หลัวจิ่งมองเด็กสาวที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่มี”
ทุกครั้งที่ถูกตีเขาล้วนปกป้องส่วนศีรษะไว้ด้วยสัญชาตญาณ
“โอ้... นั่นดีนัก รออีกครู่จะต้มน้ำให้เ้าสระผม” กล่าวจบ ก็ยกกะละมังเดินไป
สีหน้าหลัวจิ่งหยุดชะงักเล็กน้อย ยกมือแตะความมันทั่วศีรษะ พอรู้ว่าภาพลักษณ์ของตนเองมอมแมมมากเท่าใด ตัวเขาเองล้วนรังเกียจเหลือเกิน
การาเ็ของร่างกายเขามีเยอะนัก าแหนักที่สุดตรงหน้าอกกับบนขา บริเวณหน้าอกยาวถึงไหล่วันนั้นถูกถีบจนเจ็บอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ ตอนที่เขาล้มสลบไป มีความรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนใกล้จะตาย ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกมีอาการแสบร้อนตามมาด้วย จนกระทั่งได้ดื่มยาต้มสมุนไพรลงไป ความเ็ปแสบร้อนของลมหายใจที่ต่อเนื่องจึงบรรเทาลง
หลัวจิ่งคลำหน้าอกที่ยังคงเ็ปเล็กน้อย ขณะนี้เพิ่งจะผ่านไปได้สามสี่วัน ความรู้สึกเ็ปลดน้อยลงมากแล้ว อาการาเ็บนขาก็ดีขึ้นไม่น้อย วันนี้ หญิงชราสกุลหูที่ช่วยชีวิตเขามาช่วยเปลี่ยนยาที่ขา และแก้ไม้กระดานที่มัดอยู่ออกให้ นึกไม่ถึงเลยว่าส่วนที่หักงอจะหายบวมไปไม่น้อย หญิงชราจุ๊ปากชื่นชมด้วยความประหลาดใจ กล่าวตามตรงว่าความสามารถในการฟื้นตัวยอดเยี่ยมนัก เป็คนที่มีบุญวาสนาทีเดียว
“คนที่มีบุญวาสนา?” หลัวจิ่งมองที่ขาเงียบไปอยู่นาน ความโศกเศร้าและเสียใจที่ฝังลึกอยู่บนกระดูก [1] ปรากฏออกมาจากดวงตา
วันนั้นจูเต๋อเซิ่งลากเขาลี้ภัยมาตลอดทาง พาเขาไปหลบอยู่ในบ้านทรุดโทรมละแวกใกล้เคียงหมู่บ้านหลังจากฟ้ามืด เพื่อปิดหูปิดตาคน [2] จูเต๋อเซิ่งซื้อเสื้อผ้าเก่าของครอบครัวเกษตรกรบริเวณใกล้เคียงมาและต่างคนต่างเปลี่ยน กล่าวหลอกลวงกับภายนอกว่าเป็ลุงหลานสองคนมาหยุดพักเหนื่อย หลัวจิ่งหลบซ่อนในหมู่บ้านอย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่สิบกว่าวัน ตามคำเรียกร้องอย่างรุนแรงของเขา หลังจากนั้นจูเต๋อเซิ่งจึงแอบพาเขาเดินกลับมาสืบข่าวคราว หลบซ่อนอยู่ในเมืองเล็กๆ ใกล้เมืองหลวง ข่าวคราวที่สืบเสาะมาได้กลับเหมือนดั่งฟ้าผ่าตอนกลางวัน [3] ทุบตีความหวังทั้งหมดของหลัวจิ่งป่นปี้
ฮ่องเต้ประชวรอย่างหนัก องค์ไท่จื่อจึงเข้าแทรกแซงการบริหารบ้านเมือง สถานการณ์วุ่นวายนัก เพื่อสร้างบารมีและความน่าเชื่อถือแล้ว องค์ไท่จื่อจึงทำการเชือดไก่ให้ลิงดูด้วยความดุร้ายโเี้ ตัดสินชี้โทษความผิดอำมาตย์ที่เดิมทีสนับสนุนองค์ชายสามว่ารวมหัวกันก่อฏ ไม่สนใจคำคัดค้านของเหล่าขุนนางสั่งตัดสินโทษบั่นคอ คนหนึ่งร้อยกว่าชีวิตถูกตัดศีรษะที่ปากประตูตลาดอู๋เซวียน เืสีแดงย้อมเต็มพื้นกว้าง สกุลหลัวก็เป็หนึ่งในนั้นเช่นกัน
ข่าวร้ายที่น่าในี้ทุบร่างกายและจิตใจที่ตึงเครียดของหลัวจิ่งให้แตกสลาย และหมดสติไปในเวลานั้น หลังจูเต๋อเซิ่งหายตกตะลึง เขาก็สืบหาข่าวต่อไป ตอนที่ทราบว่าพรรคขององค์ไท่จื่อยังคงอยู่จับกุมนักโทษที่หนีรอดไปได้ จึงใเสียจนพาหลัวจิ่งมุ่งลงไปทางใต้ตลอดทางในคืนนั้น
ครั้นหลัวจิ่งฟื้นขึ้นมาก็เป็่บ่ายของวันที่สองแล้ว เพราะความกระทบกระเทือนใหญ่หลวงทำให้เขาปวดร้าวปานจะขาดใจ บวกกับนั่งเกวียนลี้ภัยมาตลอดทางยิ่งทำให้ร่างกายและจิตใจอ่อนเพลียนัก ใจลอยอยู่เช่นนี้มาหลายวัน ทำให้เกิดอาการป่วยขึ้นมา ในระยะแรก จูเต๋อเซิ่งยังปรนนิบัติอย่างระมัดระวังปลอบโยนเสียงค่อยๆ เป็เช่นนี้มาหลายวัน อาการป่วยของหลัวจิ่งไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาดีขึ้น ั์ตาของจูเต๋อเซิ่งที่มองมายังเขาพลันเปลี่ยนไปจนมืดครึ้มไม่ชัดเจน
ในเมืองแห่งหนึ่ง จูเต๋อเซิ่งแบกหลัวจิ่งที่สติเลอะเลือนลงจากรถม้า หลังแบกเขามาถึงที่ใดสักแห่งแล้ว จึงมองไปที่หลัวจิ่ง ทั่วทั้งใบหน้าแดงไปหมดเพราะพิษไข้สูงไม่ลดอย่างอธิบายไม่ได้ “คุณชาย ท่านพักอยู่ที่นี่สักครู่ เหล่านู๋ [4] ไปไม่นานแล้วจะ…กลับมา…” ยังคงจำเสียงที่มีความสั่นระริกของจูเต๋อเซิ่งได้ แต่เสียงนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นอยู่หลายส่วนมากกว่า หลัวจิ่งจ้องมองไปอย่างลางเลือน เห็นเพียงเงาหลังของจูเต๋อเซิ่งที่ไกลออกไป
ย้อนนึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ อีกครั้ง ั์ตาเรียวยาวดำขลับของหลัวจิ่งฉายแววเดือดดาลออกมา “จูเต๋อเซิ่ง” เ้าคนต่ำทรามทรยศผู้นี้ นึกถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่ประสบทุกข์หลังถูกจูเต๋อเซิ่งทอดทิ้ง ใบหน้าเงียบสงบของหลัวจิ่งยิ่งมืดหม่นขึ้นทวีคูณ
เขาตกอยู่ในสภาพไม่ได้สติไข้สูงไม่ลด ถูกคนว่างงานบนถนนพากลับไปบ้านด้วยความประสงค์ร้าย กรอกยาลดไข้ให้เขาอยู่สองสามเทียบ สามวันต่อมาจึงนำเขาไปขายให้กับพ่อค้าร่ำรวยคนหนึ่งที่โปรดปรานขุนนางชั้นผู้น้อย หลัวจิ่งไข้สูงเพิ่งจะลด ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง มองดูตนเองถูกขายให้กับชายที่ศีรษะอ้วนหูใหญ่ [5] ผู้นั้น ความเดือดดาลและขยะแขยงเต็มอยู่ในจิตใจ แต่กลับบรรดาลโทสะออกมาไม่ได้
โชคดีที่เขาป่วยร่างกายอ่อนแอ พ่อค้าร่ำรวยเอาเขาไปพักฟื้นไว้ในห้องเล็กห้องหนึ่งหลังบ้าน แล้วส่งเพียงเด็กรับใช้ที่ยังไม่โตหนึ่งคนมาดูแลรักษาเขา สิ่งต่างๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้เขาตระหนักได้ถึงสถานการณ์ของตนเองอย่างมีสติ จึงข่มความโศกเศร้าภายในใจไว้ พยายามรักษาอาการป่วยด้วยความรอบคอบ
ห้าวันต่อมา ร่างกายโดยรวมเขาหายเป็ปกติแล้ว ในยามราตรีที่มืดสนิท จึงได้ตีเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูจนสลบ แล้วปีนกำแพงรั้วจากหลังบ้านออกไป
หลัวจิ่งเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้กับหลัวรุ่ยั้แ่ยังเล็ก แต่หลัวรุ่ยฝึกอย่างขยันหมั่นเพียรเป็จริงเป็จัง ส่วนหลัวจิ่งกลับอยู่ภายใต้การดูแลประคมประหงมของท่านย่าและมารดา มักจะใช้กลอุบายอันชาญฉลาดเล็กๆ น้อยๆ แอบอู้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่ใส่ใจบนทางต่อสู้ป้องกันตัว เป็ผลให้เรียนได้ไม่นานจึงเป็ได้แค่ระดับน้ำครึ่งถัง [6] เก่งกว่าคนธรรมดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แน่นอนว่า ความโชคดีในระดับงูๆ ปลาๆ เช่นนี้ของเขา จึงฝืนปีนข้ามกำแพงสูงหลังบ้านของพ่อค้าผู้ร่ำรวยออกมาได้
เกรงกลัวว่าพ่อค้าผู้นั้นจะไล่กวดตามมาหากพบว่าเขาหลบหนี ในคืนนั้นเขาจึงรีบเร่งจนมาถึงปากประตูเมือง พลันฟ้าสว่างก็รีบพุ่งออกจากกำแพงเมืองไป เขาหยิบช้อนเงินจากบ้านพ่อค้าผู้ร่ำรวยติดมือมาด้วย อาศัยสิ่งนี้ เดินโซซัดโซเซตลอดทางไปยังทิศใต้ห้าวัน น่าเสียดาย แม้ว่าเขาจะฉลาดแต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยออกเดินทางไกลด้วยตนเองเช่นนี้เลย ทันทีที่มาถึงเมืองไท่ผิง เงินที่จำนำช้อนเงินได้ก็จ่ายไปเกลี้ยงแล้ว ผลที่ตามมาของการไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ชีวิตจึงเปลี่ยนไป
ไม่มีเงิน ไม่สามารถอยู่โรงเตี๊ยมได้ ไม่สามารถหาอาหารได้ เขาเดินไปเดินมาอยู่ข้างถนนด้วยความสับสนมึนงงไม่กี่วัน หิวเสียจนสองตาเขียวคล้ำ ฟู่เหรินคนธรรมดาครอบครัวหนึ่งเห็นว่าเขาน่าเวทนา จึงให้หมั่นโถวหนึ่งลูกแก่เขา เขาหิวเสียจนสองตาพร่าลาย ไม่ได้ห่วงว่าจะทำลายศักดิ์ศรีตนเองหรือไม่ สกุลหลัวเหลือเพียงเขากับพี่ใหญ่แล้ว ท่านแม่ของเขายอมสละชีวิตออกไปเพื่อช่วยเขา เขาจะตายไม่ได้ เขาเองก็ไม่อยากตายเช่นกัน เขายังมีเื่ที่ต้องสะสาง…
ยอมรับว่าเขาหน้าตาไม่เหมือนคนร่อนเร่ที่สกปรกโสมมและเลอะเทอะนัก มักมีฟู่เหรินสงสารและให้ทานอยู่บ่อยๆ แม้ภายหลังตลอดมาจะไม่ได้ทานข้าวอิ่ม แต่ถึงอย่างไรก็ไม่หิวจนตาย
การเป็เช่นนี้ กลับทำให้คนร่อนเร่ที่ขอทานตามถนนบางคนไม่พอใจ คิดว่าหลัวจิ่งแย่งอาณาบริเวณของพวกเขา สองสามคนร่วมกันเอาเขาไปกักไว้ตรงทางเข้าตรอก แม้เข้าจะมีฝีมือการต่อสู้พื้นๆ อยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ต้านพวกที่มากกว่าไม่ไหว หลายครั้งเกิดรอยแผลนับไม่ถ้วน ครั้งหนึ่งที่โเี้ที่สุดคือเหยียบขาซ้ายของเขาหัก
ความเ็ปทิ่มแทงใจในกระดูกที่หักนั่น ขณะนี้เขาล้วนจำได้อย่างแจ่มชัด
“ยู่เซิง” เสียงเรียกะโใสและไพเราะดึงสติของหลัวจิ่งกลับมา มองไปยังทิศทางของเสียง เด็กสาวบอบบางถือกะละมังน้ำร้อนกรุ่นเดินเข้ามา
หลัวจิ่งมองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย หากไม่ใช่เป็ครอบครัวของนาง เกรงว่าเขาคงเป็ศพหนึ่งศพบนสุสานแล้วกระมัง
“เ้านอนราบลง แล้วเอาศีรษะวางไว้ขอบเตียง ข้าจะได้สระผมให้เ้าได้สะดวก” เจินจูไม่ใส่ใจสีหน้าที่ยุ่งเหยิงของเขา และให้ความสนใจน้ำร้อนที่ถืออยู่ในมือ
วางน้ำร้อนลงเรียบร้อย เจินจูก็วิ่งกลับไปห้องหลักหยิบม้านั่งสูงหนึ่งตัว
“… ข้า ล้างเองเถิด?” มุมปากหลัวจิ่งค่อยๆ ขยับกล่าวด้วยความลังเลใจ
“เ้านอนดีๆ เถิด ทั้งร่างล้วนาเ็ อย่าหลับหูหลับตาทำ อีกเดี๋ยวาแจะปริเปิดเอา มา... นอนราบลง ยื่นศีรษะออกมาขอบเตียง” แล้วจึงตบขอบเตียงเบาๆ เจินจูเผลอใช้น้ำเสียงที่เคยสั่งสอนผิงอันอย่างไม่รู้ตัว เปิดฟูกข้างเตียงออก แล้วรองผ้าสะอาดหนึ่งชิ้นไว้
“อื้ม เช่นนี้แหละ ดี อย่าขยับเล่า” มือหนึ่งประคองศีรษะของเขาไว้ อีกมือหนึ่งเริ่มขยี้เส้นผม ในกะละมังนางใส่จ้าวเจี่ยวไว้ก่อนเรียบร้อยแล้ว คิดว่าถูไม่กี่ทีก็น่าจะพอได้
ลำคอหลัวจิ่งแข็งทื่อไม่กล้าขยับตามอำเภอใจ ่เวลาที่หลบหนีตายครั้งแล้วครั้งเล่า ทำได้เพียงหวีผมล้างหน้าเป็บางครั้งเมื่ออยู่ริมแม่น้ำลำคลองเล็กๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้ล้างผมให้สะอาดอย่างจริงจัง คราบสกปรกเต็มศีรษะทำให้หลัวจิ่งที่เงียบไม่พูดจาเก้อเขินไม่หยุด บนใบหน้าปรากฏสีแดงเข้มอย่างน่าสงสัย เด็กสาวเอามือรองศีรษะของเขาแล้วชำระล้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือเล็กเรียวลูบหนังศีรษะไปมา ปลายนิ้วที่นุ่มนิ่มไล้จากบนลงล่าง ั์ตาหลัวจิ่งสะท้อนเงาใบหน้าเล็กของเด็กสาวที่จริงจังขะมักเขม้น ไม่เหมือนกับที่คิดไว้ในใจพักหนึ่ง ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ใบหน้าที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ อ่อนโยนลง
เจินจูในยามนี้ไม่ได้สนใจสีหน้าที่แสดงออกมาเล็กๆ น้อยๆ ของหลัวจิ่ง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองสีดำสนิทเต็มกะละมังอย่างรังเกียจ ในใจแขวะไม่หยุดว่า สกปรกมากจริงๆ ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้สระผม โชคดีที่ไม่มีเหา ไม่เช่นนั้นต้องเอาผมของเขาตัดให้เกลี้ยงทั้งหมดอย่างเสียไม่ได้แน่ เจินจูกำลังคิดอย่างโหดร้าย
มือยังคงถูไปมาไม่หยุด จนกระทั่งโคนผมสะอาดเล็กน้อย จึงบิดเส้นผมให้แห้ง เอาศีรษะดันไปทางขอบเตียง “เ้าอยู่เช่นนี้สักเดี๋ยว ข้าไปเปลี่ยนน้ำในกะละมังก่อน” ไม่รอให้เขาตอบ ยกน้ำสกปรกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่นางต้มน้ำร้อนเต็มหม้อ รอตอนเปลี่ยนน้ำกะละมังที่สาม ในที่สุดผมของหลัวจิ่งจึงนับว่าสระสะอาดแล้ว นางหยิบผ้าที่ปูรองอยู่ด้านล่างของศีรษะเขาขึ้นมาและบิดผมให้แห้งอย่างพิถีพิถัน บิดไปบิดมา จู่ๆ เจินจูรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับคนใช้หญิงก็ไม่ปาน คิดในใจว่า ก่อนที่เ้าเด็กนี่จะตกอับ คงเป็สาวรับใช้ที่ช่วยสระผมให้กระมัง มิน่าเล่าสีหน้าของเขาจึงเป็เช่นนี้ เรียกใช้นางเป็สาวรับใช้จริงๆ เลยเถิด
พอคิดได้ จึงมองหลัวจิ่งที่สงบและไม่พูดจาแวบหนึ่ง นางยิ่งรู้สึกว่าที่ตนคิดไว้ไม่มีผิดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การกระทำในมือจึงหยุดลงพักหนึ่ง มองผมที่แห้งไปครึ่งแล้วยิ่งโกรธในใจ
“เอาเถิด ให้มันแห้งไปตามธรรมชาติแล้วกัน” จัดเก็บสิ่งของจึงลุกขึ้น ยกเท้าแล้วก้าวจากไป
“ขอบคุณเ้ามากนะ!” เสียงกล่าวขอบคุณอย่างชัดเจนและจริงใจดังขึ้นที่เื้ั ฝีเท้าที่เร่งรีบหยุดลงครู่หนึ่ง เจินจูหันกลับมามองเด็กชายที่กึ่งนั่งอยู่บนเตียง ผมเหยียดตรงที่แห้งไปครึ่งกระจายอยู่ข้างหลัง กองหิมะนอกหน้าต่างสะท้อนแสงสว่างขลับให้เครื่องหน้างดงามของเขาเด่นชัด รอยแผลบนใบหน้าก็ไม่อาจลดความโดดเด่นล้ำเลิศของเขาลง
เจินจูมองอย่างตะลึงงัน พักหนึ่งจึงกะพริบตาดึงสติกลับมา ทันทีหลังจากนั้นก็ตอบกลับอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย “ไม่ต้องขอบคุณ เ้าพักผ่อนให้เต็มที่เถิด เวลาอาหารเย็นยังอีก่หนึ่งเลย” เฮ้อ... นึกไม่ถึงเลยว่านางจะมองเด็กชายคนหนึ่งอย่างใจลอย น่าขายหน้าเสียจริง ยกเท้าเดินไปด้วยความคับแค้นใจ
ชั่วพริบตาเดียวรุ่งสางวันที่สองก็มาถึง สีของท้องฟ้าดีมากนัก ยังคงแจ่มใสปลอดโปร่ง
เจินจูสวมเสื้อหนาวตัวใหม่ที่หลี่ซื่อรีบทำให้จนเสร็จ รู้สึกค่อนข้างมีความสุข เสื้อหนาวสีแดงอ่อนลายดอกไม้เข้มขับผิวให้เด่นมากจริงๆ ด้วย ใบหน้าเล็กของเจินจูขาวสะอาดไร้จุดด่างพร้อย แต่ราวกับเปื้อนสีแดงจางๆ เล็กน้อย มองแล้วน่ารักสวยหวานยิ่งขึ้น หลี่ซื่อวนรอบเจินจูด้วยความพึงพอใจอยู่สองสามรอบ ดูอย่างละเอียดไม่กี่ที จึงไปยุ่งกับงานอื่นด้วยหางตาอมยิ้ม
หวังซื่อจุ๊ปากชื่นชม “สีนี้ขับให้เจินจูของเราโดดเด่นยิ่งนัก สวมเสื้อหนาวบนร่างนี้แล้ว ใบหน้าเล็กของเจินจูกลับเหมือนเซียนเด็กในภาพมงคลก็มิปาน”
เซียนเด็กในภาพมงคล? เจินจูนึกย้อนถึงภาพในวันตรุษจีนที่เคยเห็นเมื่อก่อน ท่าทางอ้วนตุ๊ต๊ะเช่นนั้นคล้ายกับนาง? รู้สึกว่าบนศีรษะมีอีกาบินผ่าน เอาเถิด เด็กน้อยในสายตาคนชรา หน้าตาเหมือนเด็กในภาพวาดมงคลตรุษจีน เป็การบรรยายของการมีโชคลาภวาสนา เจินจูคิดในแง่ดี
เข้าเมืองครั้งนี้ มีเพียงหวังซื่อ หูฉางหลินและเจินจูสามคน ไม่จำเป็ต้องแบกกระต่ายไปขาย หูฉางกุ้ยก็ไม่ตามไปด้วย อย่างไรเสียงานที่บ้านก็ไม่น้อย
ใช้เครื่องปั้นดินเผาสะอาดหนึ่งใบใส่ลูกชิ้นปลาวางไว้ในตะกร้าแบก เจินจูมองลูกชิ้นเผือกในบ้านที่เหลืออยู่ คิดนิดหน่อย จึงหยิบถ้วยดินเผาอีกหนึ่งใบใส่ทุกอย่างเข้าไปอย่างละนิด หลังเตรียมเรียบร้อย สามคนจึงออกเดินทางมุ่งตรงไปยังทางเข้าหมู่บ้าน
หน้าหนาวค่อยๆ รุนแรงขึ้น ผักและผลไม้มีน้อยมาก หูฉางหลินแบกเห็ดแห้งสิบชั่งขึ้นมา ตั้งใจสำรวจราคาตลาดเสียหน่อย ขณะนั้นฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาติดๆ กัน สกุลหูทั้งครอบครัวช่วยกันเก็บเห็ดมาหลายร้อยชั่ง หลังอบแห้งแปรรูปจึงมีร้อยกว่าชั่ง ขอเพียงราคาขายดี รายรับก็จะได้ค่อนข้างมาก
ภายในและนอกหมู่บ้านวั้งหลิน ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็หิมะขาวผืนหนึ่ง ถนนตรงกลางกระจัดกระจายเต็มไปด้วยรอยเท้าตื้นๆ ลึกๆ ยุ่งเหยิงไปหมด ต้นไม้ข้างทางเต็มไปด้วยหิมะปกคลุม ครั้นมีคนเดินถนนเดินผ่าน “สวบ สวบ” กองหิมะหนาจากยอดไม้ก็ร่วงลงพื้นเป็ครั้งคราว
น่าสนใจจริงๆ! เจินจูย่ำตามรอยเท้าของหวังซื่อทีละก้าวๆ ดวงตาหนึ่งคู่ชื่นชมมองซ้ายแลขวาบนโลกหิมะน้ำแข็งนี้ ถนนบาง่เป็โคลน กองหิมะหนาบ้างตื้นบ้าง เจินจูก้าวจนซวนเซ ระยะทาง่หนึ่งที่ไม่ไกลแต่ใช้เวลามากกว่าปกติหนึ่งในสามส่วน
เชิงอรรถ
[1] ฝังลึกอยู่บนกระดูก เป็การบรรยายว่าความเกลียดชังที่ยากจะลืมเลือน เหมือนกับฝังอยู่บนกระดูก
[2] ปิดหูปิดตาคน หมายถึง การใช้ภาพจอมปลอมปิดบังความจริง หลอกคนอื่น หรือตบตาคนอื่น
[3] ฟ้าผ่าตอนกลางวัน หมายถึง เจอเื่ราวที่ไม่คาดฝัน ทำให้ใอย่างหนัก เหมือนดั่งฟ้าผ่าในตอนกลางวันแสกๆ
[4] เหล่านู๋ คือคำที่บ่าวชราใช้เรียกตนเอง
[5] ศีรษะอ้วนหูใหญ่ หมายถึง ศีรษะและร่างกายมีรูปร่างใหญ่โต
[6] น้ำครึ่งถัง เป็การอุปมาว่า ฝีมือการต่อสู้ยังไม่ถึงระดับสูง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้