ระหว่างที่พูด พวกเขาก็ขึ้นรถแล้ว
หัวหน้าซุนกับจ้าวอู๋จี๋และเจียงไป๋นั่งรถคันเดียวกัน ส่วนหวางเป้านั่งรถอีกคันหนึ่ง
เพิ่งจะขึ้นรถ หัวหน้าซุนก็ถามอย่างแปลกใจว่า “อู๋จี๋ ครั้งนี้เห็นสีหน้านายไม่เลวเลย เมื่อสองปีก่อนที่ฉันไปเทียนตูครั้งนั้น นายก็นั่งอยู่บนรถเข็นและขยับไม่ได้ ทำไม หรือว่าอาการป่วยของนายดีขึ้นแล้ว? หาหมอที่มีชื่อพบแล้วหรือ? เป็ยอดฝีมือเร้นลับท่านไหนล่ะ?”
“ยอดฝีมือเร้นลับหรือ? นั่น … ก็อยู่ข้างๆ คุณไง”
เมื่อได้ยินคำนี้ของหัวหน้าซุนแล้ว จ้าวอู๋จี๋เบ้ปาก และชี้ไปที่เจียงไป๋ที่อยู่ข้างๆ
นี่ก็ทำให้หัวหน้าซุนตะลึงงัน และมองเจียงไป๋ด้วยใบหน้าที่ไม่กล้าเชื่อ
สถานการณ์ของจ้าวอู๋จี๋ แน่นอนว่าเขาเข้าใจ ทั้งสองคนเป็เพื่อนกันมาหลายปี และจะย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ได้
เป็ธรรมดาที่เขาจะเข้าใจสถานการณ์ของจ้าวอู๋จี๋มากกว่าคนอื่น และรู้ว่าเพื่อนเก่าคนนี้อยู่ได้ไม่นานแล้ว
ครั้งก่อนที่ไปพบ เขารู้ว่าจ้าวอู๋จี๋จะมีชีวิตอยู่ได้แค่สองสามปีนี้ แต่ตอนนี้พอดูแล้ว กลับตื่นเต้นมาก และมีความแปลกที่ไหนกัน?
ซึ่งทำให้เขาแปลกใจ และยังคิดว่าจ้าวอู๋จี๋ค้นหายอดฝีมือเร้นลับตามป่าตามเขามาถึงสองสามปี แต่ในที่สุดก็ได้พบแล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับเป็เจียงไป๋ จึงทำให้เขาใมาก
“สหายเสี่ยวไป๋เก่งมาก อาการป่วยของอู๋จี๋ ไม่รู้ว่าทำให้ผู้คนเป็ห่วงกันมากเท่าไร สองสามปีนี้ ไม่รู้ว่ามีหมอชื่อดังมารักษาให้เขาแล้วเท่าไร แต่ทั้งหมดก็ล้วนหมดหนทาง คิดไม่ถึงว่านายจะรักษาได้แล้ว ฮ่าๆ เก่งกาจจริงๆ วีรบุรุษเกิดจากคนหนุ่มจริงๆ คำพูดนี้ไม่มีผิดแม้แต่น้อย ่นี้ร่างกายของท่านนายกเทศมนตรีก็ไม่ค่อยดี พอถึงแล้ว นายก็ถือโอกาสดูให้ท่านสักหน่อย”
หัวหน้าซุนยิ่งกระตือรือร้นกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด
คนที่มีความสามารถ ย่อมเป็คนที่ใครๆ ก็ชอบ กับหัวหน้าซุนก็เช่นกัน
โดยเฉพาะคนที่มีวิชาการแพทย์ที่ล้ำเลิศก็ยิ่งเป็เช่นนี้
หากรู้ถึงขั้นนี้แล้ว อำนาจ เงินทองอะไร จริงๆ แล้วก็ล้วนไม่ได้สำคัญเท่าชีวิต การรู้จักกับหมอดังที่มีฝีมือไม่ธรรมดาคนหนึ่ง นั่นก็คุ้มค่ากว่าสิ่งใดๆ
แต่พอเขาพูดคำนี้ออกมา กลับทำให้เจียงไป๋ฝืนยิ้มอยู่ภายในใจ
รู้เทคนิคการแพทย์บ้าอะไร!
หนังสือประเภทวิชาการแพทย์ก็อ่านมาไม่น้อยแล้ว หากบอกว่าพอเข้าใจก็ยังพอได้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยปฏิบัติจริงสักครั้ง จะให้เขาไปรักษาคนหรือ? และยังเป็คนใหญ่คนโตระดับสูงอย่างนั้น?
เจียงไป๋ไม่มีความมั่นใจจริงๆ
แต่ตอนนี้สถานการณ์อย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าจ้าวอู๋จี๋นั่งดูอยู่ตรงนั้นราวกับดูละคร และยังมีรอยยิ้มที่หยอกเย้า จริงๆ แล้วก็ไม่คิดที่จะแก้ต่างให้ นี่ก็ทำให้เจียงไป๋ต้องกัดฟันพูดว่า “ครับ หากท่านนั้นเชื่อผม แต่ถ้าดูอะไรไม่ออก หัวหน้าซุนก็อย่าได้ตำหนิผมล่ะ”
“ไม่หรอก ไม่หรอก ฮ่าๆ … น้องชาย บุคคลอย่างนาย แม้แต่คนป่วยที่รักษายากอย่างอู๋จี๋ก็ล้วนรักษาหายได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็แค่อาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น? ท่านนั้นก็เป็โรคเก่าโรคเดิม และก็กำเริบเป็บางครั้งเท่านั้น ถึงแม้จะยากจนทำให้ใครหลายๆ คนหมดหนทาง แต่เมื่อเทียบกับของอู๋จี๋แล้ว ก็ดีกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า หากนายรักษาอู๋จี๋ให้หายได้ แน่นอนว่าก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก”
คำพูดของเจียงไป๋ ทำให้หัวหน้าซุนถ่อมตัวใส่และทำไม้ทำมือ เขาหัวเราะเสียงดังพลางพูด
ทำให้ภายในใจของเจียงไป๋ยิ่งขมขื่น เขาตัดสินใจแล้ว หากไม่ได้จริงๆ มากสุดก็ใช้แต้มบารมี
อย่างไรระบบก็ขนานนามว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ก็แค่เจียงไป๋ยอมเสียสละแต้มบารมี เื่อะไรก็ล้วนไม่เป็ปัญหา
หลิงเฉวียนไม่ถือว่าใหญ่มาก จากสนามบินมาถึงจุดหมายก็ใช้เวลาสิบกว่านาที รถสองคันแล่นมาอย่างราบรื่น แทบจะไม่ถูกอะไรกีดขวาง
พูดไปแล้วก็แปลก ป้ายทะเบียนรถสองคันนี้ธรรมดา เจียงไป๋ก็ไม่เห็นสัญลักษณ์พิเศษอะไร และไม่ว่าทางใดๆ ก็ล้วนพุ่งเข้าไปโดยตรง และผ่านไปอย่างที่ตำรวจจราจรเ่าั้ก็ล้วนทำเป็ไม่เห็น จนทำให้เจียงไป๋ใมาก
ผ่านถนนที่เจริญรุ่งเรืองไป ตึกสูงตั้งเรียงราวกับป่าไม้ กลุ่มคนที่ครึกครื้นและสิ่งปลูกสร้างสไตล์โบราณ พวกเจียงไป๋ตรงไปที่ชิงชาน ผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่หน้าประตูเป็ชั้นๆ ไป ในที่สุดพวกเจียงไป๋ก็หยุดรถอยู่ที่ประตูทางเข้าบ้านเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ในกลางป่าหลังหนึ่งแล้ว
บ้านเดี่ยวใหญ่มาก ใช้พื้นที่ทั้งูเา และอยู่ตรงข้ามกับเขาชิงชานที่อยู่ไกลออกไป หันหน้าไปทางใต้ และดูมีสไตล์มาก ยืนอยู่ตรงนี้ก็สามารถมองเห็นเขาชิงชาน และความสวยงามที่พูดไม่ออกได้
“นี่ก็คือบ้านเดี่ยวชิงชานหรือ ผมเพิ่งมาสถานที่ที่เป็ตำนานอย่างนี้เป็ครั้งแรก”
พอเข้ามา เจียงไป๋ก็อดชมเชยไม่ได้
บ้านเดี่ยวชิงชานสำหรับบุคคลธรรมดาแล้ว ก็เหมือนจะได้แค่หวัง แต่เข้าใกล้ไม่ได้ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนเขาชิงชาน เป็ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาและในประเทศมีน้อยมาก จริงๆ แล้วคนปกติทั่วไปก็ทำไม่ได้
“ท่านชอบความเงียบสงบ ไม่ชอบความครึกครื้น ถึงแม้ทางตี้ตูจะจัดที่พักไว้แล้ว แต่ท่านก็ยังรู้สึกว่าที่นี่ดีกว่า ทัศนียภาพเหมาะสม และงดงาม หลายปีมานี้ ก็พักอยู่ที่นี่มาตลอด นอกจากว่าจะมีเื่ใหญ่อะไร ไม่อย่างนั้นก็จะออกไปข้างนอกน้อยมาก”
คำพูดนี้ของเจียงไป๋ ก็นำมาซึ่งรอยยิ้มของจ้าวอู๋จี๋กับหัวหน้าซุน หลังจากนั้นหัวหน้าซุนก็พูดมาอย่างนี้ และอธิบายให้เจียงไป๋ฟัง
นี่ก็ทำให้เจียงไป๋ยิ่งรู้สึกแปลกใจต่อเ้าของบ้านเดี่ยวชิงชานหลังนี้มาก
ซ่อนอยู่ในหลิงเฉวียนของทางเหนือ อยู่ห่างจากส่วนกลาง แต่เหมือนกับว่าไม่ได้ถูกลืม นี่ก็ทำให้เจียงไป๋แปลกใจมาก คนที่จะไปพบเป็ใครกันแน่
ถึงแม้บ้านเดี่ยวชิงชานหลังนี้จะงดงาม แต่รอบนอกกลับระมัดระวังอย่างเข้มงวด มีทหารยืนประจำการอย่างแ่า
ระหว่างนั้นเจียงไป๋ยังพบว่าในนี้มียอดฝีมืออยู่สองสามคน ต่างก็เป็บุคคลที่สุดยอด
คนที่อำพรางอยู่ นอกจากยอดฝีมือิจิ้นสิบกว่าคนแล้ว ยังมีกึ่งปรมาจารย์อย่างน้อยสองคน ทำให้เจียงไป๋ใมาก
กำลังในการคุ้มกันอย่างนี้ ก็ร้ายกาจกว่าจ้าวอู๋จี๋และอู่เทียนซีมาก ถึงแม้พวกเขาสองคนจะสามารถเชิญบุคคลที่เก่งกาจมาได้ แต่การจะให้คนมากมายขนาดนี้มาคุ้มกันทุกเวลา ไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้
พอเข้าประตูมา ผู้หญิงวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีที่มีท่าทางเหมือนแม่บ้านคนหนึ่ง ก็มารับพวกเขาอย่างกระตือรือร้น
หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนรองเท้า และตรงไปที่ห้องหนังสือโดยการนำทางของหัวหน้าซุน
เพิ่งจะเข้าประตูมา ก็เห็นชายแก่ที่อยู่ไกลออกไป เขามีหนวดเคราและผมขาวโพลน อายุประมาณแปดสิบถึงเก้าสิบปี บนใบหน้ามีริ้วรอยความแก่อย่างเห็นได้ชัด ผิวพรรณเหี่ยวย่นคนหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า
ถึงแม้จะเป็ไม้ใกล้ฝั่ง แต่ก็ยังคงมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นเฉียบคมเหลือเกิน ตอนที่พวกเจียงไป๋เข้าประตูมาก็มองมาแล้ว จนทำให้ใ ถึงเป็เจียงไป๋ที่ตอนนี้จะไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างนี้ก็ไม่ระมัดระวังตัวไม่ได้
“สวัสดีผู้าุโเมิง”
ตอนที่เห็นคนคนนี้ เจียงไป๋ก็รู้สึกคุ้นเคย แต่ก็ไม่มีทางมองออกได้ แต่พอตามด้วยประโยคนี้ของจ้าวอู๋จี๋ ทำให้เจียงไป๋นึกออกว่าคนตรงหน้านี้คือใคร
เมิงฉางเจิง ผู้นำปฏิวัติที่ยังมีชีวิตอยู่ มีคุณูปการในการก่อตั้งหัวเซี่ย หลายปีก่อนหน้านี้เกษียณอายุเก็บตัวไปแล้ว กำลังในวงการทหารและรัฐบาลก็ไม่อาจนับได้
ตามที่เจียงไป๋เข้าใจ ถึงจะเป็พ่อของจ้าวอู๋จี๋ ก็เคยเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านนี้ ตอนที่ท่านนี้ทำาไปทั้งทางเหนือยันทางใต้ พ่อของจ้าวอู๋จี๋ก็ยังเป็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้พ่อของจ้าวอู๋จี๋ได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ท่านนี้ก็ยังคงยืนตระหง่าน และเป็เหมือนกับเข็มศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรของทั้งหัวเซี่ย และค้ำยันไว้
แต่ก็ไม่เคยมีข่าวคราวของผู้าุโท่านนี้มานานมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลิงเฉวียนที่เล็กๆ นี้ แต่ไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่
ในขณะเดียวกัน เจียงไป๋ก็เข้าใจถึงฐานะของหัวหน้าซุนบ้างแล้ว คิดดูแล้วก็มีความสัมพันธ์กับผู้าุโเมิงท่านนี้ น่าจะเป็บุคคลที่เป็เลขาฯคนสนิทของผู้าุโเมิงอะไรประมาณนั้น
มิน่าล่ะ จ้าวอู๋จี๋ถึงบอกว่า หัวหน้าซุนเคยกุมนโยบายหลักของรัฐบาล เดิมทีแล้วเป็เพราะผู้าุโเมิงนี่เอง ตอนนี้จึงเป็เหมือนกับัซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เพราะติดตามผู้าุโเมิงมาเก็บตัวเท่านั้น
ก็เป็เหมือนที่จ้าวอู๋จี๋พูด หากผู้าุโเมิงยินยอม หากหัวหน้าซุนยินยอมก็สามารถพุ่งทะยานขึ้นฟ้าได้ทุกเวลา
ถ้าจะบอกว่าลูกศิษย์และลูกสมุนของผู้าุโเมิงมีอยู่ทั่ว ก็ถือว่าเบาแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านนี้ไม่ว่าจะเป็ัแห่งตี้ตูอะไร หรือวีรบุรุษแห่งเหอเป่ยอะไรก็ล้วนไม่มีค่า ถึงจะลากหลี่ชิงตี้กับอู่เทียนซีมาด้วยกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านนี้ก็ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย
ไม่เห็นหรือว่าครั้งนี้จ้าวอู๋จี๋สงบเสงี่ยมมาก?
หากคนอื่นๆ มา จะกล้าวุ่นวายอะไรได้?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้