ฉู่รั่วหลานเกลียดมู่เฉิงอินเข้าแล้ว นางรู้สึกว่ามู่เฉิงอินและฮวาเหยียนตั้งใจวางกับดักทำร้ายนาง ในยามนี้นางเป็ราวกับตัวตลกที่ยืนอยู่ที่นี่ อดทนรับเสียงหัวเราะเยาะเย้ย นางรู้สึกทุกข์ใจยิ่งนักแต่ก็ไม่อาจพูดออกไปได้ ทั้งยังไม่สามารถเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเองได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งน่าอับอายมากขึ้นไปอีก
ดวงตาที่มืดครึ้มของฉู่รั่วหลานนั้น ฮวาเหยียนมองเห็นอย่างชัดเจน
สีหน้าของนางเ็า พลางยกเท้าขึ้นก้าวเดินไปทางฉู่รั่วหลาน
บรรยากาศของนางแผ่กำจาย ยิ่งไปกว่านั้นรังสีของนางพยายามกดข่มฉู่รั่วหลาน รังสีนั้นพาให้ฉู่รั่วหลานตกตะลึงจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
การถอยครั้งนี้ มิใช่ว่าเป็การเผยความขลาดหรือ?
“ข้าถามเ้า ตอนนี้เ้าสามารถเอาเงินออกมาได้หรือไม่? ”
ฮวาเหยียนถามด้วยน้ำเสียงที่เ็า
ใบหน้าของฉู่รั่วหลานแดงก่ำ หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงกล่าวขึ้นมาว่า "วันนี้ข้าใช้เงินไปจนหมดแล้ว แต่ข้าสามารถเขียนสัญญากู้ยืมเงินไว้ก่อนได้ และภายในสองสามวันข้าถึงจะส่งมอบตั๋วเงินให้เ้า"
“เ้าโง่แล้วคิดว่าคนอื่นจะโง่เหมือนเ้าหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่รั่วหลาน ฮวาเหยียนพลันพ่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“เฮอะๆๆ ก็ใช่น่ะสิ แม่นางคิดว่าคนอื่นโง่หรือ? ยังจะเขียนสัญญากู้ยืม? เ้าเป็ใครกัน คนอื่นรู้จักเ้าหรือ? อย่าเป็หมาป่าขาวที่สวมถุงมือเปล่าสิ [1] อยากจะแอบฮุบเอาสมบัติล้ำค่าของคนอื่นเอาไว้หรือ"
“ข้าลองคำนวณแล้ว หนึ่งต้นหนึ่งหมื่นตำลึง สิบต้นก็เป็เงินทั้งสิ้นหนึ่งแสนตำลึง แม่นางผู้นี้ต้องใช้เงินหนึ่งล้านตำลึงเพื่อซื้อหญ้าิญญาลึกลับเหล่านี้ แล้วเ้ามีเงินเท่าไหร่?”
หนึ่งล้านตำลึง ช่างเป็ตัวเลขที่มหาศาลเสียจริง
ใบหน้าของฉู่รั่วหลานย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เวลานี้ช่างเป็การขี่เสือแล้วลงจากหลังยาก [2]
"ข้าเป็คนที่สามารถเจรจาพูดคุยด้วยได้ ในเมื่อตอนนี้เ้าไม่สามารถนำเงินออกมาได้แล้ว เช่นนั้นเ้าก็บอกให้ครอบครัวเ้านำเงินมาให้เสีย"
ฮวาเหยียนพูดขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินที่ฮวาเหยียนบอกให้แจ้งครอบครัวของนาง ใบหน้าของฉู่รั่วหลานก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
ถ้าเื่วันนี้ลามไปเข้าหูพระบิดาของนาง เกรงว่านางอาจต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอง เงินเยอะแค่ไหนไม่ใช่ปัญหา แต่ที่สำคัญคือการเสียหน้าราชวงศ์
นางมองไปที่มู่เฉิงอินก็เห็นว่าสีหน้าของนางเฉยเมย นางก็ไม่ได้ตัดสินใจที่จะเกลี้ยกล่อมสตรีในหมวกงอบให้ปล่อยตนไป ในใจฉู่รั่วหลานเกลียดนางแทบตาย ในที่สุดหญิงสาวก็กัดฟันกรอด ดวงตาจ้องเขม็งพร้อมเอ่ยว่า “เ้าก็รู้ว่าข้าเป็ใครมิใช่หรือ? ถ้าเ้าล่วงเกินข้า เกรงว่าเื่คงจะไม่จบลงด้วยดี”
ฉู่รั่วหลานยืดคอขึ้น
ยังจะใช้อำนาจคุกคามกันอีกหรือ?
ฮวาเหยียนขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก
นางเป็อัจฉริยะที่มีไอคิวสองร้อยแปดสิบแล้วเหตุใดนางถึงต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับสตรีที่มีสติปัญญาเพียงแค่ส้นเท้าของนางด้วย ไม่สู้จัดการขั้นเด็ดขาดกับสตรีผู้นี้ไปเลย
“แล้วอย่างไรล่ะ? เ้าจะให้ท่านพ่อของเ้าส่งเงินมาหรือ? ”
ฮวาเหยียนพูดประโยคนี้ออกมาอย่างเฉยเมย
ฉู่รั่วหลาน "...! "
ดวงหน้าของนางเต็มไปด้วยรังสีอึมครึม
หัวใจนางเต้นแรงราวกับเสียงกลอง!
นางจะเอาความกล้ามาจากที่ใดให้เสด็จพ่อรู้เื่นี้? เสด็จพ่อจะไม่ถลกผิวของนางหรือ?
นางจ้องไปที่มู่เฉิงอินอย่างดุดัน
นางเตือนมู่เฉิงอินด้วยสายตาดุร้าย ให้นางบอกสตรีในหมวกงอบว่าตัวตนของนางคือผู้ใด และคนผู้นี้ควรหยุดได้แล้ว!
...
ฮวาเหยียนเห็นฉู่รั่วหลานยืนหอบหายใจรุนแรงเหมือนปลาปักเป้า นางจึงกลอกตาและพูดว่า “แม่นางเฉิงอิน สตรีผู้นี้เข้ามาหาเื่ท่าน เห็นได้ชัดว่านางรู้จักกับท่าน นางเป็ผู้ใดกัน?”
คำถามของฮวาเหยียนล้วนเป็คำถามที่ทุกคนในหออู๋ิอยากรู้เช่นกัน และในตอนนี้หูของทุกคนก็ล้วนตั้งขึ้น
แววตาของมู่เฉิงอินปิดซ่อนรอยยิ้มยินดี เพราะรู้ว่า 'น้องหญิงเหยียน' คนนี้มองออกว่าฉู่รั่วหลานนั้นกำลังตื่นตระหนกและพยายามหลบเลี่ยง เมื่อสักครู่จึงตั้งใจจะขู่ให้องค์หญิงกลัว เนื่องจากก่อนหน้านี้นางได้บอกน้องหญิงถึงตัวตนในฐานะองค์หญิงของฉู่รั่วหลานแล้ว
นางไม่รู้ตัวตนของน้องหญิงเหยียนที่อยู่เบื้องหน้านาง แต่นางรู้ว่าน้องหญิงกำลังออกหน้าเพื่อตัวนาง หัวใจของนางพลันอบอุ่น
นางจึงร่วมมือกับฮวาเหยียน กระแอมไอเบาๆ “น้องหญิงเหยียน ที่จริงแล้วสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้คือ…”
“มู่เฉิงอิน หุบปาก! ”
ผู้ใดจะรู้ว่า ทันทีที่มู่เฉิงอินเปิดปาก ฉู่รั่วหลานก็พลันกรีดร้องออกมา นางตั้งใจจะหยุดคำพูดของมู่เฉิงอิน นางไม่อนุญาตให้มู่เฉิงอินเปิดเผยตัวตนของนาง
แต่นางกลับไม่รู้ว่า มู่เฉิงอินและฮวาเหยียนมองจิตใจของนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ หยอกเย้านางเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
เมื่อเปรียบเทียบกับความตื่นตระหนกของฉู่รั่วหลานแล้ว ฮวาเหยียนนั้นผ่อนคลายและสงบนิ่งกว่ามาก นางมองไปที่ฉู่รั่วหลาน ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้อยากทำให้เ้าอับอาย แต่เด็กน้อยคุยโวข้างนอกทำเื่อันใดผิด ส่วนใหญ่ก็จะไม่กล้าให้ผู้ปกครองล่วงรู้ ดังนั้นหากเ้ายอมที่จะกล่าวคำขอโทษพี่หญิงมู่ที่นี่แล้ว เื่วันนี้ข้าก็จะยอมปล่อยให้ผ่านไป มิเช่นนั้น...”
มิเช่นนั้นจะทำอะไรหรือ?
ใช้อำนาจคุกคามชัดเจนแม้ไม่ต้องพูดอะไรต่อ
ฉู่รั่วหลานถูกคำพูดไม่กี่คำของฮวาเหยียนพาให้หน้าอกเจ็บจนจุก ประโยคที่ว่าเด็กน้อยคุยโวนั่น ทำให้ใบหน้าของนางร้อนผ่าว
...
หากกล่าวกันไป ที่จริงฮวาเหยียนแล้วเพียงระบายความโกรธแค้นแทนมู่เฉิงอินอินก็เท่านั้น จริงๆ นางเพียง้ากดความฮึกเหิมของฉู่รั่วหลานลง หากขอให้นางควักเงินหนึ่งแสนตำลึงเพื่อซื้อหญ้าิญญาลึกลับหนึ่งต้น ฉู่รั่วหลานไม่สามารถทำได้เพราะเงินจำนวนมหาศาลเช่นนั้นนางไม่สามารถเอาออกมาได้และนางจะต้องรบกวนบุคคลที่มีตำแหน่งสูงกว่าอย่างแน่นอน
เดิมทีนางไม่้าเปิดเผยตัวตน ดังนั้นนางจึงไม่ยินยอมที่จะต้องข้องเกี่ยวกับตระกูลมู่
ด้วยวิธีนี้จะทำให้ฉู่รั่วหลานเสียหน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนอย่างแน่นอน มันเป็ความขมขื่นที่พูดไม่ได้ แต่คำขอโทษก็เป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
"จะขอโทษดีๆ หรือจะให้แจ้งครอบครัวของเ้า...! "
ฮวาเหยียนไม่ได้เร่งรัดนาง แต่ให้เวลานางมากพอที่จะคิดพิจารณา ฉู่รั่วหลานหอบหายใจ ตัวของนางใกล้จะเปลี่ยนกลายเป็ปลาปักเป้าไปแล้วจริงๆ นางจ้องไปที่มู่เฉิงอินอย่างดุร้ายโเี้
ดวงตาของมู่เฉิงอินนั้นเรียบเฉย ในเวลานี้นางกลับพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเจรจาแต่กลับไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย “น้องหญิงเหยียน ไม่อย่างนั้นก็ช่างเถอะ? ”
นางไม่ใช่คนที่สนองความขับข้องใจด้วยคุณธรรมแต่อย่างใด ที่น้องเหยียนระบายความโกรธของนางแทนนาง นางเองก็ขอรับน้ำใจด้วยความขอบคุณ
แม้ว่าฉู่รั่วหลานจะมีฐานะเป็ถึงองค์หญิง แต่ตระกูลมู่ของพวกนางก็มิได้เกรงกลัวต่อเื่ใดเช่นกัน
การเคารพในฐานะขององค์หญิง เป็เพราะนางเคารพราชวงศ์ มิใช่เพราะเกรงกลัวองค์หญิงองค์นี้แต่อย่างใด
น้ำเสียงพูดคุยของมู่เฉิงอินไม่ได้ไปในทางของการเจรจาต่อรอง ฮวาเหยียนจะฟังไม่เข้าใจได้อย่างไร นางจึงโบกมือทันที “ไม่สามารถปล่อยผ่านได้ เ้ากลั่นแกล้งพี่หญิงมู่ของข้า ย่อมต้องขอโทษ”
น้ำเสียงนั้นชี้ขาด!
ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวนั้นทำให้ผู้คนรอบๆ ตัวนางต่างพากันอิจฉา แม่นางตระกูลมู่กับสตรีในหมวกงอบผู้นี้เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงได้มีความรู้สึกที่ดีต่อกันถึงเพียงนี้ได้? น่าอิจฉา... และหญิงสาวหมวกงอบผู้ร่ำรวยและรักคุณธรรมคนนี้แท้จริงแล้วเป็ผู้ใดกันแน่?
มู่เฉิงอินถูกน้ำเสียงปกป้องของฮวาเหยียนที่พูดออกมาพาให้หัวใจร้อนผ่าว นางแอบอมยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ
ในยามนั้นหออู๋ิเงียบสงบเป็อย่างยิ่ง ฉู่รั่วหลานเป็จุดรวมความสนใจของทุกคน ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดกำลังรอให้นางเปิดปากพูด นางอึดอัดยิ่งนัก อึดอัดอยู่ครึ่งค่อนวันก็พ่นออกมาสามคำ
นางเพียงแค่พึมพำอยู่ในปากอย่างรวดเร็ว แม้คนที่อยู่ไม่ห่างจากนางมากอย่างฮวาเหยียนก็ฟังไม่ชัดเจนว่านางพูดอันใด
สตรีผู้นี้ ไม่แน่นางอาจจะด่าออกมาว่าไอ้สารเลวก็เป็ได้
ในขณะนั้นดวงหน้าเล็กพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พี่หญิงมู่ ดูเหมือนว่าข้าคงต้องรบกวนท่านส่งคนไปแจ้งคนในครอบครัวของนางแล้วล่ะ...”
“อืม ช่างมันเถิด...”
มู่เฉิงอินพยักหน้าเห็นด้วย
“พอแล้ว”
เมื่อฉู่รั่วหลานเห็นว่าทั้งสองคนร้องรับประสานกันเป็อย่างดี นางก็โกรธมากจนมีควันลอยออกจากจากศีรษะ ในที่สุดก็คำรามออกมา
ครอบครัวของมู่เฉิงอินมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในวังได้ทุกเมื่อ หากเหตุการณ์เื่ราวในวันนี้เข้าหูเสด็จพ่อของนางจริงๆ นางจะยิ่งไม่เป็ที่พอพระทัยเป็แน่
ในใจของนางนั้นโมโหจนแทบตาย อยากจะเอาฮวาเหยียนมาถลกิัออกทั้งเป็ แต่ในยามนั้นแม้แต่ฐานะตัวตนของอีกฝ่ายก็ยังไม่ชัดเจน ดวงตาของนางก็มืดมัวด้วยความโกรธ
“มู่เฉิงอิน ขอ โทษ! ”
ฉู่รั่วหลานกัดฟันพูดออกไป
ในดวงตาของมู่เฉิงอินแฝงไปด้วยรอยยิ้ม นับั้แ่นางถูกองค์หญิงฉู่ผู้นี้จับตามอง เมื่อมีการรวมตัวกันของสตรีผู้สูงศักดิ์ นางก็จะถูกกลั่นแกล้งเยาะเย้ยเสียดสีทุกครั้ง แต่ไม่เคยได้รับคำขอโทษ ในวันนี้ฮวาเหยียนกลับสามารถบังคับให้ฉู่รั่วหลานขอโทษนางได้ ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ
ในใจของมู่เฉิงอินมีความสุขจนยากที่จะพรรณนา
นางมองไปที่ ‘น้องหญิงเหยียน’ ที่ยืนอยู่ข้างๆ แววตาทอประกายชื่นชม
ขณะที่มู่เฉิงอินกำลังจะพูดตอบกลับอย่างสุภาพกับฉู่รั่วหลานนั้น นางกลับได้ยินเสียงเยาะเย้ยจากน้องหญิงเหยียนที่อยู่ข้างนางว่า “เฮอะ นี่เ้าขอโทษแล้วหรือ? ข้าคิดว่าเ้ากำลังจะกินคนเสียอีก หากไม่มีความจริงใจเช่นนั้นก็ช่างมันเถิด"
เชิงอรรถ
[1] หมาป่าขาวที่สวมถุงมือเปล่า การหลอกลวงที่ไม่ลงทุน
[2] ขี่เสือแล้วลงจากหลังยาก กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วพบอุปสรรค แต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ดำเนินต่อไปจนถึงที่สุด โดยไม่อาจหยุดกลางคันได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้