบเหมือนกัน”
ลู่อู่เป็คนไม่คิดอะไรมาก ได้ยินน้องสาวสั่งการแล้วก็ไม่คิดสิ่งใดอีก รีบไปตัดผักสดทันที กลับเป็เกาเหรินที่กลอกตาไปมา มือหยิบลูกชิ้นยัดใส่ปาก
ส่วนทางด้านกุ้ยจือเอ๋อร์นั้น ตอนที่นางกลับมาถึงบ้าน ท่านป้าหลิวกำลังให้อาหารไก่อยู่ ส่วนท่านลุงหลิวและบุตรชายคนโตต้าหลินกำลังทำงานไม้ขนาดจิ๋วอยู่ ถึงแม้เสี่ยวหมี่จะบอกว่าตอนนี้ยังไม่จำเป็ต้องใช้ แต่จะอย่างไรพวกเขาก็ว่างอยู่ จึงเตรียมไว้ล่วงหน้า
ทุกคนเห็นกุ้ยจือเอ๋อร์ขอบตาแดงก่ำเดินเข้ามาก็ใกันมาก
โดยเฉพาะต้าหลิน เขารีบพุ่งมาหาภรรยาทันที เขากวาดสายตามองท้องนางอย่างเป็กังวลก่อนจะถามขึ้นว่า “เ้าเป็อะไรไป ใครรังแกเ้า?”
ยังไม่รอให้กุ้ยจือเอ๋อร์พูดอะไร เจาตี้เอ๋อร์ก็ไปนั่งเท้าคางบนโต๊ะหิน เบะปากบ่นว่า “ใครจะไปรู้เล่า นางก็แค่สำออยเท่านั้น เอะอะก็ร้องไห้ อัปมงคลจริงๆ”
กุ้ยจือเอ๋อร์โกรธจนกระเทือนไปถึงท้อง นางหน้ามืดเอามือประคองท้องของตนเอง
“ข้าเจ็บ น่าโมโหจริงๆ ข้าปวดท้องยิ่งนัก”
คนสกุลหลิวพากันแตกตื่นใ รีบเข้าไปช่วยประคองให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ ท่านป้าหลิวเกรงว่าจะกระเทือนไปถึงหลานที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก จึงยื่นมือออกไปช่วยลูบท้องให้กุ้ยจือเอ๋อร์ ปลอบนางว่า “กุ้ยจือเอ๋อร์ เ้าอย่าโมโหไปเลย ในท้องเ้ายังมีเด็กอยู่นะ เ้ามีเื่อะไรก็บอกมา แม่จะช่วยออกหน้าให้เ้าเอง”
กุ้ยจือเอ๋อร์อดทนต่อความเ็ป เล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น สุดท้ายก็ร้องไห้โฮออกมา
“เสี่ยวหมี่ไม่ว่าอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ตลอดทางเจาตี้เอ๋อร์ด่าว่าเสี่ยวหมี่ว่านางตระหนี่ แค่ลูกชิ้นลูกเดียวก็ยังเสียดาย ลูกเดียวที่ไหนกัน เยอะจนเต็มถาดเลยต่างหาก เสี่ยวหมี่ตั้งใจทำส่งไปให้พี่ชายของนางที่สำนักศึกษา ฮือๆ ข้าไม่มีหน้าไปพบเสี่ยวหมี่แล้ว”
คนสกุลหลิวสีหน้าดำคล้ำ ถึงแม้ยามปกติพวกเขาจะช่วยเสี่ยวหมี่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยได้แค่งานใช้แรงงานเท่านั้น ทั้งยังได้ค่าตอบแทนมหาศาลทุกครั้ง บางครั้งยังกลัวว่าผู้อื่นจะนินทาว่าร้าย จึงแย่งไปช่วยงานแม้สกุลลู่จะไม่ได้ร้องขอก็ตาม
คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจาตี้เอ๋อร์ทำให้ศักดิ์ศรีที่พวกเขาสั่งสมไว้มาอย่างยากลำบากแตกย่อยยับเป็เสี่ยงๆ
เจาตี้เอ๋อร์ยังคงไม่รู้สึกรู้สา ลูบท้องที่นูนออกมาน้อยๆ ของนาง ะโว่า “บ้านนางใหญ่ขนาดนั้น นางยังสวมต่างหูอีกด้วย แค่ลูกชิ้นไม่กี่ลูกเท่านั้นเอง มิน่าเล่ามารดาข้าถึงพูดว่าคนรวยๆ มักจะตระหนี่ถี่เหนียว”
“หุบปากเดี๋ยวนี้” ท่านลุงหลิวโกรธมาก แต่จะด่าหลานสาวฝั่งภรรยาก็ไม่เหมาะนัก จึงโยนงานไม้ในมือทิ้งกลับเข้าห้องไป
ต้าหลินก็ประคองกุ้ยจือเอ๋อร์กลับเข้าห้อง ชั่วขณะนั้นลานบ้านจึงเหลือแค่ท่านป้าหลิวและเจาตี้เอ๋อร์เพียงสองคน
ท่านป้าหลิวเองก็โกรธมากเช่นกัน คิดจะดุด่า แต่เจาตี้เอ๋อร์กลับแหกปากร้องขึ้นมาก่อน “ฮือๆ ท่านป้า ข้าก็แค่อยากกินเนื้อ ตอนอยู่บ้านข้าไม่เคยได้กินอิ่มเลย ท่านแม่ก็สนใจแต่น้องชาย แทบจะปล่อยให้ข้าหิวตายอยู่แล้ว เสี่ยวหมี่อะไรนั่นก็ไม่เห็นบอกว่าข้ากินได้มากน้อยแค่ไหน ข้าก็เลยกินเยอะไปหน่อย ท่านป้า ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ฮือๆ ข้าหิว ข้าอยากกินเนื้อ”
บ้านเจาตี้เอ๋อร์แซ่หวัง พวกเขามีลูกสาวติดกันสามคนจนในที่สุดก็ได้ลูกชายมาคนหนึ่ง บิดาของเจาตี้ติดการพนัน ยามปกติแทบจะไม่ทำมาหากินอะไร มารดาของเจาตี้เองก็โตมาอย่างขาดการอบรม ครอบครัวทั้งหกคนยามปกติประทังชีวิตด้วยทรัพย์สินที่บรรพบุรุษเหลือทิ้งเอาไว้ให้ แต่สองสามปีมานี้ทรัพย์สินที่สั่งสมมาก็หมดไป ครอบครัวของพวกนางจึงยากลำบากมากไม่เคยได้กินอิ่ม
เดิมทีพวกเขาก็ไม่เคยติดต่อกับบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วอย่างท่านป้าหลิว แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าที่หมู่บ้านเขาหมีมีเทพธิดาแห่งโชคลาภปรากฏตัวขึ้น พาให้ครอบครัวเพื่อนบ้านร่ำรวยไปด้วย ถึงได้นึกถึงท่านป้าหลิวที่แต่งมาอยู่หมู่บ้านเขาหมีขึ้นมา
ตอนนั้นสกุลหวังเรียกได้ว่าขายบุตรสาวให้มาแต่งงานกับพรานหนุ่มที่ไร้บิดามารดา หลังจากนั้นก็ไม่ดูดำดูดีแม้แต่น้อย ยามนี้หากจะมาหาก็รู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง แต่ข่าวลือเื่เทพธิดาโชคลาภกลับยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฟืนที่ถูกเติมลงไปในกองไฟ เจาตี้จึงเสนอตัวมาสืบดูว่าเป็เื่จริงเท็จอย่างไร
คิดไม่ถึงว่าเจาตี้เอ๋อร์ผู้นี้จะน่ารังเกียจมากเสียจนท่านป้าแท้ๆ ของนางยังทนไม่ไหว
“เอาล่ะ เ้าก็ไม่ต้องร้องแล้ว วันหน้าก็รู้ความเสียหน่อย โตขนาดนี้แล้ว ไปเป็แขกบ้านผู้อื่น เหตุใดถึงได้ทำตัวหน้าขายหน้าเช่นนี้...”
ท่านป้าหลิวยังคิดจะเอ่ยปากสั่งสอนหลานสาวเพิ่มเติม น่าเสียดายเจาตี้เอ๋อร์ฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย รีบยืนขึ้นถามด้วยท่าทางประจบว่า “ท่านป้า เที่ยงนี้เรากินอะไรกันเ้าคะ”
ท่านป้าหลิวโกรธจนพูดไม่ออก หากนางตั้งท้องเหมือนกุ้ยจือเอ๋อร์ยามนี้คงจะยื่นมือไปประคองท้องตัวเองเพราะโกรธจนกระเทือนถึงเด็กเช่นกัน
เสียดายที่นางไม่ได้ท้อง จึงทำได้แค่โกรธจนกระทืบเท้ากลับเข้าห้องไป...
ที่เรือนสกุลลู่ เสี่ยวหมี่นึกว่าเจาตี้เอ๋อร์คงจะไม่มาอีกแล้ว
คาดไม่ถึงว่าช่างเหนือความคาดหมายของนางยิ่งนัก ยามอาหารเย็น นางเพิ่งจะตักโจ๊กเนื้อใส่ถ้วย เสร็จแล้วจึงเดินไปยกน้ำแกงไข่น้ำ เมื่อกลับมาเจาตี้เอ๋อร์ก็มายืนน้ำลายไหลอยู่หน้าเตาเรียบร้อยแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้