เดิมทีคนในหมู่บ้านได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าน่าสงสารนัก แต่พอถึงประโยคหลังๆ ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องแล้ว
เสี่ยวเตากลัวว่ามารดาจะให้เจาตี้เอ๋อร์แต่งกับเขาจริงๆ จึงร้อนใจรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ หากท่านกล้าแต่งนางเข้าบ้านเรา ข้าจะไปตายให้ดู”
ไม่รอให้ท่านป้าหลิวจัดการ ก็มีผู้อื่นตบหลังศีรษะเสี่ยวเตาให้แทนแล้ว
นายท่านเฝิงเดินเกาะแขนบุตรชายเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองเจาตี้เอ๋อร์ที่ร้องห่มร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เอ่ยปากถามว่า “เด็กน้อย ข้าจะถามเ้า เ้าก็ตอบมาอย่างซื่อสัตย์เถอะ ข้าจะช่วยขอร้องแทนเ้าเอง”
“หา?” เจาตี้เอ๋อร์หันไปมองแล้วก็จำได้ว่านายท่านเฝิงเป็ผู้เฒ่าที่าุโที่สุดในหมู่บ้าน หากเขาช่วยขอร้อง นางคงจะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น จึงรีบพยักหน้า “ข้าพูด ข้าจะพูดทุกอย่างเลย”
“เ้าบอกว่ามีคนให้เงินบิดาเ้าเพื่อให้มาเรียนวิธีปลูกผัก ข้าเข้าใจถูกหรือไม่?”
“ใช่ ใช่แล้ว คนผู้หนึ่งสวมชุดที่ทำจากผ้าไหมมาที่บ้านข้าตอนกลางคืน บอกว่าบ้านท่านป้าข้าร่ำรวยใหญ่แล้ว สามารถปลูกผักในฤดูหนาวได้ หากเรียนรู้วิธีนั้นมาได้จะสุขสบายไปทั้งชาติ ยังบอกอีกว่า หากว่าบิดาข้าไม่อยากปลูกผัก ก็ให้ขายวิธีปลูกผักให้เขา เขาจะให้ค่าตอบแทนยี่สิบตำลึง”
พูดพลางร้องไห้ไปพลาง “ท่านแม่ข้าบอกว่า หากไร้หนทางจริงๆ ก็ให้แต่งให้พี่เสี่ยวเตาเสีย วันหน้าก็ค่อยๆ เรียนรู้เอา ฮือๆ ข้าไม่อยากถูกขายไปที่ซ่อง ข้าอยากกินเนื้อทุกวัน...”
ทุกคนได้ยินแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เสี่ยวหมี่เคยบอกแล้วว่าจะสอนวิธีเพาะปลูกให้ทุกคน ทุกวันนี้ยามปกตินางก็ถ่ายทอดความรู้ให้ไม่น้อยแล้ว
มีวิชาเพาะปลูกติดตัว วันหน้าลูกหลานคนในหมู่บ้านเขาหมีไม่จำเป็ต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์ก็พอจะเลี้ยงคนในครอบครัวให้อิ่มท้องได้แล้ว
ยามนี้วิธีการเพาะปลูกพวกนี้ไม่ใช่สมบัติของสกุลลู่อีกต่อไป แต่เป็สมบัติของทุกคนในหมู่บ้านเขาหมี
พวกเขาเองยังไม่สามารถเรียนรู้ได้จนแตกฉาน คนภายนอกกลับคิดจะมาขโมยมันไปเสียแล้ว
เจาตี้เอ๋อร์อายุยังน้อย ติดตามไปที่สวนหลายครั้งก็ยังเรียนรู้อะไรไม่ได้ จึงคิดจะเอาตัวรอดด้วยการเข้าหาเฝิงเจี่ยน เช่นนี้นางก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ แต่เพราะนางโง่งมเกินไปสุดท้ายจึงมีจุดจบเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเื่นี้ถูกเปิดโปงออกมา ไม่แน่คนหมู่บ้านเขาหมีอาจจะได้แต่นั่งมองคนภายนอกปลูกผักออกมาขายในฤดูหนาวตัดหน้าพวกเขา แล้วถึงค่อยรู้สึกตัวว่าถูกผู้อื่นขโมยสมบัติล้ำค่าไปก็เป็ได้
“สมควรตายนัก”
“ใครกล้าหักหลังพวกเรา ข้าจะฆ่ามันเสีย”
พวกผู้ชายเริ่มแสดงความเกรี้ยวกราด แทบอยากจะเข้าไปกระชากคอคนพวกนั้นมาจัดการเสียเดี๋ยวนี้
เดิมทีพวกผู้หญิงยังเข้ามาล้อมท่านป้าหลิวและเจาตี้เอ๋อร์ไว้คิดจะช่วยขอร้อง ยามนี้กลับพากันกระจายตัวออกมาแล้ว
ยามปกติทุกคนก็สนิทสนมกันดี แต่วันนี้ทุกคนถึงได้รู้ว่าเดิมทีหลานสาวสกุลหลิวตั้งใจจะมาขโมยสมบัติล้ำค่าของพวกเขาไป เื่นี้ไม่อาจให้อภัยได้อย่างแน่นอน
นายท่านเฝิงลูบเคราพลางขบคิด หันไปหาเสี่ยวหมี่ “เสี่ยวหมี่เอ๋ย เื่นี้เกรงว่าจะต้องร่วมปรึกษาหารือกับทุกคนก่อน”
เสี่ยวหมี่เข้าใจความหมายของนายท่านเฝิง นางขบคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาเฝิงเจี่ยนกล่าวเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่เฝิง ยามปกติครอบครัวท่านป้าหลิวช่วยเหลือข้าเอาไว้มาก ถึงแม้เจาตี้เอ๋อร์จะทำไม่ถูก แต่แขนนางก็หักไปข้างหนึ่งแล้ว นับว่าถูกลงโทษแล้ว เื่นี้...ก็ช่างมันเถอะ”
เฝิงเจี่ยนไม่ตอบรับ แววตาอ่านยาก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถามกลับว่า “เ้าเชื่อคำพูดของบ่าวชั้นต่ำนี่ หรือคำพูดของข้า”
เสี่ยวหมี่อึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงตอบโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าต้องเชื่อท่านอยู่แล้ว”
ประโยคสั้นๆ เป็ดั่งดอกไม้ที่ค่อยๆ เบ่งบานขึ้นในโลกของเฝิงเจี่ยน ความแน่วแน่และเชื่อใจที่เสี่ยวหมี่มีต่อเขาได้ขจัดความขุ่นข้องหมองใจที่เขาได้รับไปจนหมด...
“ได้”
เฝิงเจี่ยนโบกมือ ผู้เฒ่าหยางยิ้มตาหยีมองมาทางเสี่ยวหมี่ แล้วถึงได้ฉีกสัญญาขายตัวทิ้ง
ไม่มีสัญญาขายตัว เจาตี้เอ๋อร์ก็ไม่ใช่บ่าวของเฝิงเจี่ยนอีกต่อไป แน่นอนว่าเฝิงเจี่ยนก็ไม่มีอำนาจสังหารนางได้อีก
เจาตี้เอ๋อร์เมื่อรู้ว่าตนรอดตายแล้ว ก็ทิ้งตัวก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นและลุกขึ้นมาไม่ได้อีก
เสี่ยวหมี่ทั้งสงสารทั้งรู้สึกรังเกียจนาง แต่จะพูดอะไรตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ นางจึงเอ่ยโน้มน้าวเฝิงเจี่ยนเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่เฝิง ท่านกลับเข้าห้องไปอ่านตำราก่อนเถิด อีกเดี๋ยวถึงเวลาอาหารข้าค่อยไปเรียกท่าน วันนี้มีแป้งทอดห่อเนื้อวัว น้ำแกงไข่ดิน ท่านต้องชอบแน่นอน”
“ได้”
เฝิงเจี่ยนมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินนำผู้เฒ่าหยางกลับเข้าห้องไป
ทุกคนพากันถอนหายใจโล่งอก ถึงแม้เฝิงเจี่ยนจะไม่เคยลงมือกับใครมาก่อน แต่ฝีมือในการจะเอาชีวิตผู้อื่นของเขาทำให้ผู้คนหวาดกลัวแล้วจริงๆ
“ไปเถอะ เื่ในวันนี้เราต้องปรึกษากันสักหน่อยแล้ว”
นายท่านเฝิงโบกมือ ทุกคนก็เดินตามเขาออกไปจากเรือนสกุลลู่ สตรีสองสามคนที่ร่างกายกำยำเข้ามาหิ้วปีกเจาตี้เอ๋อร์ไปด้วยโดยไม่สนว่านางจะยินยอมหรือไม่
ท่านป้าหลิวเข้ามาขอโทษเสี่ยวหมี่อย่างรีบร้อน จากนั้นก็รีบไล่ตามไป
ท่านลุงหลิวถอนใจพาลูกชายและลูกสะใภ้กลับบ้าน เื่น่าขายหน้าเช่นนี้อย่าได้เสนอหน้าไปโผล่กลางวงสนทนาอีกเลย
น่าเสียดาย เขากลับหลบไม่พ้น ต่อให้จะไม่ยินยอมแค่ไหน แต่เจาตี้เอ๋อร์ก็เป็ญาติของสกุลหลิว จะอย่างไรก็ต้องเอ่ยขออภัยทุกคนอย่างจริงใจ
เพียงพริบตาเรือนสกุลลู่ก็กลับมาเงียบสงบเช่นเดิม
บิดาลู่ขบคิดเล็กน้อย จากนั้นก็กำชับบุตรชายคนโตว่า “เ้าก็อย่าไปเข้าร่วมด้วยเลย”
“ขอรับ ท่านพ่อ” พี่ใหญ่ลู่ยิ้มอย่างซื่อๆ หยิบไม้กวาดและคราดขึ้นมาเดินไปทำความสะอาดคอกม้า มูลม้าที่ก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์ ยามนี้นับเป็ของดี ต้องนำไปตากให้แห้งแล้วเก็บสะสมเอาไว้ ปีหน้าจะได้เอามาใช้เป็ฐานรองดินให้ต้นกล้าในเพิงเพาะเลี้ยงอีกครั้ง
ลู่เสี่ยวหมี่เองก็กลับไปทำอาหารต่อที่ห้องครัว ตอนที่คิดจะะโเรียกเกาเหรินให้มาช่วยจุดไฟ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาเงาเ้าเด็กนั่นไม่เจอ กลับเป็เฝิงเจี่ยนที่โยนตำราทิ้งออกมาเสนอตัวเป็ผู้ช่วย
เสี่ยวหมี่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ที่นางไม่ยอมแสดงตัวว่าเชื่อใจและเข้าข้างเขาั้แ่ทีแรกเป็เื่ไม่สมควร ส่วนเฝิงเจี่ยนก็ไม่อยากเอ่ยถึงเื่เมื่อครู่อีกเพราะรู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก
คนทั้งสองจึงตัดสินใจตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่าจะลืมเื่นี้ไปเสีย แล้วกลับมาสนทนาเื่การเพาะปลูกกันต่อ
ที่จริงแล้วเสี่ยวหมี่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก ชาติที่แล้วบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นางอาศัยอยู่ตั้งอยู่ที่ชายขอบของอำเภอ บริเวณโดยรอบจึงเป็ที่นาของชาวบ้าน นางจึงเห็นและได้ยินมาจนชินและกลายเป็ว่าได้เรียนรู้ไปโดยปริยาย แต่ก็นับว่ารู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น ทว่าสำหรับเฝิงเจี่ยนแล้วเื่นี้ช่างน่าอัศจรรย์และแปลกใหม่ยิ่งนัก
คนทั้งสองสนทนากันไปพลางทอดแป้งไปพลาง รอจนห้องครัวอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมแล้วเกาเหรินถึงได้โผล่มา
เสี่ยวหมี่เห็นว่าหน้าผากเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้เขา แล้วตำหนิว่า “วิ่งหนีไปเล่นที่ไหนอีกแล้ว ข้าตั้งใจเรียกเ้ามาช่วยก่อไฟก็ตามตัวไม่เจอ”
เกาเหรินหัวเราะอย่างเริงร่าหยิบแป้งทอดอันหนึ่งที่ทอดเสร็จแล้ว พยายามเป่าให้มันหายร้อนแล้วยัดใส่ปากอย่างรวดเร็ว ท่าทางชื่นชอบการถูกเอาใจใส่เช่นนี้เป็ที่สุด
เฝิงเจี่ยนยืนมองอยู่ก็รู้สึกเหมือนมีไฟสุมในอก เขาบีบท่อนไม้ในมือจนปริแตก แล้วจึงโยนมันเข้าเตา
แต่เกาเหรินกลับยิ่งหาเื่ผู้อื่นหนักข้อขึ้น เสนอหน้าเข้าไปให้เสี่ยวหมี่เช็ดเหงื่อให้ไม่หยุด
เสี่ยวหมี่เห็นว่าเฝิงเจี่ยนสีหน้าไม่สู้ดี นึกไปว่าเขาไม่ชอบให้เกาเหรินออกไปเที่ยวเล่น จึงรีบผลักเกาเหรินออกไป “เ้ารีบไปจัดโต๊ะเร็วเข้า อีกเดี๋ยวจะได้กินข้าวกัน”
รอจนเกาเหรินออกไปแล้ว นางก็หันไปพูดโน้มน้าวเฝิงเจี่ยน “เกาเหรินยังเด็กอยู่ ท่านอย่าได้เข้มงวดมากจนเกินไป”
“วันหน้าอยู่ให้ห่างจาก...เ้าเด็กบ้านี่หน่อย”
เฝิงเจี่ยนพ่นแต่ละคำออกมาคล้ายจะคำราม หางตากระตุกยิกๆ
เด็ก...
ใครกันแน่ที่เหมือนเด็ก?
เสี่ยวหมี่รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจยิ่งนัก เดิมนึกว่าพอพี่รองไปแล้วจะไม่มีใครต่อล้อต่อเถียงเป็ศัตรูกับเกาเหรินอีก คิดไม่ถึงว่าเฝิงเจี่ยนจะเข้าร่วมกลุ่ม ‘กินน้ำส้มสายชู [1]’ กับเขาด้วย
กินน้ำส้มสายชู?
เสี่ยวหมี่หน้าแดงก่ำทันที รีบตอบรับไปอย่างลวกๆ แล้วจึงยกจานที่ใส่แป้งทอดออกไปจากห้องครัว
ของอร่อยคือยารักษาชั้นดีเสมอ ไม่มีสิ่งใดที่แป้งทอดไส้เนื้อวัวและน้ำแกงร้อนๆ หนึ่งถ้วยจะแก้ปัญหาไม่ได้ หากยังแก้ไม่ได้อีกเช่นนั้นก็กินเพิ่มเข้าไปเป็สองชิ้นสองถ้วย
คนสกุลลู่กินกันจนอิ่มหนำ ระหว่างกินก็ชมไม่ขาดปากว่าแป้งทอดนี้อร่อย น้ำแกงนี้สดชื่น เสี่ยวหมี่คอยคีบแป้งทอดให้คนนั้นคนนี้ ตักน้ำแกงเพิ่มให้คนนั้นคนนี้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มไม่หุบ
เกาเหรินกินจนอิ่มแปล้แล้วจึงนึกไปถึงเื่ที่เขาไปแอบฟังมาเมื่อครู่ “คนพวกนี้บอกว่ากลัวคนนอกจะมาขโมยวิธีเพาะปลูกไป คิดจะผลัดเวรกันไปเฝ้าปากทางขึ้นเขา จะไม่ยอมให้คนนอกที่ไม่รู้จักผ่านเข้ามาแม้แต่คนเดียว คนสกุลหลิวต้องเฝ้ามากกว่าครอบครัวอื่นหนึ่งเดือนเนื่องจากพวกเขาเป็ญาติของบ่าวขี้เหร่คนนั้น”
บิดาลู่และพี่ใหญ่ลู่ต่างก็เป็คนใจอ่อน จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ “สกุลหลิวเป็คนดี แต่กลับต้องเดือดร้อนเพราะคนนอก”
เสี่ยวหมี่กลับพอใจไม่น้อย หมู่บ้านเขาหมีตั้งอยู่สูง ถึงแม้ที่ดินสามสิบหมู่ของสกุลลู่จะอยู่ต่ำลงไป แต่ก็ยังเป็ดินูเาจึงเรียกได้ว่าเป็พื้นที่รกร้าง กักเก็บน้ำได้ไม่มากพอ ส่วนพวกชาวบ้านเองก็พยายามบุกเบิกพื้นที่รกร้างเพื่อสรรหาพื้นที่ที่พอจะเพาะปลูกข้าวโพดได้
หากเป็ดังที่เกาเหรินบอกว่าคนในหมู่บ้านจะผลัดกันไปเฝ้าอยู่หน้าทางขึ้นเขา ไม่ให้คนนอกเข้ามา เช่นนั้นต่อไปไม่ว่านางจะลองเพาะปลูกพืชชนิดใด หรือจะเปลี่ยนพื้นที่แห้งแล้งให้เป็นาข้าวเพื่อปลูกข้าว ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนนอกจะเข้ามาเห็นแล้วชักนำปัญหามาให้
คิดได้ดังนี้นางจึงเอ่ยปากกับบิดาว่า “ท่านพ่อ ชาวบ้านทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็การช่วยเฝ้าพื้นที่เพาะปลูกให้เราไปโดยปริยาย ถ้าอย่างไรบ้านเราก็ออกเงินและเสบียงอาหาร สร้างบ้านดินสักสองหลังที่ปากทางขึ้นหุบเขาเถอะเ้าค่ะ เช่นนี้คนที่ไปยืนเฝ้ายามจะได้สบายขึ้นหน่อย อีกอย่างในวันหน้าหากมีแขกมาจะได้มีที่พักไว้รับรองพวกเขา”
บิดาลู่ไม่เคยสนใจเื่ในบ้าน เขาคิดว่าคงใช้เงินไม่มาก จึงตอบรับทันที “ได้ อีกเดี๋ยวข้าจะไปพูดเอง”
“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมแป้งทอดเผื่อให้ท่านนำไปให้นายท่านเฝิง ส่วนทางด้านลุงสามปี้ก็ให้เกาเหรินเอาไปให้ด้วย เขาจะได้ไม่อิจฉาริษยาขึ้นมาอีก”
เสี่ยวหมี่ไปจัดการอย่างรวดเร็ว จากนั้นบิดาลู่จึงถือจานอาหารเดินออกจากเรือนไป
คนในหมู่บ้านยังรวมตัวอยู่ในเรือนสกุลเฝิง จู่ๆ ก็เห็นบิดาลู่ปรากฏตัวขึ้นก็พากันยืนขึ้นต้อนรับด้วยท่าทีไม่สบายใจ หรือว่าสกุลลู่จะเปลี่ยนใจไม่สอนวิธีการเพาะปลูกให้พวกเขาแล้ว?
คิดไม่ถึงว่าบิดาลู่จะไม่เอ่ยถึงเื่นั้นเลย บอกแค่ว่าในเมื่อคนอื่นๆ ออกแรงผลัดกันไปเฝ้าเวรแล้ว สกุลลู่จะออกเงินสร้างบ้านพักและสนับสนุนเสบียงอาหารให้เอง
คนในหมู่บ้านได้ยินก็พากันรู้สึกผิด รู้อยู่แล้วว่าสกุลลู่มีคุณธรรม แต่ก็ยังซาบซึ้งพากันเอ่ยขอบคุณ นายท่านเฝิงกินแป้งทอดที่บิดาลู่นำมาฝากพร้อมน้ำชา ด้วยสีหน้ามีความสุขยิ้มจนตาเป็เส้นเดียว
ขอแค่คนในหมู่บ้านมีคุณธรรมและจดจำความดีของสกุลลู่ไว้ได้ สามัคคีปรองดองเป็หนึ่งเดียวต่อกรกับคนนอก ไม่นานหมู่บ้านเขาหมีก็จะพัฒนาไปได้ไกล ลูกหลานจะมีชีวิตที่สุขสบายกว่านี้มาก
“เอาตามนี้ก็แล้วกัน” นายท่านเฝิงเช็ดปากช้าๆ แล้วจึงส่งแป้งทอดที่ยังกินไม่หมดให้หลานชาย “ต่อไปนี้คนในหมู่บ้านเขาหมีเราทุกคน ไม่ว่าเสี่ยวหมี่จะคิดค้นของแปลกใหม่อะไรออกมา หรือปลูกพืชอะไรแบบไหนก็ห้ามแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว หากครอบครัวใดมีคนที่ไม่เชื่อฟัง ก็ขับออกจากหมู่บ้านเขาหมีไป ไม่ต้องกลับมาอีก”
“ขอรับ นายท่านเฝิงวางใจ”
“ใช่ เราทุกคนไม่มีใครคิดหักหลังครอบครัว”
“จับตาดูพวกผู้หญิงที่บ้านเอาไว้ให้ดี ขอแค่พวกนางไม่เอาไปพูดที่บ้านเดิม ก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“อีกอย่างพวกพ่อค้าในเมืองก็ไม่ต้องปล่อยให้ขึ้นเขามาแล้ว คนพวกนี้ปากมากเป็ที่สุด”
เชิงอรรถ
[1] กินน้ำส้มสายชู(吃醋)หมายถึง การหึงหวง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้