ภายในลานประลอง นอกจากตระกูลเฉินแล้วก็ยังมีตระกูลโจว ตระกูลหลี่ ตระกูลหวัง ตระกูลจง ตระกูลหวง ตระกูลเซี่ย และกองกำลังอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งสำนักยุทธ์ศึกษาหลายแห่งจากเมืองหลวงที่ส่งผู้ฝึกยุทธ์มาด้วย
ทางด้านตระกูลโจว โจวมู่ไป๋ก็อยู่ด้วย และถัดจากเขายังเป็ซ่งซินหลิง โจวมู่ไป๋นั้นมีฐานะไม่ธรรมดา มีอิทธิพลต่อเมืองหลวงอย่างมาก ส่วนซ่งซินหลิงก็เป็สาวงามที่หาพบได้ยาก ดังนั้นทั้งสองจึงดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย และได้รับความชื่นชมมากมาย
“ใกล้จะเริ่มแล้ว ทำไมหวังหลงยังไม่มาอีก?” โจวมู่ไป๋กวาดมองฝูงชนด้านล่าง กลับไม่เห็นวี่แววของหวังหลง จึงอดบ่นในใจไม่ได้ แต่เขาหารู้ไม่ว่า หวังหลงได้หายตัวไปจากโลกนี้ั้แ่เมื่อคืนแล้ว
สำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้ความสำคัญกับการทดสอบนี้มาก มีผู้าุโจากสี่พรรคมาด้วยตัวเอง ตัวแทนจากพรรคเทียนเสวียนก็คือเยว่กู่
ส่วนเฉินเซี่ยงเทียนผู้เป็น้องชายของผู้นำตระกูลเฉินมาเป็ตัวแทนของพรรคเทียนจี เฉินเซี่ยงเทียนเข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาได้ 20 กว่าปีแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าเป็ผู้าุโคนหนึ่งของพรรคเทียนจี คนผู้นี้คืออาแท้ ๆ ของเฉินอ้าวเทียน ดังนั้นเฉินเซี่ยงเทียนจึงหวังว่าหนานกงหลิงซวงจะเข้าร่วมพรรคเทียนจี
“สำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้ความสำคัญกับศิษย์มากพร์มาตลอด ในขณะที่้าศิษย์ที่มีพร์เลิศล้ำก็ยังให้ความสำคัญกับพลังต่อสู้ด้วย ด่านแรกของการทดสอบคือการประเมินพลังต่อสู้ คนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 5 ขึ้นไปจะสามารถขึ้นเวที เป็ด่านศึกต่อสู้ใหญ่ ซึ่ง 3,000 คนสุดท้ายจะผ่านเข้ารอบต่อไป”
เมื่อถึงเวลาก็มีผู้าุโคนหนึ่งของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนลุกขึ้นยืนและกล่าวเช่นนั้น เหล่าผู้คนได้ยินต่างแววตาเป็ประกาย ศึกต่อสู้ใหญ่มันง่ายมากแต่มีอัตราการคัดออกสูง คนที่ยืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้ายได้ นั่นต้องมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากแน่นอน
“พรึ่บ ๆ !” จากนั้นมีหลายเงาร่างเดินออกจากฝูงชน ก่อนจะขึ้นสู่เวทีที่อยู่ใจกลางลานประลอง ซึ่งล้วนแต่เป็คนรุ่นเยาว์ที่มีอายุประมาณสิบกว่าปี ในนั้นมีอัจฉริยะจากกองกำลังใหญ่ ๆ อยู่ไม่น้อย
“จงเทา” อัจฉริยะตระกูลจงแห่งเมืองหลง เขาอายุเพียง 16 ปีก็อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 ปลุกิญญาาสิงโตขั้นเหลือง กระทั่งเป็ผู้แข็งแกร่งไม่ธรรมดา
“เซี่ยเหวินหลง” ผู้เกิดมาพร้อมกับพลังเทพ เขาอายุ 17 ปีก็มีกำลังพอจะยกของหนักถึงพันจิน แม้ยังไม่ปลุกิญญาา แต่การบ่มเพาะกลับอยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 แล้ว
“หวงจิ้ง” อัจฉริยะโฉมงามตระกูลหวงแห่งเมืองหลวง หน้าตาสะสวย นางอายุ 16 เท่าจงเทา อยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 ปลุกิญญาากระเรียนขาวขั้นเหลือง มีความว่องไวเป็เลิศ
ทันทีที่หวงจิ้งเดินขึ้นเวทีก็ดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย ถึงอย่างไรก็มีผู้หญิงน้อยคนที่เกิดมาเพียบพร้อมและหน้าตาสะสวย ดังนั้นไม่ว่าเดินไปไหนก็ล้วนเป็จุดสนใจของผู้คน
อย่างไรก็ตามเมื่อหนานกงหลิงซวงเดินขึ้นเวที ทุกคนพลันละสายตาไปจากหวงจิ้งทันที นี่เป็การพิสูจน์ว่าระหว่างหนานกงหลิงซวงกับหวงจิ้งใครโดดเด่นกว่ากันอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้าุโจากสี่พรรคแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างสนใจหนานกงหลิงซวง สายตาของพวกเขาเป็ประกาย คาดหวังว่าจะได้หญิงผู้นี้เมื่อการทดสอบจบลง ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ได้รับความสนใจจากพวกเขามากนัก
หนานกงหลิงซวงกวาดมองฝูงชนด้วยสายตาหยิ่งผยอง ราวกับว่านางคือตัวเอกของวันนี้
หนานกงหลิงซวงยืนตระหง่านบนเวทีในดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติ นั่นไม่เพียงแต่เป็ความภาคภูมิใจของนาง แต่ยังเป็ความภาคภูมิใจของตระกูลหนานกง ทำให้นางมีโอกาสเท่าเทียมกับกองกำลังใหญ่ ๆ ของเมืองหลวง
“หนานกงหลิงซวงผู้ปลุกิญญาาหงส์ขั้นเขียว การทดสอบวันนี้นางต้องเฉิดฉายที่สุดเป็แน่ ทั้งยังได้รับความสนใจจากสี่พรรคอีกด้วย” ผู้คนต่างคิดอยู่ในใจขณะมองหนานกงหลิงซวงประหนึ่งเทพธิดา
คนรุ่นเยาว์ทยอยขึ้นเวทีติดต่อกัน แม้มีหลายคนที่โดดเด่น แต่พวกเขาต้องแย่งชิงเพื่อเข้ารอบ 2,000 คนให้ได้
โจวมู่ไป๋กะพริบตาปริบ ๆ หลังจากรออยู่นาน เขาก็ยังคงไม่เห็นวี่แววของหวังหลง ทำให้เขารู้ว่าไม่อาจรอได้แล้ว
“ศิษย์น้อง ข้าขึ้นเวทีแล้วนะ” โจวมู่ไป๋กล่าวพลางยิ้มให้ซ่งซินหลิงที่อยู่ข้าง ๆ
“อืม ข้าเชื่อว่าศิษย์พี่ไม่ด้อยกว่าหนานกงหลิงซวงแน่นอน” ซ่งซินหลิงพยักหน้าพลางยิ้มจาง ๆ และนางเชื่อมั่นในตัวโจวมู่ไป๋
เพียงโจวมู่ไป๋เดินขึ้นเวทีก็สร้างความผันผวนไม่น้อย อัจฉริยะตระกูลโจวผู้แข็งแกร่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ขั้นบ่มเพาะกายาแห่งเมืองหลวง ทั้งยังมีฐานะเทียบเคียงกับหนานกงหลิงซวงได้
เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป บนเวทีก็เนืองแน่นไปด้วยเงาร่างเกือบสองหมื่นคน ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นสวมหน้ากากสีเงิน ที่หลังยังแบกหอก ซึ่งดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนตระหง่านดูต่างจากคนอื่น ๆ และการแต่งตัวของเขาก็ยังทำให้ผู้คนสนใจมาก ๆ
“หมอนั่นที่สวมหน้ากากดูโดดเด่นเป็พิเศษ” มีคนเอ่ยขึ้น
“ใช่ สวมหน้ากาก การแต่งกายดูลึกลับ เขาคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะเข้ารอบต่อไปได้งั้นหรือ?”
“คนประเภทนี้มักจะมีพลังงั้น ๆ ก็แค่ขู่ให้คนอื่นกลัวเท่านั้น”
ผู้คนกระซิบกระซาบโดยที่ในน้ำเสียงแฝงด้วยความดูถูกเย้ยหยัน
หนานกงหลิงซวงหันไปมองชายหนุ่มคนนั้นก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย
“คนคนนี้ดูคุ้น ๆ นะ” หนานกงหลิงซวงคิดในใจ จากนั้นมีภาพเงาร่างหนึ่งปรากฏในหัวของนางอย่างอดไม่ได้
“ไม่ เป็ไปไม่ได้! เขาฝึกมานานก็ยังไม่ก้าวหน้า อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 2 ไม่ก็ 3 จะมาอยู่บนเวทีนี้ได้อย่างไร?”
นางหวนนึกถึงเย่เฟิงคนไร้ค่า แต่หนานกงหลิงซวงสลัดความคิดนั้นไปทันทีและไม่สนใจเขา
บนอัฒจันทร์ เยว่กู่ก็เห็นเย่เฟิงสวมหน้ากากสีเงิน เขารู้สึกสงสัยเช่นกัน เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ มีััทั้งห้าที่เฉียบแหลม ตอนนี้เยว่กู่ััถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยของเย่เฟิงได้ มุมปากจึงเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ
“เ้าเด็กนี่ก็มาด้วย!” เยว่กู่คิดในใจ เย่เฟิงคือคนที่เยว่กู่สนใจ ตอนนั้นเย่เฟิงปฏิเสธเขา ทำให้เยว่กู่รู้สึกเสียดายมาก
ทางด้านตระกูลหลี่ มีชายหนุ่มคนหนึ่งตาเปล่งประกายราวกับเปลวไฟ มุกิญญาในกระเป๋าของชายหนุ่มคนนี้สั่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังส่งเสียงร้องออกมา
“เ้าฆ่าน้องชายข้า แต่ยังกล้ามาที่นี่เนี่ยนะ? เ้าไม่ตายดีแน่!” สายตาของชายหนุ่มคนนั้นเผยประกายเยือกเย็น ในมุกิญญาคล้ายมีพลังประหลาดบางอย่างเรียกเขาให้หันไปมองเย่เฟิงที่สวมหน้ากากสีเงิน คนผู้นี้คือหลี่หง พี่ชายของหลี่เฟยที่ถูกเย่เฟิงฆ่าในเทือกเขาปี้หลิง
หลี่หงคือลูกหลานสายตรงของตระกูลหลี่ เข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ปลุกิญญาาหมาป่าขั้นเหลือง ถือว่าเป็อัจฉริยะคนหนึ่งที่หาพบได้ยาก
ทว่าเย่เฟิงไม่สนใจสายตาของคนอื่น เขามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการทดสอบและทำให้หนานกงหลิงซวงรู้ว่าพร์ที่นางภูมิใจมันต่ำต้อยเพียงใด
จากนั้นเย่เฟิงหันไปมองโจวมู่ไป๋ ดวงตาภายใต้หน้ากากสีเงินเต็มไปด้วยความเย็นะเื
เมื่อคืนนี้โจวมู่ไป๋หน้าซื่อใจคดคนนี้ส่งผู้ฝึกยุทธ์มากมายไปลอบสังหารเย่เฟิง เพียงเพราะเย่เฟิงเดินทางร่วมกับซ่งซินหลิงในเทือกเขาปี้หลิง แค้นนี้เย่เฟิงจะจดจำตลอดไป
“เริ่มการทดสอบได้!” ขณะนั้นมีเสียงดังกังวานจากบนอัฒจันทร์ จู่ ๆ ผู้คนก็ต่างพากันตื่นเต้น การแข่งขันระหว่างอัจฉริยะ พวกเขาอยากรู้ว่าใครในนี้จะแข็งแกร่งที่สุด
พลังประหลาดเข้าปกคลุมเวทีประลอง ทำให้การบ่มเพาะของผู้เข้าแข่งขันถูกกดอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 5 จากนั้นทุกคนบนเวทีประลองเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อหาเหยื่อของตัวเอง พวกเขารู้ว่าหาก้าเข้ารอบ จะต้องกำจัดคนอื่น ๆ ให้เร็วที่สุด แต่มีส่วนน้อยที่ยังไม่เคลื่อนไหว โดยคิดว่าถึงไม่สู้ก็ผ่านเข้ารอบได้ พวกเขาช่างไร้เดียงสายิ่งนัก
มีคนเข้าร่วมเกือบสองหมื่นคน แต่มีเพียง 3,000 คนที่ผ่านเข้ารอบได้ นั่นหมายความว่าจะถูกคัดออกหลายคน หาก้าผ่านเข้ารอบ ทุกคนต้องกำจัดคู่ต่อสู้อย่างน้อยแปดคน
ศึกต่อสู้เริ่มปะทุ มีการกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่อง และทุกคนล้วนต่อสู้อย่างสุดกำลัง
อย่างไรก็ตามคนที่แกร่งสุดเ่าั้กลับไม่มีใครกล้ายั่วโมโห หากใครเข้าไปใกล้คนเหล่านี้ก็จะรู้สึกหวาดผวา จึงรีบหนีออกไปให้ห่างจากตรงนี้
หนานกงหลิงซวงเจิดจรัสเป็พิเศษ ิญญาาหงส์ถูกปลดปล่อย แสงห้าสีโคจรรอบกาย ประหนึ่งเทพธิดาหงส์ หยิ่งผยองยโสโอหัง ไม่มีใครในที่นี้กล้ายั่วยุนางสักคน
โจวมู่ไป๋ยืนตระหง่านอยู่คนละทิศกับหนานกงหลิงซวงราวกับอัจฉริยะคู่แห่งยุค เจิดจรัสไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีใครกล้าแข่งด้วย
“เ้าคนจอมปลอม ไสหัวออกไปซะ!” พลันมีเสียงดังขึ้นที่ด้านหน้าเย่เฟิง
เย่เฟิงหันไปมองก่อนจะเห็นชายหนุ่มสี่คนปรากฏตัวที่ด้านหน้าเขา พวกเขามีท่าทีหยิ่งผยอง ราวกับมาจากสถานที่สูงส่ง
เพียงเพราะจุดที่เย่เฟิงยืนอยู่ มันขวางทางเดินของพวกเขา พวกเขาจึง้ากำจัดเย่เฟิง
สี่คนนี้มาจากตระกูลเฉิน เป็คนที่ตระกูลเฉินส่งมาคุ้มกันหนานกงหลิงซวงโดยเฉพาะ และ้าเข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนร่วมกับหนานกงหลิงซวง เพื่อคอยคุ้มกันนาง
แน่นอนว่าเย่เฟิงดูออกว่าคนของตระกูลเฉินมาเพื่อปรนนิบัติ ในตอนนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิน เพราะตระกูลหนานกง้ากำจัดเขา
“หากข้าบอกว่าไม่ล่ะ พวกเ้าจะทำอย่างไร?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น เสื้อคลุมโบกสะบัดทั้ง ๆ ที่ไม่มีลมพัด
“ในเมื่อเ้าไม่ไสหัวไป งั้นข้าก็จะทำให้เ้าไปเอง!” เห็นหนึ่งในสี่คนก้าวออกมาพร้อมปล่อยพลัง จากนั้นปล่อยหมัดเหล็กเข้าโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่ลังเล
เย่เฟิงแค่นเสียงเ็า เขาปลุกิญญาาเทพัขั้นคราม ทั้งยังผ่านการต่อสู้กับสัตว์อสูรมานับครั้งไม่ถ้วน ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน แล้วมีหรือเขาจะเกรงกลัวชายหนุ่มจากตระกูลเฉินผู้นี้?
แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ เห็นเย่เฟิงเบี่ยงตัวหลบไปเล็กน้อย ก่อนหมัดเหล็กของอีกฝ่ายจะโจมตีอากาศแทน ขณะเดียวกันเย่เฟิงปล่อยหมัดออกไป ซึ่งหมัดนั่นอัดแน่นไปด้วยพลังหยวนมหาศาล มีพลังทำลายล้างที่น่ากลัว จากนั้นมันเข้าโจมตีร่างชายหนุ่มคนนั้นเข้าอย่างจัง
ชายหนุ่มคนนั้นร้องครวญคราง เขาถูกหมัดของเย่เฟิงโจมตีจนกระเด็นตกเวทีประลอง และกระอักเื
“คนผู้นี้แข็งแกร่งใช่ย่อย!” เห็นฉากนี้เหล่าผู้คนก็ต่างตะลึงงัน รู้สึกผิดคาดกับพลังของเย่เฟิง
“พลังแบบนี้ก็ไม่ต่างจากเศษสวะ กลับกล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า ตระกูลเฉินต้องอับอายขายหน้าเพราะเ้า!” เย่เฟิงถากถางขณะมองชายหนุ่มคนนั้นที่ตกเวทีประลองด้วยสายตาเย็นเยียบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้