ตี้หลิงหานที่อยู่เบื้องหน้าหัวเราะอย่างเ็า น้ำเสียงของเขานุ่มนวล ทว่ากลับแสดงให้เห็นถึงการเสียดสีและถากถาง เสียงหงุดหงิดของเขาช่างน่ากลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
ร่างของฮวาเหยียนสั่นสะท้าน สภาพแวดล้อมเช่นนี้ถือว่าเป็การทดสอบจิตวิทยาของผู้คนจริงๆ ภาพที่คนคนหนึ่งถูกถลกหนัง เือาบไปทั่วร่างช้ำเืยังค่อยๆ หยดลงพื้น ตามมาด้วยเสียงหายใจหอบหนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง คนผู้นั้นกลับยังไม่ตาย
แต่ฮวาเหยียนจับประเด็นสำคัญอย่างชัดเจนในประโยคคำพูดของคนตรงหน้านางได้ เปิ่นกง? การเรียกขานแทนตัวเองที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้ก็มีเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
คนคนนี้คือองค์รัชทายาทแห่งต้าโจว? ฮวาเหยียนไม่ค่อยรู้เื่ราวของราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าโจวมากนัก จากหุบเขาจนถึงต้าโจว ตลอดทางมีแค่เื่กิน ดื่ม รื่นเริงเท่านั้น คิดเพียงแต่ว่าหากถึงเมืองหลวงแล้วค่อยซักถามผู้คนที่ได้พบเจอ ทว่ากลับพบกับคนปัญญาอ่อนที่น่ารังเกียจอย่างฉู่หลิวซวงแทน ขณะที่เพิ่งตั้งหลักปักฐานก็ถูกเชิญมาที่นี่อีก
อย่างไรก็ตาม องค์รัชทายาทแห่งต้าโจว ตี้หลิงหาน นางรู้จักดี เขาคืออดีตคู่หมั้นของมู่อันเหยียน!
ผู้ชายเฮงซวยที่เมื่อตอนเกิดเื่กับมู่อันเหยียน เขากลับถอนหมั้นนาง
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ดวงตาของฮวาเหยียนก็ดูเหมือนจะลุกเป็ไฟ “เ้าคือองค์รัชทายาทตี้หลิงหานใช่หรือไม่? ”
ฮวาเหยียนถาม แม้จะถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงสงสัยแต่ในใจของนางกลับค่อนข้างแน่ใจว่าใช่
คิ้วของตี้หลิงหานขยับเล็กน้อยราวกับว่าเขารู้สึกประหลาดใจในน้ำเสียงที่คล้ายกับการตั้งคำถามของฮวาเหยียน ยามที่สองสายตาสบประสาน ช่างเป็่เวลาแห่งความเงียบงัน ปรากฏว่านางจำเขาไม่ได้เลย ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เพียงแค่เวลาสี่ปี ผู้หญิงคนนี้ลืมกลับไปแล้วว่าเขามีหน้าตาเช่นไร?
พอคิดถึงจุดนี้ สีหน้าก็ยิ่งดูไม่ได้...
ฮวาเหยียนเห็นว่าตี้หลิงหานไม่ได้ปฏิเสธ เช่นนั้นก็แปลว่านางคงเดาถูก ขณะนี้หน้าอกของฮวาเหยียนกำลังจะะเิ องค์รัชทายาทตี้หลิงหานผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง หลังจากนั้นเกิดเื่นั้นกับมู่อันเหยียนแล้ว เขากลับมาถอนหมั้นนางถึงหน้าประตู ในยามนั้นนางจะให้นางยืนอยู่จุดใดในสังคม?
ในยามนี้เมื่อนางกลับมาพร้อมกับบุตรชาย เขากลับจับหยวนเป่ามาที่นี่เพื่อขู่ให้นางมาหา เพราะ้าของ? ของอะไร? เป็ธรรมดาที่ชายหญิงที่เคยหมั้นหมายกันจะมอบสิ่งดีๆ ให้แก่กัน ทว่าเหตุการณ์ผ่านมาถึงตอนนี้เขายังคิดว่าจะเอาของคืนอีกหรือ?
ฮวาเหยียนแทบกระอักเืออกมาแล้ว
องค์รัชทายาทหลิงหานผู้นี้มีเปลือกนอกที่งดงาม แต่ทว่าภายในจิตใจกลับเลวทรามยิ่งนัก
ตี้หลิงหานเห็นฮวาเหยียนจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่วางตา ดวงตาของนางราวกับมีไฟลุกโหม คิ้วดาบของเขากระตุกเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาราวกับทนต่อไปไม่ไหวแล้ว "ข้าขอถามเ้าเป็ครั้งสุดท้าย ของอยู่ที่ใด? "
ทันทีที่ฮวาเหยียนได้ฟัง นางพลันคิดว่าบุรุษผู้นี้ยังไม่จบอีกหรือ? ถึงแม้ไม่รู้ว่าของที่ว่าคืออะไร แต่ของที่ให้ไปแล้วก็ยัง้าได้คืนอีกหรือ? นี่เป็ของสำคัญถึงขั้นต้องลักพาตัวคนเลยเช่นนั้นหรือ? ไฟโทสะทะยานขึ้นกลางหน้าผากของนาง ใบหน้าของฮวาเหยียนในตอนนี้น่าเกลียดยิ่งนัก นางหัวเราะเยาะพร้อมกับพูดจาประชดประชัน
"ตี้หลิงหาน องค์รัชทายาทผู้สง่างาม พระองค์ยังมีเกียรติเหลือไว้อยู่อีกหรือไม่? ของที่มอบให้แล้วยังมีหน้ามาเอาคืนไปอีกหรือ ท่านยังเป็บุรุษอยู่หรือไม่? "
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้จบลงก็พลันเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารจากร่างของตี้หลิงหานทันที ชายหนุ่มหรี่ตามองฮวาเหยียนราวกับว่าเขาไม่คิดว่านางจะพูดคำนี้ออกมา ก่อนจะเปิดปากกล่าวขึ้นมาด้วยคำพูดเ็าว่า "ไหนเ้าลองพูดอีกรอบสิ"
เดิมทีฮวาเหยียนก็เป็คนที่กล้าหาญอยู่แล้ว ดังนั้นเหตุใดนางถึงต้องเกรงกลัวองค์รัชทายาทตี้หลิงหานด้วยเล่า? ตอนนี้นางยิ่งรู้สึกดูแคลนชายหนุ่มตรงหน้าเข้าไปใหญ่ นางคิดว่าเขาใจแคบ ตระหนี่ ขี้ขลาด เป็ผู้ชายเฮงซวย
“หม่อมฉันกล่าวว่า พระองค์ไม่ใช่บุรุษเพคะ”
ฮวาเหยียนแย้มยิ้มเยือกเย็น
คำพูดเหล่านี้ราวกับมีดที่แทงเข้าตรงรังแตน ทันทีที่สิ้นเสียง นางพลันเห็นว่าใบหน้าของตี้หลิงหานเคร่งขรึม ดวงตาของเขาเฉยชาและไม่แยแสแต่ทว่าดุดันยิ่ง เขาจ้องมองมาที่ฮวาเหยียนราวกับจะปะานางด้วยการตัดหัวตัดเท้าและเชือดคอ ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย ตี้หลิงหานก็เปิดปากพูดทีละคำ "มู่อันเหยียน วันนี้เปิ่นกงจะทำให้เ้ารู้ว่า ข้าผู้นี้ใช่บุรุษหรือไม่"
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็ยกเท้าขึ้นและเดินตรงไปทางฮวาเหยียนทันที
ฮวาเหยียนเหลือบมองท่าทางของตี้หลิงหาน นางขมวดคิ้ว เบิกตากว้าง "พระองค์ทรงคิดจะทำอันใดเพคะ? "
องค์รัชทายาทที่แสนน่าขยะแขยงคนนี้กำลังคิดงอคันธนูด้วยแรงแขนหรือ [1] ?
“เ้าว่าอย่างไรเล่า? ”
ตี้หลิงหานถามกลับ เจตนาฆ่าฉายชัดในดวงตาของเขา
“อย่าเข้ามานะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าหม่อมฉันไม่เกรงใจ”
สีหน้าของฮวาเหยียนเปลี่ยนไปทันที เข็มเงินสามเล่มถูกหนีบไว้ที่ปลายนิ้วของนาง
ก่อนจะได้ยินตี้หลิงหานพ่นลมหายใจด้วยความเ็า ท่าทีราวกับว่าเขาไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย
องค์รัชทายาทเฮงซวย หยิ่งผยองอวดดียิ่งนัก
"หาเหาใส่หัว"
ฮวาเหยียนหรี่ตาลง เข็มเงินสามเล่มในมือของนางถูกเขวี้ยงไปที่ใบหน้าของตี้หลิงหานทันที
วินาทีต่อมาพลันเห็นตี้หลิงหานยกมือขึ้นปัดด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ พลังปราณหลั่งไหลออกมา เข็มเงินทั้งสามถูกปัดจนเปลี่ยนทิศทางและพุ่งเข้าใส่กำแพงแทน
องค์รัชทายาทหลิงหานผู้นี้เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์
ตาของเขาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ราวกับมีรัศมีสีแดงสาดกระจายอยู่กลางหลัง “มู่อันเหยียน ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
ฮวาเหยียนเหลือบมอง ลมหายใจขาดห้วง ลมปราณที่แข็งแกร่งของนางกำลังสั่นไหวไม่มั่นคง
เพราะนางอาศัยอยู่ในหุบเขามาสี่ปี นางจึงอุทิศตนเพื่อการฝึกฝนและบุกทะลวงขั้นเข้าสู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับผู้บำเพ็ญ ผู้เฒ่าติงกล่าวว่านางมีพร์โดดเด่นยิ่งนัก การฝึกฝนของนางเพียงสี่ปีเทียบเท่ากับผู้ที่ฝึกมาตลอดสิบยี่สิบปี นางมีพร์ยอดเยี่ยม และนั่นทำให้นางลืมไปชั่วขณะหนึ่งว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
นิสัยของตี้หลิงหานนั้นแย่มากแต่ระดับการฝึกฝนของเขานั้นถือว่าสูงมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่คือที่ของเขา ซ้ำร้ายกว่านั้นคือหยวนเป่าก็ยังอยู่ในมือของเขาด้วย
นางรู้สึกเสียใจกับการที่ไปกระตุ้นเขาเมื่อครู่นี้
ในเวลานี้ ตี้หลิงหานอยู่ตรงหน้าฮวาเหยียนแล้ว แรงอาฆาตของเขาพุ่งทะยานถึงขีดสุด มือของเขาพุ่งตรงมาทางฮวาเหยียน ไม่รู้ั้แ่เมื่อไหร่ที่เขาเปลี่ยนถุงมือเป็อีกคู่หนึ่ง ถุงมือที่ทำขึ้นจากไหมสีทอง เมื่อััวัสดุไหมก็จะซึมเข้าสู่ผิวเนื้อได้
"ประเดี๋ยวเพคะ"
ฮวาเหยียนะโ ทว่าสีหน้าของตี้หลิงหานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาพ่นลมหายใจอย่างเ็าและไม่มีทีท่าจะสนใจนางแม้แต่น้อย
“หากเข้ามาอีกครั้ง หม่อมฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะเพคะ”
ฮวาเหยียนเตือน
ตี้หลิงหานไม่ฟังคำเตือนนั้นเลยสักนิด
ฮวาเหยียนหรี่ตาลง เหมือนว่าวันนี้นางคงไม่ยอมให้องค์รัชทายาทเฮงซวยผู้นี้เอาชนะนางไปได้ง่ายๆ เพียงแค่นี้เขาก็รู้สึกว่าสามารถรังแกนางได้โดยง่ายแล้ว พลังลมปราณภายในร่างของนางพลันพลุ่งพล่าน พลังที่ไหลเวียนออกมารอบตัวปรากฏเป็สีส้มจางๆ กลางคุกลับอันมืดมิดนั้น มันกลับดูงดงามยิ่งนัก
เมื่อทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ ลมปราณในร่างจะแสดงออกมาเป็สีส้มจางๆ ระดับผู้ฝึกวรยุทธ์ถูกแบ่งออกตามสีต่างๆ ตามสีของสายรุ้ง พลังลมปราณของผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับทั่วไปคือสีแดงชาด หนึ่งระดับมีทั้งหมดสิบสองขั้น ยิ่งขั้นสูง สีก็ยิ่งเข้ม สีของระดับปรมาจารย์คือสีส้ม ระดับมหาปรมาจารย์คือสีเหลือง และระดับจอมยุทธ์คือสีเขียว และอื่นๆ...
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์นั้นมีวรยุทธ์ที่ทรงพลังเป็อย่างยิ่ง ซึ่งเป็พลังที่แข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปหลายเท่า
ฉู่หลิวซวงเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับผู้บำเพ็ญขั้นสิบเอ็ดจึงสร้างชื่อให้กับตัวเองในอาณาจักรต้าโจว
นอกจากนี้ฮวาเหยียนไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าการฝึกฝนของตี้หลิงหานนั้นแข็งแกร่งเพียงใด การเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์เช่นนาง ตี้หลิงหานกลับกล้าบุกโจมตีเข้ามา? ล้อกันเล่นแล้ว…
ดวงตาของฮวาเหยียนเ็าและเย่อหยิ่ง ตี้หลิงหานมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้า จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์เช่นเดียวกัน นางอยู่ระดับปรมาจารย์ พลังงานสีส้มอ่อนที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่สามารถเสแสร้งแกล้งทำขึ้นมาได้
เขาที่คิดจะคว้าคอฮวาเหยียนอยู่นั้นพลันหยุดชะงักไปครู่หนึ่งทันที
ฮวาเหยียนจับเขาไว้อย่างว่องไว นางหลงคิดว่าตี้หลิงหานเกรงกลัวนาง พาลทำให้รู้สึกได้ใจยิ่งนัก แต่นางไม่แสดงมันออกมา ก่อนจะกล่าวเพียงว่า “ขอแค่พระองค์ส่งบุตรชายของข้าคืนมา เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดนั้น หม่อมฉันคนนี้จะคิดสืบสาวราวเื่...! " อีก...
ก่อนที่คำพูดสุดท้ายจะถูกพูดออกไป ลมหายใจของฮวาเหยียนกลับติดอยู่ในลำคอของนาง การหายใจของนางติดขัด ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง เห็นเพียงตี้หลิงหานที่ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาตรงหน้านาง ลมปราณนั้นพลุ่งพล่านซึ่งเป็ลมปราณสีเขียวไหลวน และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนฮวาเหยียนตาเกือบบอด
พลังปราณสีเขียว ระดับจอมยุทธ์...
เชิงอรรถ
[1] งอคันธนูด้วยแรงแขน หมายถึงการใช้กำลังขู่บังคับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้