เต๋อเฟยส่งยิ้มให้หนิงมู่ฉือเป็การบอกว่า ให้วางใจเถิด หนิงมู่ฉือเห็นเช่นนั้นจึงถอนหายใจออกมา โดยที่ไม่รู้เลยว่า เต๋อเฟยต่างหากคือคนที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา
หนิงมู่ฉือเดินตามอยู่ด้านหลังพระสนมซูเฟยด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ เมื่อออกมาจากตำหนักเจินหลง ก็ได้เจอกับองค์หญิงซีเยวี่ยในชุดสีชมพูประดับด้วยพู่ห้อยสีฟ้า องค์หญิงเดินตรงเข้ามาหาพระสนมซูเฟย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ “น้องคารวะพี่สาวเพคะ น้องมารอพี่นานแล้ว”
เอ่ยจบก็หันไปถลึงตาใส่หนิงมู่ฉือด้วยความเคียดแค้น
หนิงมู่ฉือรีบยอบกายทำความเคารพโดยพลัน “บ่าวถวายบังคมพระสนมเพคะ” ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็ถึงพระสนมของวังหลังซึ่งมีอำนาจเหลือล้น อีกทั้งเื้ัยังมีต่างแคว้นให้การสนับสนุน
องค์หญิงซีเยวี่ยไม่แม้แต่จะเหลือบมองหนิงมู่ฉือ นางจึงต้องยอบกายอยู่เช่นนั้นจนขาเริ่มปวด หากนางก็ได้แต่ต้องกัดฟันทน ฟังพระสนมซูเฟยกับองค์หญิงซีเยวี่ยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน ภายในใจนางตอนนี้เกิดการต่อสู้กัน จะลุกดีหรือไม่ลุกดีนะ
ครั้นเห็นพวกพระสนมซูเฟยกำลังจะเดินกลับไปที่ตำหนักิฉือ นางจึงลุกขึ้นยืน ด้วยความที่ต้องยอบกายอยู่นาน ทำให้ขาไม่มีแรงจนเกือบจะล้มลงไปกับพื้น เมื่อปรับท่าทางได้ กำลังจะก้าวเดินก็เกือบจะล้มลงไปอีกครา
นางเดินกะเผลกตามหลังพระสนมซูเฟย ทำให้นางกำนัลและขันทีที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองพร้อมกับหัวเราะเยาะ พระสนมซูเฟยหันหน้ากลับมามองก่อนจะเอ่ยว่า “ที่แท้แม่นางหนิงก็ขาไม่ดีนี่เอง เช่นนั้นให้ชุนเถาช่วยพยุงเ้าก็แล้วกัน”
นางได้ฟังก็เบนสายตาไปยังชุนเถาซึ่งมีรูปร่างแข็งแรงทรงพลัง จากนั้นถึงค่อยส่ายหน้าออกมา พร้อมทั้งเอ่ยอย่างเกรงใจ “พระสนม ขาบ่าวแค่เหน็บชาเท่านั้น สามารถเดินได้เพคะ”
พระสนมซูเฟยส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่ชุนเถา เมื่อชุนเถาเห็นก็รีบเดินเข้ามาประกบข้างหนิงมู่ฉือทันที นางถึงกับเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
ชุนเถายื่นมือมาจับแขนหนิงมู่ฉือเอาไว้ ออกแรงบีบอย่างแรง เอ่ยพร้อมกับยิ้ม หากแต่เป็ยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “แม่นางหนิงไม่ต้องเกรงใจ”
นางรู้สึกเจ็บที่แขนยิ่งนัก น้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ โมโหแต่ไม่มีแรงพอจะต่อกรกับอีกฝ่าย “พยุงข้าเบากว่านี้ได้หรือไม่”
แต่ใครเลยจะรู้ว่าสีหน้าชุนเถากลับไม่เปลี่ยนไปเลย ทั้งยังคงบีบแขนนางอย่างแรงเช่นเดิม
หนิงมู่ฉือมองเห็นป้ายชื่อตำหนักิฉือมาแต่ไกล ตำหนักโอ่อ่าหรูหรา ทว่ากลับมีบรรยากาศที่ทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันยิ่งนัก ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงทุกขณะ บนหลังคาของตำหนักเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน เมื่อท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็สีดำ ตำหนักแห่งนี้ก็ดูน่ากลัวราวกับตำหนักเย็น
นางมองป้ายชื่อตำหนักิฉือที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับลอบกลืนน้ำลาย นางรู้สึกเหมือนกำลังจะมีเื่ที่น่ากลัวมากเกิดขึ้น
ชุนเถาทั้งดึงทั้งลากนางเข้าไปในตำหนัก จนนางสะดุดล้ม คุกเข่าอยู่แทบเท้าพระสนมซูเฟย
พระสนมซูเฟยในตอนนี้นั่งอยู่บนตั่งคนงาม ด้านข้างคือองค์หญิงซีเยวี่ยที่มีสีหน้าลึกล้ำ พระสนมซูเฟยถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกจากตัว ก่อนจะเดินมาตรงหน้านางแล้วโน้มตัวลงมา ใช้เล็บยาวซึ่งทาสีแดงสดลูบไล้ไปทั่วใบหน้า
นางรู้สึกหนาวะเืที่หน้าจนตัวสั่นเทิ้ม พระสนมซูเฟยโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูนางด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “แม่นางหนิง ข้าได้ยินว่าเ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเต๋อเฟยหรือ!”
นางได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งในใจ เื่ที่นางกลัวที่สุดได้มาถึงแล้ว แต่ในเมื่อฝ่าาเป็คนรับสั่งให้นางมาที่นี่ เช่นนั้นพระสนมซูเฟยคงไม่กล้าทำอะไรนางหรอกกระมัง
นางพยามทำใจดีสู้เสือ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทูลพระสนม พระสนมเต๋อเฟยเพียงคอยดูแลบ่าวเป็บางครั้งบางคราวเท่านั้นเพคะ บ่าวจึงเห็นพระนางเป็ดั่งพี่สาวคนหนึ่งของบ่าว”
พระสนมซูเฟยแค่นเสียงฮึออกมา นางหันไปมองรอบๆ ตำหนัก พบว่าโดยรอบจุดไฟเอาไว้หลายที่ นางกลัวเหลือเกินว่าหากไม่ระวังให้ดี ลมจะพัดเข้ามาแล้วทำให้ไฟเหล่านี้ไฟลุกไหม้ไปทั้งตำหนัก
ดวงหน้าขาวนวลของพระสนมซูเฟยดั่งปีศาจร้ายก็ไม่ปาน เอามือจับคางนางพร้อมกับข่มขู่ “แม่นางหนิง เ้าน่าจะรู้นะว่าคนที่ล่วงเกินข้า จุดจบมีแค่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตาย!”
ได้ยินคำนั้น นางตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เมื่อพระสนมซูเฟยปรบมือ ชุนเถาและนางกำนัลที่มีรูปร่างแข็งแรงกำยำก็เข้ามาล้อมนางเอาไว้
นางนิ่งอึ้งไป มองนางกำนัลเหล่านี้อย่างงุนงง
พระสนมซูเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า “จับนางเอาไว้ ข้าอยากจะรู้นักว่า กระดูกนางจะแข็งสักเพียงใด!”
นางร้องอุทานอย่างใเมื่อได้ฟัง พยายามดิ้นรนขัดขืน ทว่าก็ถูกนางกำนัลผู้มีเรี่ยวแรงมากเหล่านี้พาตัวไปยังห้องมืดทึบห้องหนึ่งอยู่ดี
ครั้นเข้ามาในห้อง นางได้ยินเสียงพระสนมซูเฟยเอ่ยขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางใด “ฮึ วันนี้ข้าจะทำให้เ้าเห็นถึงความร้ายกาจของข้า”
นางกลัวความมืดมาแต่ไหนแต่ไร รอบกายนางตอนนี้มีเพียงความมืดมิด นางกลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรู้สึกว่าตามตัวนางมีตัวอะไรบางอย่างกำลังไต่อยู่ นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ใช้มือจับไปตรงที่รู้สึกว่ามีตัวอะไรสักอย่างไต่อยู่ แล้วนางก็จับโดนบางอย่างที่มันนุ่มๆ ลื่นๆ
นางร้องออกมาด้วยความกลัวจับใจ ขณะที่เ้าตัวนั้นไต่อยู่บนตัวนาง นางลุกขึ้นยืน ตัวสั่นเทา ร้องไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวัง
องค์หญิงซีเยวี่ยได้ยินเสียงร้องอย่างหวาดกลัวของหนิงมู่ฉือ จึงหันไปเอ่ยถามซูเฟย “พี่สาว ทำแบบนี้จะไม่ดูว่าพวกเราโหดร้ายเกินไปหรือ”
ซูเฟยมีสีหน้าเปี่ยมสุขเมื่อได้ยินเสียงร้องของหนิงมู่ฉือ ส่งยิ้มสะใจให้องค์หญิงซีเยวี่ย “ไม่โหดร้ายหรอก ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีทางมีอายุยืนยาวอยู่แล้ว ให้พวกเราได้มีความสุขสักหน่อยจะเป็ไรไป”
องค์หญิงซีเยวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปนวดไหล่ให้ซูเฟย ซูเฟยหลับตาเสพสุขกับการนวด พร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงโเี้ “ที่อยู่ในห้องนี้คืองูไช่ฉวา[1] เป็งูไม่มีพิษ เพียงทว่าความกลัวที่หนิงมู่ฉือเผชิญอยู่อาจจะทำให้นางกลายเป็บ้าก็เท่านั้นเอง!”
องค์หญิงซีเยวี่ยยิ้ม ประกายตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายขณะนวดไหล่ให้แก่ซูเฟย
ทันใดนั้นเองขันทีข้างนอกะโรายงานว่า “พระสนมเต๋อเฟยเสด็จ”
ซูเฟยที่ได้ยินเช่นนั้นมีสีหน้าร้อนใจขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณสายตาให้ชุนเถา ซูเฟยรีบจัดเสื้อผ้าตัวเองให้ดูเรียบร้อย ฉีกยิ้มขณะเอ่ยกับองค์หญิงซีเยวี่ย “เต๋อเฟยผู้นี้คือดาวช่วยชีวิตของหนิงมู่ฉือ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนเป็พวกเดียวกัน”
องค์หญิงซีเยวี่ยพยักหน้า ขณะฟังเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ไกลๆ
เต๋อเฟยเดินเข้ามาในตำหนักของซูเฟยอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นซูเฟยนอนเอกขเนกอยู่บนตั่งคนงาม จึงยกยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “พี่สาวช่างอารมณ์ดีเสียจริง”
[1] งูไช่ฉวา เอลาเฟ คารินาตาหรืองูไต้หวันกลิ่นเหม็น ลำตัวจะมีสีเหลืองอ่อนสลับดำ พบมากสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้