ปู่เฉียนไม่ได้กล่าวอะไร ลุงเฉียนใหญ่และลุงเฉียนรองจึงมองหน้ากัน ในเมื่อหนูฟู่อินเป็คนมาขอด้วยตัวเอง เื่นี้จึงไม่ช่วยไม่ได้
อีกทั้งนางยังเพิ่งจะช่วยคนของบ้านพวกตนไปเมื่อเร็วๆ นี้ด้วย
ปู่จะว่าอย่างไรกันนะ
“ฟู่อิน งานในไร่มันยุ่ง เ้าให้ท่านปู่พาคนไปด้วยแค่คนเดียวได้หรือไม่?” เหลียงซื่อเห็นว่าปู่กำลังคิดอยู่ จึงเอ่ยถามในสิ่งที่คิดออกมา
หากเป็ก่อนหน้านี้นางคงไม่คิดจะช่วย แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ฟู่อินได้ช่วยชีวิตหลานของนางผู้เป็ลูกคนโตของสะใภ้รอง เป็บุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่ต้องได้รับการทดแทน
“ข้าคิดมาดีแล้ว หากท่านปู่เฉียนพาลุงทั้งสองไปด้วย พวกเขาจะดูแลกันและกันได้ แล้วต่อให้เกิดอะไรขึ้นมาก็จะมีคนหนึ่งกลับมาขอความช่วยเหลือได้ทันทีด้วย” หลินฟู่อินอธิบาย ปู่เฉียนจึงมองนางอย่างประทับใจครู่หนึ่ง แต่ยังคงไม่กล่าวอะไรออกมา
เมื่อเห็นหลินฟู่อินไม่ยอมถอย เหลียงซื่อจึงมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
แต่คำพูดถัดมาของหลินฟู่อินก็ทำให้นางต้องขมวดคิ้วพร้อมรอยยิ้ม
“เื่งานในไร่ ฟู่อินผู้นี้จะจ้างคนสามคนมาจัดการแทนเอง โดยให้ห้าอีแปะต่อวันต่อคน” หลินฟู่อินกล่าวเรียบๆ
คิ้วของปู่เฉียนคลายปมลง แล้วจึงพยักหน้าช้าๆ “หากไม่ต้องห่วงเื่ที่บ้านแล้ว ต่อให้ไปกันหมดก็ไม่เป็ปัญหา”
เมื่อหลินฟู่อินเห็นเขาตกลงแล้ว นางก็รู้สึกเหมือนได้ยกูเาออกจากอก
ในตอนที่ฉู่ซื่อยังมีชีวิตอยู่ นางเคยบอกเ้าของร่างนี้ว่าคนในหมู่บ้านหูลู่ต้องขยันกันมาก และปู่เฉียนผู้นี้เป็คนที่เชื่อถือได้
ท่านปู่ผู้นี้เป็คนมีความสามารถ
ขอเพียงเขาตกปากรับคำมา เขาก็จะพยายามเต็มที่เพื่อให้ได้ผลของงาน
“ปู่เฉียนไม่ต้องกังวล ในการออกไปตามหาพ่อข้าครั้งนี้ พวกท่านก็จะได้ค่าจ้างเช่นกัน ข้าให้แปดอีแปะต่อวันต่อคน!” หลินฟู่อินว่าต่อ
ได้ยินหลินฟู่อินกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครในบ้านเฉียนคัดค้านอีก
ปกติแล้วการทำงานในไร่ฤดูนี้จะยุ่งมาก แต่เมื่อฝากงานให้คนอื่นจัดการไปแล้วเช่นนี้ การไปตามหาคนกลางแดดหรือกลางฝนก็ยังถือว่าเบากว่ามาก
และค่าจ้างยังสูงกว่าปกติ จึงไม่มีทางที่บ้านเฉียนจะไม่พอใจ
แต่เดิมแล้วปู่เฉียนแค่อยากให้หลินฟู่อินจ้างคนอื่นมาทำงานแทนพวกเขา แต่เมื่อนางจ่ายเงินจ้างพวกเขาด้วยเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งมีใจอยากทำมากขึ้นไปอีก
แม้การทดแทนบุญคุณจะเป็เื่สำคัญ แต่เมื่อมีค่าจ้างมาเสนอถึงที่ก็ไม่ควรปฏิเสธ อย่างไรเสียก็ยังมีปากท้องให้เลี้ยง
ที่เขาทำได้มีเพียงการพาลูกชายทั้งสองไปช่วยตามหา แต่เขาก็รู้ว่าหลินฟู่อินจ่ายค่าจ้างระดับนี้ได้สบาย
“หากหนูฟู่อินยอมจ่ายค่าจ้างสูงขนาดนั้นแล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องพูดอีก” สายตาของปู่เฉียนฉายประกายความเอ็นดูขึ้นมา “ส่วนของข้าไม่ต้องจ่ายก็ได้ จ่ายแค่ส่วนของลุงๆ ทั้งสองของเ้าก็พอ”
ปู่เฉียนเองก็มีความเป็ลูกผู้ชาย เขาจึงกล่าวออกมาก่อนว่าไม่ต้องจ่ายส่วนของเขาก็ได้
“ได้ แต่ถึงข้าจะอาศัยความเป็เด็กแล้วไม่จ่ายค่าจ้างให้ท่านปู่ก็ตาม ข้าก็ยังต้องจ่ายค่าข้าวค่าน้ำให้ทั้งสามอยู่ดี ให้วันละแปดอีแปะก็แล้วกัน” หลินฟู่อินกล่าว
นางไม่อยากใช้ประโยชน์จากเื่นี้ จึงอาศัยการพลิกลิ้นแทน ซึ่งมันสามารถรักษาได้ทั้งหน้าและชื่อเสียงของปู่เฉียน
เช่นนี้แล้ว ปู่เฉียนก็ยิ่งพอใจมากขึ้นไปอีก
“ค่าน้ำค่าอาหารนี่ เราไม่ต้องใช้มากถึงวันละแปดอีแปะหรอก” ย่าเหลียงซื่อยกยิ้มแล้วกล่าวขัดขึ้นมา ในบ้านหนึ่งหลัง แค่หนึ่งอีแปะก็เพียงพอสำหรับการซื้อหมั่นโถวลูกใหญ่ได้เจ็ดถึงแปดลูก นั่นรวมค่าน้ำแล้วด้วย ทั้งยังพอไปถึงการซื้อฟืนสำหรับตุนไว้ในห้องเก็บของด้วย
ความจำเป็ที่ต้องใช้ถึงแปดอีแปะมันอยู่ตรงไหนกัน
“ย่าเหลียงซื่ออย่าได้พูดเช่นนั้น ภายนอกนั้นมีเื่ลำบากมากมาย นี่ถือเป็การแลกเปลี่ยน” ฟู่อินกล่าวอย่างรวดเร็ว แล้วจึงปลดถุงใส่เงินข้างเอวลงมาเพื่อยื่นให้ย่าเหลียงซื่อ “ในนี้มีเศษเหรียญอยู่สี่สิบเหรียญกับเหรียญใหญ่อีกหลายเหรียญ ถือเป็ค่ามัดจำให้ปู่เฉียน เมื่อถึงวันแล้วข้าจะจ่ายที่เหลือให้อีกครั้ง”
บ้านเฉียนต่างก็ทึ่งไปกับท่าทีสุภาพของหลินฟู่อิน พลันเกิดความประทับใจขึ้นมากันทันที
เมื่อหลินฟู่อินจากไปแล้ว ปู่เฉียนจึงมองแผ่นหลังของนางก่อนหันไปกล่าวกับบุตรทั้งสอง “เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย” จากนั้นก็หันไปมองสมาชิกครอบครัวทีละคน แล้วกล่าวต่อ “พวกเ้าควรติดต่อกับนางให้มากขึ้นในอนาคต และหากมีอะไรที่ช่วยนางได้ก็จงทำซะ เพราะข้าคิดว่านางน่าจะเป็คนที่ให้ความสำคัญกับบุญคุณมากกว่าความแค้น”
เหล่าสมาชิกในบ้านเฉียนพยักหน้ารับกันอย่างจริงจัง นี่เป็ผลให้พวกเขาได้รับการดูแลจากหลินฟู่อินอย่างดีในอนาคต จนได้กลายเป็บัณฑิตขั้นสูงกลุ่มแรกของหมู่บ้านหูลู่ แต่นั่นเป็เื่ในอนาคต
แต่ในความเป็จริงแล้ว ด้วยความที่หลินฟู่อินเป็ผู้มีพระคุณของบ้านเฉียน ดังนั้นต่อให้หลินฟู่อินไม่จ่ายค่าจ้าง บ้านเฉียนก็ควรจะช่วยนางเพื่อเป็การตอบแทนบุญคุณอยู่ดี
แต่บ้านเฉียนไม่คิดเช่นนั้น และโชคดีที่หลินฟู่อินก็ไม่คิดเช่นกัน
เมื่อหลินฟู่อินกลับถึงบ้าน นางก็ได้เห็นหลินซานหลางนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยเขากำลังจดจ่ออยู่กับการกินเจียนปิ่งตรงหน้าอย่างตะกละตะกลาม ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองว่าใครที่เข้าบ้านมา
พอเห็นหน้าตอนกำลังสวาปามอาหารของเขาแล้ว นางก็จำชีวิตของนางในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อชาติก่อนได้ เป็่ที่นางมักหิวโซจนไม่สนใจสภาพตอนกินของตัวเอง
นางเห็นหลินซานหลางในสภาพนั้นแล้วก็ใจอ่อน คนที่กำลังอยู่ใน่การเจริญเติบโตผู้นี้คงใช้เวลาอีกนานในการกิน และเมื่อดูท่าทีของจ้าวซื่อแล้ว ก็เห็นได้ว่านางไม่ได้สนใจเขามากนัก เป็การมีแม่ที่เหมือนไม่มี น่าสงสารยิ่งนัก
เมื่อย่าหลี่เห็นว่านางกลับมาแล้ว ก็รีบเข้ามาทักทันที “รีบเข้ามากินมื้อเย็นสิ”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับ
“จะให้วางอาหารไว้ตรงไหนดี?” ย่าหลี่ถามพลางเหลือบมองหลินซานหลาง
หลินฟู่อินไม่ได้รังเกียจอะไรเขา จึงกล่าว “วางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าจะได้ร่วมโต๊ะกับญาติสาม”
ย่าหลี่มองนางอย่างรักใคร่ แล้วจึงพยักหน้า ก่อนที่จะเข้าไปนำข้าวต้มและเครื่องเคียงออกมาจากครัว
หลินซานหลางหยุดกินทันที เมื่อได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน
เขาแน่นิ่งไป สายตาพลันเหม่อลอย
หลินซานหลางหรือหลินติ้งนั้นไม่ใช่คนโง่
เขาไม่อยากไปเรียน แต่ทันทีที่เขาเกิดมา แม่ของเขาก็ปล่อยข่าวออกไปไม่หยุดว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาจะได้รับสืบทอดมรดกของบ้านสาม ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่เคยต้องสนเื่อื่นๆ เลย
และเพราะแบบนี้ เด็กๆ ในหมู่บ้านจึงล้อเลียนเขาด้วยเื่นี้มาตลอด และมักจะอารมณ์เสียใส่เขาทุกครั้งเมื่อได้เล่นด้วยกัน ทั้งยังล้อเขาเสมอว่าเมื่อไรถึงจะได้รับสืบทอดบ้านสามกัน
เขาตอบอะไรไม่ได้ และรู้สึกขายหน้ามาก
แม้เขาจะยังเด็ก แต่เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เื่ดี
และแม้แต่พวกผู้ใหญ่เอง ก็ยังถามเขาเื่นี้บ่อยๆ เวลาที่เจอกัน
แม้พวกผู้ใหญ่จะไม่ได้ประสงค์ร้ายอะไร แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกอับอายอยู่ดี
เมื่อเขากลับไปบอกกับแม่ว่าเขาจะไม่สืบทอดบ้านสาม เขาอยากเป็ลูกชายของบ้านใหญ่ต่อไป
แต่แม่ของเขากลับทุบตีเขาอย่างรุนแรง ดุด่าว่าเขามันไอ้ตัวน่าผิดหวัง และกล่าวว่าเขาว่าไม่น่าเกิดมาเลย…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้