น้ำเสียงของฉู่หลิวซวงราวกับทอดถอนใจ หลังเอ่ยคำเหล่านี้จบ นางก็ก้าวเท้าเดินจากไป ทว่ามุมปากของนางกลับยกยิ้มขึ้นอย่างเ็า ดวงตาฉายประกายดุร้าย นางพูดถึงขั้นนี้แล้ว ลูกพี่ลูกน้องผู้โง่เขลาก็อย่าได้ทำให้นางผิดหวังเล่า
ในตรอกที่มืดมิดและเย็นะเื ฉู่รั่วหลานยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น เป็นานก็ยังไม่ได้สติกลับมา
เมื่อครู่น้องหญิงบอกกับนางว่า หากใต้หล้านี้ไม่มีมู่เฉิงอินก็คงดี... จริงด้วย เหตุใดนางจึงคิดไม่ถึงเล่า? ถ้ามู่เฉิงอินไม่อยู่บนแผ่นดินนี้แล้ว เช่นนั้นมู่เสวียนเย่ก็จะเป็ของนางมิใช่หรือ?
เื่ง่ายๆ เยี่ยงนี้ เหตุใดนางจึงไม่เคยนึกถึงมาก่อน!
นางช่างโง่เขลาเสียจริง!
โชคดีที่คำพูดไม่ตั้งใจของลูกพี่ลูกน้องช่วยเตือนนาง ดวงตาของฉู่รั่วหลานเปล่งประกาย จากนั้นนางก็เดินออกจากตรอกอย่างรวดเร็ว เวลานี้ดูนางช่างเร่งรีบ ทว่าท่าทางของนางกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย
...
กล่าวไปแล้ว หลังจากที่ตี้หลิงหานออกจากหออู๋ิ เขาก็กลับไปที่จวนไท่จื่อ และเนื่องจากการไต่สวนของจีอู๋ซวง เื่จุมพิตที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง และทุกคราเืในกายเขาก็เดือดพล่าน ทำให้เขาอยากฆ่าคน
หลังกลับมาถึงจวน เขาก็ไปที่สนามเพื่อฝึกดาบหนึ่งกระบวนท่า พลางระงับความโกรธในกายให้สงบลง
เนื่องจากฝึกวิชาดาบ แผ่นหลังของเขาจึงผุดเหงื่อซึมออกมาบางๆ ไหลตามร่างกาย ตี้หลิงหานไปอาบน้ำและรับประทานอาหารกลางวัน ขณะที่เขากำลังเตรียมจะพักสักครู่ ทหารก็มาแจ้งข่าวว่าจีอู๋ซวงกำลังมา
“ไม่พบ”
ใบหน้าของตี้หลิงหานเ็า เขาปฏิเสธออกมาตรงๆ
ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใด เขาล้วนไม่้าพบหน้าทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีอู๋ซวง แต่ทันทีที่เขาพูดจบ จีอู๋ซวงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าสีแดงสดราวกับดอกโบตั๋นที่เบ่งบานในฤดูร้อน “อาหาน เหตุใดเ้าจึงไม่อยากพบข้าเล่า? คนที่ทำให้เ้าโกรธหาใช่ข้าเสียหน่อย”
จีอู๋ซวงเดินกรีดกรายเข้ามาในห้อง ตี้หลิงหานเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเ็า สีหน้าของเขาดูเหินห่างไม่แยแส “มีเื่ใด?”
“เ้าช่วยอย่าถามคำถามนี้ทุกคราที่พบกันได้หรือไม่? ถ้าข้าไม่มีเื่ก็มิอาจพบหน้าเ้าได้หรือ?”
จีอู๋ซวงเอ่ยตอบพลางแสร้งทำเป็โกรธ
“หากไม่มีเื่ใดก็ออกไป ข้า้าพักผ่อน”
“มีเื่ ข้ามีเื่...!”
เมื่อเห็นว่าตี้หลิงหานกำลังจะไล่ตนออกไป จีอู๋ซวงก็ะโอย่างร้อนรนทันที ตี้หลิงหานมองมาที่เขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า ส่งสัญญาณทางสายตาว่าหากมีเื่ใดก็รีบพูดเสีย จีอู๋ซวงจึงกระแอมไอและพูดด้วยรอยยิ้มที่แฝงความอึดอัดใจว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างเ้ากับมู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่...”
“ไอ้หยา ฆ่าคนมิได้นะ!”
จีอู๋ซวงยังไม่ทันกล่าวจบ ตี้หลิงหานก็ยกฝ่ามือขึ้นเสียแล้ว พลังลมปราณระดับนี้หาใช่เื่ล้อเล่น โชคยังดีที่เขามีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรวดเร็ว สามารถะโหยุดและหลบไปอีกทางได้ทัน
พลังลมปราณกระแทกประตูดังปัง ก่อนที่ตี้หลิงหานจะเก็บพลังกลับมา เมื่อครู่เป็แค่การเตือน ดังนั้นประตูจึงเพียงสั่นะเืเท่านั้น
“ปล่อยเื่นี้ให้เน่าตายอยู่ในท้องของเ้าเสีย ไม่อนุญาตให้เอ่ยถึงอีก มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ตี้หลิงหานเม้มริมฝีปากก่อนกล่าว คางของเขาเหยียดตรง ใบหน้าทั้งเย่อหยิ่งและเ็า
ดังนั้น เื่นี้ถือเป็เื่ต้องห้าม เป็ความอัปยศขององค์รัชทายาทตี้หลิงหาน
“ได้ ได้ ไม่พูดถึง ไม่พูดถึง...”
จีอู๋ซวงรีบโบกมือและะโ ทว่าดวงตาของเขากลับเป็ประกาย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เช่นนั้น ผ่านมาหลายปีเขาย่อมทราบดีว่าตี้หลิงหานเป็คนเยี่ยงไร เ็าไม่แยแส ไม่ว่าจะกล่าวอันใดย่อมไม่นำมาใส่ใจ เดิมทีก็ไม่มีเื่ใดกระตุ้นอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ แต่คาดไม่ถึงว่ามู่อันเหยียนกลับเป็คนที่มีความสามารถเช่นนั้น
เขามองไปที่ตี้หลิงหานอีกครั้ง ทว่าแม้อยากพูดก็มิยอมให้พูด
เหอๆ เขารู้สึกอยู่เสมอว่าความสัมพันธ์พัวพันระหว่างคนทั้งคู่ยังอีกยาวไกล เช่นเื่ที่เกิดขึ้นในโรงน้ำชาซินเยว่วันนี้...
“ข้ามาหาเ้าย่อมมีเื่แจ้ง เ้าวางใจเถิด วันพรุ่งหากมู่อันเหยียนมาถึงหออู๋ิ นางย่อมมิอาจรับเงินกลับไปได้แน่ ครั้งนี้ยอมให้นางตกอยู่ในกำมือของเ้า อยากทำอันใดก็ตามใจ”
จีอู๋ซวงดึงเก้าอี้พลางเอ่ยปาก
ตี้หลิงหานพ่นลมหายใจเสียงเบา มิได้กล่าวอันใดอีก
“เอ๋? เ้าลองเดาดูว่าเมื่อครู่เกิดเื่อันใดขึ้นที่โรงน้ำชาซินเยว่ ข้ามาหาเ้าก็เพื่อเล่าเื่นี้ให้ฟัง”
“หากเป็เื่ไร้สาระก็มิต้องกล่าว”
เห็นได้ชัดว่าตี้หลิงหานไม่ให้ความสนใจแม้สักนิด เขาหรี่ตาลงคล้ายง่วงเล็กน้อย
ท่าทางราวกับง่วงแต่ไม่หลับนั้น ทำให้จีอู๋ซวงมึนงงนัก ในใจร้องว่าเ้าปีศาจ
สายตาที่ชำเลืองมาเป็ครั้งคราวและท่าทางนี้ ช่างทำให้ผู้อื่นหลงใหลคลั่งไคล้ หากเขาเป็สตรีก็เกรงว่าอาจตกหลุมรักอีกฝ่ายได้ ทว่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนนี้ในโรงน้ำชาซินเยว่ จีอู๋ซวงก็กระแอมไอ เริ่มต้นเล่าเื่ราวทั้งหมดออกมา
ตี้หลิงหานหรี่ตาลง สายตาเต็มไปด้วยความง่วงงุน ท่าทางราวกับจะฟังก็ไม่ฟัง
เมื่อได้ยินคำอธิบายของจีอู๋ซวงเกี่ยวกับฮวาเหยียน นางตบฉู่หลิวซวงจนกระเด็นและสอนบทเรียนแก่ฉู่รั่วหลาน ใบหน้าของเขากลับไร้ความรู้สึก
“อาหาน เ้าได้ยินหรือไม่ บุตรีคนโตของตระกูลมู่อยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นที่สอง นับเป็สตรีผู้มีพร์เลยทีเดียว”
จีอู๋ซวงใช้ปลายลิ้นดุนเพดานปาก
หลังจากเขารู้เื่ราวก่อนหน้าระหว่างมู่อันเหยียนกับตี้หลิงหานจากอั้นจิ่ว ในใจก็นึกอยากพบคุณหนูตระกูลมู่ผู้นี้ยิ่ง สุดท้ายเพียงเขาหมุนตัวกลับ ก็ได้ยินข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง
บุตรีคนโตของตระกูลมู่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่นางกำลังจะจากไป ยังโยนคำพูดไว้อีกประโยคหนึ่ง
“ปรมาจารย์ขั้นที่สอง? ช่างน่าเสียดายนัก”
จีอู๋ซวงพูดอยู่เนิ่นนาน จนที่สุดตี้หลิงหานก็ยกเปลือกตาขึ้นเมื่อได้ยินว่านางอยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นที่สอง ทว่ากลับเป็คำพูดที่แฝงความเสียดายไว้
หัวใจของจีอู๋ซวงเย็นเฉียบเมื่อได้ยิน “เสียดายอันใดหรือ?”
“น่าเสียดายที่นางจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
ตี้หลิงหานกล่าวอย่างสงบ
จีอู๋ซวงกระตุกมุมปาก เพราะความเกลียดชังเข้ากระดูกดำเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าพูดประโยคสุดท้ายที่ได้ยินออกมา ด้วยกลัวว่าตี้หลิงหานจะบุกไปที่จวนตระกูลมู่เพื่อบีบคอคนให้ตาย
ทว่ากลับทำเช่นนั้นมิได้
เขายังหวังที่จะจับมู่อันเหยียนให้อยู่หมัด คว้าข้อมูลของคนที่ซ่อนอยู่เื้ันางให้จงได้
เป็เพราะเขากลัวว่าตี้หลิงหานจะได้ฟังเื่ราวดีๆ ของมู่อันเหยียนจากแหล่งข่าวอื่น และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงรีบร้อนเข้าพบ
เขาถอนหายใจ เพื่อร่างกายของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า เท่านี้ก็นับว่าง่ายดายแล้วมิใช่หรือ?
“อาหาน คำที่คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่พูดที่โรงน้ำชาซินเยว่ในวันนี้ และเวลานี้ก็น่าจะกระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว หากเ้าได้ฟังก็อย่าได้โกรธเล่า ต้องคิดถึงเป้าหมายหลักของเราเอาไว้ ดังนั้นอย่าหุนหันพลันแล่นเป็อันขาด”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงสงบนิ่งของจีอู๋ซวง ตี้หลิงหานที่เดิมทีมีท่าทางง่วงนอนพลันใจกระตุก เขาลืมตาขึ้นก่อนพูดว่า “นางกล่าวว่าอย่างไร?”
“แค่ก... นั่น... มู่อันเหยียนกล่าวว่า เื่การถอนหมั้นเมื่อสี่ปีก่อน สาเหตุเป็เพราะนางมิได้ชอบเ้า!”
เมื่อพูดเื่นี้จบ จีอู๋ซวงก็ลากเก้าอี้ถอยไปสามก้าว ด้วยกลัวว่าตี้หลิงหานจะมิอาจควบคุมตนเองได้และตบเขาจนกระเด็น
แต่เมื่อเสียงสิ้นสุดลง ตี้หลิงหานกลับไม่บันดาลโทสะเช่นที่เขาคิดไว้ ทว่าเพียงพ่นลมหายใจและไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
ไอ้หยา ปฏิกิริยาตอบกลับนี้ไม่ถูกต้องเท่าไรนัก?
หรือเื่ราวเป็ไปตามที่มู่อันเหยียนกล่าวอ้าง ตอนนั้นนางมิได้ชอบตี้หลิงหานจริงๆ?
“เป็ไปตามที่นางกล่าว เ้าเพียงจดจำเื่ราวในวันพรุ่งเป็พอ รอจนนางเข้าจวนไท่จื่อแล้ว ข้าจะทำให้นางเรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบ เรียกดินดินไม่ขาน [1] เป็แน่!”
เสียงของตี้หลิงหานเ็าเป็อย่างยิ่ง หลังจากฟังเื่ที่จีอู๋ซวงเล่าในวันนี้ เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร? ตอนนี้แม้มู่อันเหยียนจะกระทำการอุกอาจ เขาก็ไม่แปลกใจแล้ว
อา เมื่อสี่ปีก่อนนางมิได้ชอบเขาหรือ?
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ความหนาวเหน็บในดวงตาของตี้หลิงหานก็ค่อยๆ ถลำลึกลง เื่ราวผ่านพ้นมาแล้วสี่ปี ทว่านางกลับเอ่ยถึงในวันนี้หรือ? ช่างรนหาที่ตายจริงๆ
เชิงอรรถ
[1] เรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบ เรียกดินดินไม่ขาน 叫天天不应, 叫地地不灵 (jiào tiān tiān bù yìng, jiào dì dì bù líng) หมายถึง ตกที่นั่งลำบาก ไม่มีคนช่วยเหลือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้