เฝิงเจี่ยนพยักหน้าให้ผู้เฒ่าหยาง ผู้เฒ่าหยางรีบออกไปเปิดประตู ยิ้มแย้มต้อนรับลู่เสี่ยวหมี่ กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ายังคิดจะตามหาแม่นางลู่อยู่พอดี ขาข้างที่าเ็ของคุณชายข้าควรจะเปลี่ยนยาได้แล้ว”
“ท่านลุงหยาง ข้าจำได้เ้าค่ะ เมื่อเช้าให้พี่ใหญ่ไปเรียกท่านลุงสามปี้แล้ว หลังมื้อเที่ยงก็คงมาเ้าค่ะ”
ลู่เสี่ยวหมี่ตอบฉะฉาน นางจัดการเื่ราวในบ้านได้เป็อย่างดี โดยเฉพาะเื่ของเฝิงเจี่ยนนายบ่าว นางใช้ใจอันละเอียดอ่อนจัดการอย่างเหมาะสมเสมอ ผู้เฒ่าหยางได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม
“เช่นนั้นก็ดี ลำบากแม่นางลู่แล้ว”
“ท่านลุงหยางเกรงใจเกินไปแล้ว คนกันเองทั้งนั้น เป็เื่ที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วเ้าค่ะ”
ลู่เสี่ยวหมี่เข้ามานั่งลง กวาดตามองเครื่องเขียนบนโต๊ะที่ตั้งอยู่บนเตียงเตา ของเหล่านี้ลู่เสี่ยวหมี่ซื้อเตรียมไว้ให้เฝิงเจี่ยน ให้เขาใช้เขียนอักษร คิดไม่ถึงวันนี้จะถูกนำมาใช้จริงๆ
เฝิงเจี่ยนเห็นว่าเมื่อเข้าห้องมาแล้วลู่เสี่ยวหมี่ยังไม่เอ่ยวาจา แต่มองไปยังอุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะก่อน สายตาก็ปรากฏความประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยปากถามขึ้นว่า “แม่นางลู่จะใช้กระดาษกับพู่กันหรือ?”
ลู่เสี่ยวหมี่รีบดึงสติกลับมาทันที ยิ้มกล่าวว่า “บางทีอีกประเดี๋ยวอาจจะได้ใช้เ้าค่ะ ข้ามีเื่จะสนทนากับพี่ใหญ่เฝิงก่อน”
“ได้ เชิญแม่นางลู่ว่ามาเถิด”
“อืม หลายวันที่พักอยู่ที่นี่ คาดว่าท่านคงจะเดาได้แล้วว่าบ้านของข้าค่อนข้างยากลำบาก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องให้เกาเหรินตามพวกพี่เสี่ยวเตาขึ้นเขาไป ยามนี้บ้านข้าใกล้จะต้องเตรียมงานครบร้อยวันให้ท่านแม่ที่จากไป พี่สามของข้าเองก็ต้องกลับไปสำนักศึกษาแล้ว...”
ในชาติก่อนต่อให้ลู่เสี่ยวหมี่จะยากลำบาก นางยอมทำงานพิเศษวันละสี่งานแต่ไม่ยอมเอ่ยปากยืมเงินผู้อื่น คิดไม่ถึงว่าพอมาอยู่ที่นี่ มีบ้านมีครอบครัว แต่คนกลับหน้าหนาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง มือก็ถูชายแขนเสื้อไปมาจนอยู่ในสภาพดูไม่ค่อยได้เท่าไรแล้ว
เฝิงเจี่ยนกวาดสายตาผ่านใบหูแดงแจ๋ของลู่เสี่ยวหมี่ ในที่สุดก็เอ่ยขัดขึ้น “หากว่าเงินที่บ้านไม่พอใช้ วันพรุ่งนี้ก็ให้เกาเหรินขึ้นเขาไปอีกครั้ง”
เกาเหรินกลอกตา แค่นเสียงเ็าแต่ก็ไม่ปฏิเสธ กลับแลบลิ้นเลียปาก ซี่โครงหมูน้ำแดงที่ได้ลิ้มลองก่อนหน้านี้อร่อยนัก หากว่าขึ้นเขา เขาต้องล่าหมูป่ากลับมาสักตัว
ลู่เสี่ยวหมี่หน้าเปลี่ยนสีทันที รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้ พี่ใหญ่เฝิงท่านไม่รู้อะไร บนเขาหิมะระลอกที่สองตกลงมาแล้ว จึงปิดกั้นทางขึ้นูเาโดยสิ้นเชิง หากล่ากระต่ายหิมะและไก่ป่ายังพอทำเนา แต่หากขึ้นเขาไปก็อันตรายแล้ว ต่อให้เกาเหรินวรยุทธ์สูงส่งแค่ไหนก็อาจจะหนาวตายอยู่บนเขาได้”
พูดมาถึงขนาดนี้นางก็อ้ำๆ อึ้งๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว รีบพูดจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของตน “ที่ข้ามาในวันนี้ ไม่ใช่เพราะ้าให้เกาเหรินขึ้นเขาไปล่าสัตว์ แต่คิดจะมาทำการค้ากับพี่ใหญ่เฝิง”
“ทำการค้า?”
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้ว กระทั่งผู้เฒ่าหยางและเกาเหรินก็มองมาอย่างสงสัย
ลู่เสี่ยวหมี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่เฝิง ปีหน้าเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ข้าคิดจะปรับปรุงที่นาของครอบครัวและทำการเพาะปลูก ดูว่าจะสามารถทำให้ครอบครัวได้ผลผลิตเร็วขึ้นได้หรือไม่ ข้ายังมีของบางอย่างที่คิดจะลองประดิษฐ์ดูด้วย ไม่แน่อาจจะเป็ช่องทางหาเงินที่ได้ค่าตอบแทนดีอย่างคาดไม่ถึง แต่ในมือข้าไม่มีเงินแม้แต่น้อย ดังนั้นข้าจึงมาหาพี่ใหญ่เฝิงเพื่อจะปรึกษา เงินจากการเอาสัตว์ที่ล่ามาได้ไปขายครั้งก่อนยังเหลืออยู่หนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง ท่านจะให้ข้ายืมก่อนได้หรือไม่? รอกระทั่งสิ้นฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ข้ายินดีคืนกลับให้ท่านเป็สองเท่า หากพูดปากเปล่าไม่น่าเชื่อถือ ข้าจะเขียนสัญญาเป็หลักฐานให้ท่าน และหากว่าปลายฤดูใบไม้ร่วงในปีหน้า ข้ายังคืนหนี้ให้ท่านไม่หมด อืม...ข้ายังมีฝีมือทำอาหารที่นับว่าไม่เลว ถึงตอนนั้นข้ายินดีไปเป็แม่ครัวให้พี่ใหญ่เฝิง ใช้แรงงานชดใช้เงิน จนกว่าจะคืนได้จนครบเ้าค่ะ”
ประโยคสุดท้ายลู่เสี่ยวหมี่แทบจะกัดฟันพูด
อิสระเสรีเป็ของล้ำค่าอย่างยิ่ง หากมีวิธีอื่น นางไม่มีทางเอาอิสระของตนเข้าแลก แต่สถานการณ์คับขัน นาง้านำความร่ำรวยมาสู่ครอบครัว ต้องทำให้คนสกุลลู่ใช้ชีวิตอย่างดีสืบไป การตอบแทนบุญคุณของมารดาแทนลู่เสี่ยวหมี่เ้าของร่างเดิมได้ก็มีแค่วิธีนี้
ที่จริงแล้วเฝิงเจี่ยนไม่ได้เห็นเงินร้อยกว่าตำลึงนั้นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย อีกอย่างก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยบอกไปแล้วว่าเงินที่แลกมาได้ ยกให้คนสกุลลู่ใช้จ่ายทั้งหมด ยามนี้เมื่อได้ยินลู่เสี่ยวหมี่พูดเช่นนี้ เขาก็ขมวดคิ้วเตรียมจะปฏิเสธ กลับเห็นผู้เฒ่าหยางที่อยู่ด้านหลังลู่เสี่ยวหมี่ส่ายหน้าเบาๆ
เขาอึ้งไปเล็กน้อย แต่เมื่อเบนสายตากลับมามองต้นคอขาวผ่องของลู่เสี่ยวหมี่ที่เกร็งจนเห็นเส้นเอ็น เขาก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้
“ได้ เช่นนั้นก็เขียนสัญญาขึ้นมาตามที่แม่นางลู่ว่าเถอะ ฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ข้าจะให้เกาเหรินมาที่นี่อีกครั้ง”
“ได้ ขอบคุณพี่ใหญ่เฝิงเ้าค่ะ พี่ใหญ่เฝิงวางใจ ฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าข้าต้องคืนหนี้ได้จนหมดอย่างแน่นอน”
ลู่เสี่ยวหมี่ดีใจมาก ใบหน้าเล็กเพียงหนึ่งฝ่ามือค่อยๆ แย้มยิ้มออกมาอย่างสดใส ราวกับแสงตะวันที่ค่อยๆ โผล่พ้นเมฆหมอกแลดูเจิดจรัส ทำเอาเฝิงเจี่ยนอดยกยิ้มมุมปากตามไม่ได้
ผู้เฒ่าหยางช่วยเตรียมกระดาษและพู่กันให้ ครั้นเห็นว่าลายมือของลู่เสี่ยวหมี่งดงามยิ่งนักจึงชมเชยว่า “แม่นางลู่เขียนอักษรได้งามนัก”
“ท่านแม่ข้าเป็คนสอนเ้าค่ะ” ลู่เสี่ยวหมี่เขียนสัญญาอย่างละเอียดรอบคอบ สุดท้ายหยุดขบคิดเล็กน้อย แล้วจึงทาหมึกสีดำบนนิ้วจากนั้นก็กดลงไปบนสัญญา กล่าวต่อไปว่า “อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบร้อยวันของมารดาข้า ในบ้านต้องจัดเตรียมงาน ถึงตอนนั้นเกรงว่าอาจจะเสียงดังรบกวนความสงบของพี่ใหญ่เฝิงแล้ว”
“ไม่หรอก”
ไม่รู้ว่าเฝิงเจี่ยนคิดอะไรขึ้นมาได้ สายตาหม่นลงเล็กน้อย “ถึงตอนนั้น อนุญาตให้ข้าได้ปักธูปด้วยเถอะ”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เฝิงมากเ้าค่ะ”
ลู่เสี่ยวหมี่สมปรารถนาแล้ว นางสนทนาเรื่อยเปื่อยกับพวกเขาอีกเล็กน้อย แล้วถึงค่อยจากไป
“บุตรจากครอบครัวยากจนมักจะรู้ความเร็วกว่าบุตรบ้านอื่น แม่นางลู่คนนี้ไม่ทอดทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็เฉลียวฉลาดรู้ความยิ่ง”
ผู้เฒ่าหยางเอ่ยชมเสียงเบา ส่วนเกาเหรินที่กำลังเล่นเมล็ดพุทราจีนราวกับมันเป็อาวุธลับ กลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “ยัยเด็กนี่ กล้าดูถูกข้า วันพรุ่ง...”
“วันพรุ่งห้ามขึ้นเขาเด็ดขาด” ผู้เฒ่าหยางตำหนิด้วยสีหน้าเ็าดุดันอย่างน้อยครั้งจะเป็ “ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะเ้าไปจากข้างกายคุณชาย คุณชายจะถูกโจรูเาทำร้ายได้อย่างไร หากเ้ายังกล้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้อีก อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ”
เกาเหรินถูกดุด่าก็หน้าแดงก่ำ เขาเตรียมจะด่ากลับ ถึงขนาดเตรียมลงไม้ลงมือด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ยังไม่กล้าพอ สุดท้ายจึงหันไปเปิดหน้าต่างแล้วจึงะโผลุนผลันออกไป
ผู้เฒ่าหยางปิดหน้าต่างไล่หลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย คล้ายว่าจะคุ้นเคยกับเื่เช่นนี้อยู่แล้ว เมื่อหันกลับไปก็เห็นว่าเฝิงเจี่ยนกำลังนอนพักสายตาอยู่ในผ้าห่มผืนหนา...
ส่วนทางลู่เสี่ยวหมี่เมื่อกลับมาถึงห้องแล้วก็หยิบตั๋วเงินออกมาทั้งหมด ในใจรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เงินพวกนี้ วันหน้าจะกลายเป็เงินทุนให้กับนาง ขณะเดียวกันก็เป็ภาระหนักอึ้งบนบ่าของนาง
หากเื่นี้แพร่ออกไปเกรงว่าคนทั้งหมู่บ้านเขาหมีจะต้องคิดว่านางบ้าไปแล้วเป็แน่
ทว่าความกดดันเช่นนั้นขณะเดียวกันก็เป็แรงผลักดันด้วย มาถึงตอนนี้นางไม่มีทางให้ถอยแล้ว ทำได้เพียงเค้นสมองคิดวิธีหาเงินให้ได้มากๆ
การค้าใดกันนะ ที่จะเห็นผลกำไรรวดเร็วและไม่ต้องลงทุนมากนัก ดีที่สุดก็ไม่ต้องจ้างงานคนอื่นเพิ่ม...
พระอาทิตย์ในฤดูหนาวปราศจากความมีชีวิตชีวาเช่นฤดูร้อน ทุกวันโผล่ออกมาถึงแค่่เที่ยง จากนั้นก็หลบไปอยู่หลังเมฆอย่างอ่อนล้า คิดจะี้เีอยู่หลังก้อนเมฆจนค่ำมืด
…
ตอนที่ลุงสามปี้แบกล่วมยามาเคาะประตูบ้านสกุลลู่นั้น ลู่เสี่ยวหมี่กำลังยุ่งอยู่ในครัว
เกาเหรินที่ก่อนหน้านี้โกรธจนหนีหายไปไม่รู้ว่ากลับมาั้แ่เมื่อไร ยังคงแอบเข้ามาในครัวเช่นเดิม มักอาศัยคำอธิบายสวยหรูว่ามาเป็ลูกมือช่วยลู่เสี่ยวหมี่ ที่จริงคือตั้งใจมาแอบขโมยกิน
แต่วันนี้กลับต่างออกไป เพราะแม้แต่พี่รองลู่เองก็อออยู่หน้าประตูพยายามชะโงกหน้าเข้ามาเช่นกัน
ครั้นได้ยินเสียงคนเคาะประตู ลู่เสี่ยวหมี่รีบเช็ดเหงื่อที่ปลายจมูก มือหนึ่งยัดถังหูลู่ [1] ใส่มือลู่อู่และเกาเหริน แล้วไล่พวกเขาออกไป
“น่าจะเป็ลุงสามปี้มาเปลี่ยนยาให้ รีบไปเปิดประตูและไปแจ้งพี่ใหญ่เฝิงเร็วเข้า”
ลู่อู่และเกาเหรินได้ของกินที่หมายตาอยู่นาน สีหน้าจึงเบิกบาน เดินเลียถังหูลู่ออกไปอย่างอารมณ์ดี
ลุงสามปี้เดินเข้ามาในบ้านสกุลลู่ เห็นลู่อู่กัดแทะผลไม้เคลือบน้ำตาลวาววับ ก็เดาว่าลู่เสี่ยวหมี่คงทำอาหารใหม่ๆ อีกแล้วเป็แน่ จึงยื่นมือไปแย่งมา
ลู่อู่กระทืบเท้า “ลุงสาม ในห้องครัวยังมีอีก เหตุใดต้องมาแย่งของข้าด้วย?”
“เ้าก็ไปเอามาใหม่สิ ไม่รู้หรือว่าข้ากำลังยุ่งอยู่” ลุงสามปี้ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กัดไปพลางพยักหน้าไปพลาง “ซันจา [2] นี่เป็ผลไม้ที่หาได้ทั่วไป เหตุใดพอเป็ลู่เสี่ยวหมี่นำมาทำถึงได้อร่อยเช่นนี้ ไป ไปเอามาให้ข้าอีกสองไม้”
ลู่เสี่ยวหมี่ที่อยู่ในห้องครัวได้ยิน ก็รีบโผล่มาที่หน้าประตูและทักทายอย่างร่าเริง “ท่านลุงสามปี้ชอบกินก็ดีแล้ว ตอนกลับไปค่อยหยิบติดมือไปอีกนะเ้าคะ”
“ได้เลย เด็กๆ ที่บ้านคงจะชอบมากเป็แน่”
ลุงสามปี้พูดพลางเดินเข้าเรือนพักฝั่งตะวันออก ลู่เสี่ยวหมี่ไม่สะดวกตามเข้าไป จึงยืนฟังเสียงความเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก
เฝิงเจี่ยนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ ร่างกายจึงแข็งแรงกว่าคนปกติเป็ทุนเดิม อีกทั้งสามวันนี้ยังกินดีอยู่ดี ดื่มน้ำแกงบำรุงครบสามมื้อไม่ได้ขาด แผลที่ขาย่อมหายเร็วเป็ธรรมดา
ทุกคนต่างพากันดีอกดีใจ ลุงสามปี้เองก็ไม่เกรงใจ ตอนกลับออกไปมือหนึ่งถือหมูตุ๋นพะโล้ อีกมือถือถังหูลู่ เดินจากไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า
หมู่บ้านเขาหมีเดิมทีก็ไม่ใช่หมู่บ้านใหญ่โต บรรดาเด็กเล็กๆ ไม่ได้เปลี่ยนนิสัยชอบเล่นสนุกของตนเองเพียงเพราะหิมะตก และเพราะลุงสามปี้เดินถือถังหูลู่โบกไปมาดึงดูดสายตาเช่นนั้น ย่อมทำให้ข่าวที่ว่าสกุลลู่ทำของอร่อยลือไปทั่วอีกครั้ง
เพียงไม่นานลานบ้านสกุลลู่จึงแน่นขนัดไปด้วยศีรษะน้อยๆ ของบรรดาเด็กๆ
ลู่เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ตระหนี่ แบ่งถังหูลู่ให้คนละไม้ ทำให้เด็กๆ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากจากไปอย่างอารมณ์ดี
ในเรือนพักฝั่งตะวันออก เฝิงเจี่ยนกำลังทนกับความเ็ปที่แผลบนขาของตน เนื่องจากเพิ่งถูกเปลี่ยนผ้าพันแผลไป เขาเจ็บจนรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน ผู้เฒ่าหยางเดินกลับมาพร้อมถังหูลู่ในมือ
เฝิงเจี่ยนไม่ใช่คนตะกละ แต่เขา้าหาอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจของตน ครั้นกัดลงไปคำหนึ่ง รสชาติหอมหวานอมเปรี้ยวและเย็นสดชื่นก็กำจายเต็มปาก ความหงุดหงิดงุ่นง่านในใจค่อยๆ สลายหายไป
ผู้เฒ่าหยางเห็นว่าสีหน้าของเ้านายตนมีความประหลาดใจ จึงคลี่ยิ้มกล่าวว่า “คาดว่าแม่นางลู่คงจะขายเ้าของสิ่งนี้เพื่อหาเงินกระมัง”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า กินอย่างช้าๆ ถึงแม้จะชอบมาก แต่ในใจก็ไม่ได้เห็นเ้าของกินเล่นนี้อยู่ในสายตานัก เ้าของสิ่งนี้โดดเด่นเพียงเพราะมันแปลกใหม่ หากจะเลียนแบบทำตามก็ดูไม่น่ายากอะไร หากจะขายเ้าของสิ่งนี้ไปนานๆ เกรงว่าคงหาเงินได้ไม่มากนัก
ลู่เสี่ยวหมี่เองก็รู้ข้อนี้ดี ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะขายสิ่งนี้ไปตลอด
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ลู่เสี่ยวหมี่ไม่มีเวลาเตรียมกับข้าวพิเศษอะไร นางต้มบะหมี่ร้อนๆ ใส่กระเทียมสับ และทำผักดองเครื่องเคียงอีกสองอย่างเป็อันเสร็จ แน่นอนว่าของเฝิงเจี่ยนเป็น้ำแกงไก่ตุ๋นที่อบอุ่นและบำรุงร่างกาย
ทุกคนยังคงมานั่งรับประทานอาหารรวมกันที่เรือนพักฝั่งตะวันออก ลู่อู่กำลังจะเอ่ยปากบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ลู่เสี่ยวหมี่ก็แย่งพูดขึ้นมาก่อนว่า “พี่รอง อีกประเดี๋ยวท่านไปหาพวกพี่เสี่ยวเตา รวบรวมคนให้ได้สักสิบคน วันพรุ่งช่วยเข้าเมืองไปขายถังหูลู่แทนข้าที”
ลู่อู่ซดน้ำแกง จากนั้นถามอย่างสงสัย “น้องสาว เ้าคิดจะขายผลซันจาที่ทำขึ้นวันนี้หรือ มันจะขายออกหรือ ซันจาไม่ใช่ของแปลกอะไร...”
“ท่านเองก็ชอบกินมากไม่ใช่หรือ? จะขายไม่ออกได้อย่างไร อีกอย่าง ถึงซันจาจะไม่น่าสนใจ แต่ลองเคลือบน้ำตาลแวววาวเข้าไปแล้ว ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกนะ ท่านอย่าใส่ใจอะไรมากนักเลย รีบไปช่วยข้าจัดการให้เรียบร้อยเป็พอ”
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่มีอารมณ์มาอธิบายอะไรมากมายให้พี่ชายฟัง กินบะหมี่ไปไม่กี่คำอย่างเรียบร้อย แล้วจึงกลับไปยุ่งอยู่ในครัว
หากขายแค่ซันจาถังหูลู่ก็คงได้ค่าตอบแทนไม่มาก นางเตรียมจะทำอย่างอื่นไปขายด้วย
หลักการทำการค้าที่สำคัญคือ ของที่คนอื่นไม่มีเรามี ของที่คนอื่นมีเราเชี่ยวชาญ ต้องแน่ใจว่าเราทันทุกความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ในโลก เช่นนี้ผลตอบแทนย่อมมีให้เห็นอย่างแน่นอน
เชิงอรรถ
[1] ถังหูลู่(糖葫芦)เป็ของกินเล่นโดยใช้น้ำตาลเคลือบแข็งบนผิวผลไม้สดที่เสียบก้านไม้ยาว
[2] ซันจา(山楂)คือไม้ผลขนาดเล็กประเภทเบอร์รี่ชนิดหนึ่งในสกุลฮอว์ธอร์น ของวงศ์กุหลาบ คนส่วนมากรู้จักในฐานะเป็ผลไม้มีรสเปรี้ยว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้