บทที่ 85 ดอกเซวี่ยหั่วหุน
ความตื่นเต้นดีใจของลั่วฮุยหวางเมื่อครั้งแรกเข้าสู่มิติลับไม่เหลือแล้ว กระบี่ของเขารวดเร็วดั่งสายลม นั่นเป็เพราะเขาเปิดรากิญญาวายุซึ่งเป็รากิญญาที่ค่อนข้างหายาก ดังนั้นต่อให้ไม่นับว่าบริสุทธิ์มากนัก ก็ยังได้รับความสำคัญจากนิกายเซวี่ยเจี้ยนอยู่ดี พวกหนอนที่คิดลอบโจมตีถูกสะบั้นจนกลายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่างยาวหกฉื่อของมันเหลือเพียงส่วนหัวที่ยังขยับได้ ทว่าการสังหารด้วยกระบี่เล่มนี้กลับดูเหมือนได้ปลุกบรรดาเม็ดอัญมณีใต้พื้นดินสีดำทั้งหมดขึ้นมาเสียแล้ว
ราวกับพื้นดินสีดำเดือดพล่านขึ้นมาในพริบตา ใต้ดินเหนียวที่กำลังปะทุ ตัวหนอนสีแดงจำนวนมหาศาลชอนไชขึ้นจากพื้นดินทันที โชคดีที่หนอนพวกนี้เคลื่อนที่ไม่เร็วเท่าไรนัก ทว่าเมื่อมีจำนวนมากถึงจุดหนึ่งก็ทำเอารอบตัวมีแต่หนอนเต็มไปหมด ไม่อาจหนีไปไหนได้ ถูกปิดล้อมเอาไว้อย่างสมบูรณ์
“กึก... ” ร่างของหนอนตัวหนึ่งงอตัว จากนั้นดีดตัวขึ้นจากพื้นอย่างรุนแรง พุ่งเข้าใส่ลั่วฮุยหวางราวกับลูกศรอย่างไรอย่างนั้น ครั้งนี้เขาเห็นเต็มตาว่าปากที่อ้าออกของเ้าหนอนตัวที่ดีดตัวขึ้นมา มันเต็มไปด้วยคมมีด ร่างกายของมันดูราวกับโพรงสีเืที่ว่างเปล่า ร่างที่เดิมทีหนาเพียงหนึ่งฉื่อขยายใหญ่ขึ้นมา อ้ากว้างเสียราวกับปากอสรพิษ กว้างพอจะกลืนกินร่างของเหยื่อที่ใหญ่กว่าได้
“ฟุ่บ... ” เพียงลั่วฮุยหวางสะบัดมือ ปราณกระบี่สีเขียวก็ทะยานออกไปในอากาศเป็สาย หนอนประหลาดที่ดีดตัวขึ้นมาถูกสะบั้นเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ลั่วฮุยหวางหาได้ดีใจสักนิด เพราะยังมีหนอนมหาศาลที่ดีดตัวขึ้นมาแล้ว ไหนจะยังพวกที่ไม่ได้ดีดตัวขึ้นมา แต่อยู่ที่พื้นสำรอกเอาก้อนลาวาเพลิงออกมา...
“ฟุ่บ... ฟุ่บ... ” ลั่วฮุยหวางได้แสดงฝีมือเหนือขีดจำกัดของตัวเองไปแล้ว หนอนที่พุ่งเข้าใส่ถูกฟันจนฝนโลหิตกระเซ็นเต็มฟ้า แต่ก็หลบเลี่ยงไปได้ด้วยท่าร่างอันพลิ้วไหว ทว่าส่วนที่เป็ลาวาอันสาดกระเซ็นฟ้านั้นไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ทำได้เพียงเปิดใช้งานยันต์คุ้มกาย รอบตัวปรากฏเป็แสงสีเขียวเรืองรองทันที
ทว่าเมื่อแสงสว่างของยันต์ปะทะกับความร้อนอันน่าสยดสยองของลาวา ก็หมองแสงลงอย่างรวดเร็ว ทนได้อีกไม่นานเท่าไรแล้ว
“ะเิไปเสีย... ” ลั่วฮุยหวางไม่มีทางเลือกแล้ว มีแต่ต้องใช้ยันต์ที่พกมาด้วยอย่างหมดหนทาง พอกวาดล้างฝูงหนอนตรงหน้าไปได้เวิ้งหนึ่งพลันะโหนีไปที่ก้อนหินสีดำ
ลั่วฮุยหวางรู้สึกว่าตนไม่เคยเจออันตรายขนาดนี้มาก่อน แต่โชคดีที่พื้นที่ดินดำเหมือนจะมีกินพื้นที่เพียงระยะสิบกว่าลี้เท่านั้น เมื่อพ้นจากพื้นที่ดินดำก็เข้าสู่เขตหินดำต่อ พื้นที่บริเวณนี้เป็แผ่นหินที่เกิดจากูเาไฟที่เย็นตัวลงทั้งหมดแม้จะยังมีอุณหภูมิสูงอยู่บ้าง ทว่าด้วยพื้นที่แข็งจนเกินไป ทำให้ฝูงหนอนยากจะชอนไชและซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดินได้ ทำให้ลั่วฮุยหวางรู้สึกสบายใจราวได้เกิดใหม่
“นี่มันอะไรกันแน่... ” หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย ลั่วฮุยหวางนำศีรษะของหนอนที่เก็บได้เมื่อครู่ออกมา ฟันกระบี่ไปยังผลึกอัญมณีขนาดราวลูกเหอเถา[1] เมื่อหยิบขึ้นมาถึงได้พบว่ามีพลังธาตุเพลิงที่บริสุทธิ์มากไหลเวียนอยู่ภายใน
“มณีเพลิงิญญา... ” ลั่วฮุยหวางถึงกับเสียงขาดห้วง ทำเอามือของเขาสั่นไปเล็กน้อยเลยทีเดียว ของเหล่านี้เดิมทีเขาคิดว่าเป็เพียงตัวล่อเหยื่อของบรรดาหนอนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าทุกชิ้นล้วนเป็มณีเพลิงิญญา แม้คุณภาพจะต่ำ ทว่าสำหรับแผ่นดินต้นกำเนิด คุณค่าของมณีเพลิงิญญาหนึ่งก้อนนับว่าสูงมาก โดยเฉพาะกับผู้ฝึกตนที่มีรากิญญาเพลิง พวกเขาสามารถดูดซับพลังธาตุเพลิงที่อยู่ภายในได้ การค้นพบนี้ทำเอาลั่วฮุยหวางตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว สายตาของเขามองไปยังผืนดินสีดำแห่งนั้นอีกครั้ง ล่าฝูงหนอนไม่ใช่เื่ยาก ขอแค่ไม่พาตัวเองเข้าไปในวงล้อมของหนอนก็สามารถรวบรวมมณีเพลิงิญญาได้เป็เป็กอบเป็กำแล้ว... บางทีเขาอาจใช้สิ่งนี้ช่วยเปิดรากิญญาเพลิงของเขาจนสำเร็จลุล่วงก็เป็ได้ แน่นอนว่าเ้านี่จะกลายเป็บ่อกำเนิดความล่ำซำครั้งยิ่งใหญ่ มิน่าเล่าในมิติลับเพลิงต้นกำเนิดถึงได้เต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสเช่นกัน...
……
ธารลาวากว้างใหญ่ไพศาลเสียจนทำเอาลั่วถูก็เริ่มรู้สึกเสียใจทีหลังว่าตัวเองเลือกทางผิดเข้าให้แล้วหรือเปล่า เขาสังหรณ์ว่าการทำนายของตระกูลถังเฝยแม่นยำจริงดังคำกล่าวขาน แม้เขาจะไม่ควรไปทางทิศใต้ แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเขาเดินทางมุ่งไปยังทิศใต้ทำให้ได้กำไรมาไม่น้อย เพลิงอสูรลูกหนึ่ง ไหนจะยังหินมณีของซูเสี่ยวพั่งอีกสองก้อน เพียงแต่ยังไม่ได้ลบตราประทับิญญาที่ซูเสี่ยวพั่งประทับไว้ ทำให้ยังเปิดมิติหินมณีไม่ได้ รู้แต่แรกตอนนั้นคงฟันซูเสี่ยวพั่งให้ตายในดาบเดียวไปเสีย เช่นนี้ ตราประทับิญญาบนหินจะได้หายไปเองโดยธรรมชาติ
เขาบินเป็เส้นตรงมาหลายร้อยลี้แล้ว กลับยังคงไม่เห็นฝั่งสักนิดทำเอาลั่วถูเริ่มกังวลเสียแล้วว่าหากหินิญญาลมทั้งสามก้อนใช้พลังิญญาจนหมด ปีก์ย่อมตกลงไปในลาวา เช่นนั้นตัวเขาก็ตายอย่างไม่ต้องสงสัย! มิหนำซ้ำยิ่งบินไปทางทิศนี้มากเท่าไรอย่างกับว่าอุณหภูมิในอากาศก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย หลายครั้งที่ไอความร้อนรุนแรงพุ่งขึ้นจากลาวาจนเกือบทำให้เขาพลิกคว่ำ ถ้าตอนนั้นไม่ระมัดระวังพอ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็อย่างไรไปแล้ว
“ปุด... ” ฟองขนาดใหญ่ฟองหนึ่งปรากฏบนผิวธารลาวาตรงหน้าลั่วถู ใจของลั่วถูสั่นสะท้านขึ้นอย่างไรสาเหตุทันที ปีก์พลอยหยุดลงกลางอากาศไปด้วย
“โผละ... ” ฟองอากาศะเิออก ความร้อนอันบ้าคลั่งกระแสหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า หยดลาวาสาดกระเด็นเป็สายฝนเต็มฟ้าและตกลงสู่ธารลาวาอีกครั้ง
ในตอนที่ลั่วถูถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลับต้องพบเื่น่าตกตะลึงว่า ภายใต้ฟองอากาศนั้นมีดอกไม้สีแดงโลหิตค่อยๆ งอกขึ้นมา กลีบบุปผาบานออก ลาวาแหวกออกไปสองข้างอย่างรวดเร็ว ลาวาโดยรอบดอกไม้กลายเป็แอ่งน้ำวนขนาดเล็กทันที
“ดอกเซวี่ยหั่วหุน(ดอกิญญาเพลิงโลหิต)... ” แววตาของลั่วถูปรากฏร่องรอยความตื่นเต้นชัดเจนเสียจนอย่างยากจะปิดบัง เขาเห็นว่าในตอนที่ดอกไม้บานออกไม่มีเกสรอยู่ภายใน แต่กลับมีเปลวไฟกระดอนไปมาราวกับภูตตัวน้อยอยู่ในดอกแทน ช่างเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูดยากจะหาใดเทียม... ที่แท้เป็ดอกเซวี่ยหั่วหุนในตำนานนี่เอง เ้าสิ่งนี้สามารถชำระล้างรากิญญาได้ เป็สมบัติเทพที่มีคุณสมบัติในการปรับแต่งจิติญญา และคุณสมบัติที่น่าพรั่นพรึงที่สุดคือกำจัดรากิญญาอันมากมายของผู้ที่มีรากิญญาเพลิงจำนวนมากให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว ถ้ากระบวนการแบ่งแยกรากิญญาของผู้ฝึกตนแข็งแกร่งพอจนสามารถแยกจิติญญาออกจากกันได้ ก็อาจทำได้กระทั่งแบ่งแยกรากิญญาเส้นหนึ่งออกไปเพื่อสร้างร่างแยกอิสระของตนได้!
ร่างแยกอิสระคนหนึ่ง นับเป็สิ่งเย้ายวนใจของคนทุกชนชั้น โดยปกติเฉพาะผู้ฝึกตนระดับขุนพลขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสความสามารถแยกร่างได้ ทว่าร่างแยกกลับคงอยู่ได้เพียงครู่เดียว อีกทั้งยังผลาญพลังจิติญญาของร่างหลักอย่างมหาศาล โดยปกติจะใช้เพียงเวลาคับขันเช่นการหนีเอาชีวิตรอดโดยใช้ร่างแยกตบตาศัตรู และมีเพียงระดับจอมทัพเท่านั้นที่มีโอกาสฝึกฝนร่างแยกสร้างตัวปลอมขึ้นมาได้ แต่ว่าร่างกายนั้นใช้ได้เพียงหลอกศัตรูเท่านั้น ไม่อาจสู้รบได้จริง ทว่าหากมีดอกเซวี่ยหั่วหุน และรากิญญาเพลิงอันเป็อิสระแล้ว ต่อให้เป็ระดับขุนพลก็สร้างร่างแยกที่มีพลังสู้รบออกมาได้เช่นกัน และเมื่อเป็ถึงระดับจอมทัพ ร่างแยกจะไม่ใช่เพียงร่างปลอมอีกต่อไป แต่เป็ร่างิญญาโลหิตเพลิงที่มีพลังสู้รบกึ่งหนึ่งของร่างจริง และเมื่อไปถึงระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ในระดับนี้เดิมทีก็สามารถสร้างร่างิญญาออกมาได้อยู่แล้ว ประสิทธิภาพของดอกเซวี่ยหั่วหุนก็ไม่ได้ส่งผลอะไรอีก แต่ว่าผู้ที่สามารถไต่ขึ้นสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ได้จะมีสักเท่าไรกัน?
ลั่วถูคิดไม่ถึงว่าที่จุดศูนย์กลางของธารลาวา จะได้ค้นพบดอกเซวี่ยหั่วหุนอย่างไม่คาดคิด ช่างเป็เื่น่ายินดีเหลือเกิน ดังนั้น จะมัวลังเลอยู่ได้อย่างไร รีบโน้มตัวเข้าหาดอกเซวี่ยหั่วหุน ดอกไม้ดอกนี้เขาจะปล่อยให้หลุดมือไม่ได้เด็ดขาด
“ตูม... ” วินาทีที่ร่างกายของลั่วถูเข้าใกล้ดอกเซวี่ยหั่วหุน จู่ๆ ธารลาวาพลันะเิออก ศีรษะขนาดั์โผล่ออกจากธารลาวา อ้าปากหวังกัดลั่วถูเต็มที่
“นั่นมันอะไรกัน... ” ลั่วถูใมาก ร่างกายเอี้ยวตัวหลบทันทีจนเกือบตกจากปีก์ไปแล้ว ศีรษะขนาดั์จึงพุ่งเฉียดร่างของเขาไป และตามมาด้วยร่างกายที่ยาวเหยียด
“งูเซวี่ยหั่วเหยียน(งูศิลาเพลิงโลหิต)... ” ตอนนี้เองลั่วถูเพิ่งฉุกคิดเื่ตำนานดอกเซวี่ยหั่วหุนขึ้นได้ ดอกเซวี่ยหั่วหุนทุกดอกล้วนมีสัตว์อสูรเคียงข้าง ถ้าดอกเซวี่ยหั่วหุนบานเต็มที่เมื่อไร เมื่อนั้นจะกลายเป็อาหารของงูเซวี่ยหั่วเหยียน หลังจากกินดอกเซวี่ยหั่วหุนเข้าไป งูเซวี่ยหั่วเหยียนจะกลายพันธุ์ไปเป็งูซื่อหั่วหลิง(งูกลืนเพลิงโลหิต)... และตอนนี้เมื่อมีคนคิดจะแย่งดอกเซวี่ยหั่วหุนที่มันปกป้องมาหลายปี ย่อมเดือดร้อนอยู่แล้ว!
“ครืน... ” ร่างกายขนาดั์ยาวหลายจั้งของงูเซวี่ยหั่วเหยียนกระแทกลงบนธารลาวาเต็มแรง ทำเอาสายลาวาสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
จังหวะนี้เอง... ลั่วถูพุ่งเข้าหาดอกเซวี่ยหั่วหุนอย่างไม่ลังเล ไม่สนใจหินลาวาที่กระเซ็นมาเข้าใส่ิัสักนิด เขาเข้าใจดี ตอนนี้เป็เวลาที่แรงเดิมที่งูเซวี่ยหั่วเหยียนสะสมเอาไว้หมดลง ในขณะที่ยังไม่ทันฟื้นฟูพักเอาแรงใหม่อีกรอบด้วยการรอให้ร่างกายจมลงสู่ลาวาทั้งตัว หากเป็เช่นนั้นมันจะสามารถสะสมพลังได้เพียงพออีกครั้ง หากเขาคิดจะคว้าดอกเซวี่ยหั่วหุนไว้คงต้องจ่ายค่าตอบแทนมากขึ้นอีกหน่อยแล้ว
“ฟู่... ” ร่างของลั่วถูบินต่ำเสียแทบจะติดกับธารลาวาแล้ว ความเร็วที่ทะยานไปพร้อมกับแรงลมที่พัดผิวธารลาวาจนเห็นเป็ริ้ว มีดสั้นหยกโลหิตในมือเล่มหนึ่งเตรียมพร้อมสะบั้นดอกเซวี่ยหั่วหุนแล้ว มืออีกข้างคว้าก้านดอก จากนั้นหนีออกไปให้ไกลจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจอุณหภูมิสูงที่น่าพรั่นพรึงสักนิด
“ฟ่อ... ” งูเซวี่ยหั่วเหยียนทะยานออกมาด้วยพลังโทสะอีกครั้ง ราวกับลูกศรที่ใหญ่ั์ที่ถูกเล็งยิงไปทางลั่วถูที่กำลังหนี มนุษย์คนนี้ทำให้มันโมโหมาก บังอาจขโมยดอกเซวี่ยหั่วหุนต่อหน้าต่อตา แล้วแบบนี้จะให้มันปล่อยไปได้อย่างไร
ลั่วถูไม่กล้าหยุดรั้งรอแม้แต่วินาทีเดียว โชคดีที่เส้นทางการบินของปีก์ถูกตั้งเอาไว้ก่อนแล้ว ลั่วถูเพียงต้องรักษาสมดุลให้ได้ก็พอ ดังนั้น เขาจึงไม่สนใจการไล่ล่าของงูเซวี่ยหั่วเหยียน แต่หยิบเอากล่องหยกเหมันต์ยาวสองฉื่อกล่องหนึ่งออกมาจากแหวนมิติจากนั้นเก็บดอกเซวี่ยหั่วหุนไว้ในกล่อง ถึงจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ฝ่ามือของเขาหนังถลอกจนเปิดไปหมดแล้ว เป็เพราะความร้อนอันน่าสยองของดอกเซวี่ยหั่วหุน ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วถูมีพลังเพลิงนรกต้นกำเนิดอยู่ในร่าง เกรงว่าป่านนี้คงถูกเผาไปหมดแล้ว
ดอกเซวี่ยหั่วหุนที่เพิ่งถูกตัดแผดเผาราวลาวา ร้อนแรงดั่งเปลวไฟ โดยปกติผู้เก็บเกี่ยวต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อป้องกันตัวเองจากความร้อนอันน่าหวาดกลัว แต่เมื่อครู่ลั่วถูไม่มีทั้งโอกาสและเวลาให้เตรียมตัว จึงทำได้เพียงใช้มือจับก้านดอกโดยตรง ย่อมร้อนผิดปกติเป็ธรรมดา โชคดีที่รากิญญาของลั่วถูเปิดิญญาแล้ว อุณหภูมิสูงจนน่าพรั่นพรึงจึงทำได้เพียงแผดเผาิัของเขาจนาเ็เท่านั้น ไม่ได้ทำให้ร่างกายภายในาเ็แต่อย่างใด ทว่าเมื่อลั่วถูหันหน้ากลับมามองก็ได้เห็นว่าบนผิวธารลาวาที่ไล่หลังเขามา มีรอยน้ำไล่ตามอย่างกระชั้นชิด แทบจะไม่ช้าไปกว่าปีก์ของเขาสักเท่าไรเลย หัวงูที่ดูแข็งแรงชูคอขึ้นสูง ในดวงตาสีแดงราวกับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เป็งูเซวี่ยหั่วเหยียนตัวนั้นเอง เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดจะปล่อยลั่วถูไปเด็ดขาด
“ถ้าเ้าอยากตามนักก็ตามมา... ” ลั่วถูอดหัวเราะไม่ได้ ถ้าขึ้นฝั่งเมื่อไร เขาจะสามารถจัดการงูเซวี่ยหั่วเหยียนได้ทันที แต่ตอนนี้เขาอยู่กลางธารลาวา ขืนตกลงไปมีแต่ต้องตายอนาถแน่ อย่างไรเสียเขาไม่คิดว่างูเซวี่ยหั่วเหยียนจะไล่ตามเขามาทันอยู่ดี
[1] เหอเถา(核桃) หมายถึง ลูกวอลนัทโดยทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว1.5 - 2 นิ้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้