แก่จนป่านนี้แล้วปู่หลินก็ยังไม่มีความอดทน เื่นี้ทำให้หลินฟู่อินมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม
จากนั้นนางจึงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ตอนที่ท่านแม่จากไปข้าก็บอกแล้วว่าน้องๆ ยังเล็กนัก แต่ท่านแม่ก็ยังรั้นจะทิ้งทุกอย่างเอาไว้ให้ข้า หากน้องชายน้องสาวโตขึ้นมาแล้วข้า้าแบ่งสมบัติที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้กับน้องๆ ก็เป็การตัดสินใจของข้า ตอนนี้ท่านปู่ให้ข้านำตำรับอาหารไปเก็บไว้ที่ท่านลุงใหญ่ เช่นนี้ไม่นับว่าเป็การสั่งให้ข้าขัดคำสั่งเสียของท่านแม่หรือเ้าคะ?”
การยกคำสั่งเสียของมารดาขึ้นมาอ้างนับว่าทรงพลังมาก
ปู่หลินจึงต้องล้มเลิกความคิดเื่ตำรับอาหารไป ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกผู้คนเหยียดหยามเป็แน่!
สีหน้าชายชราตอนนี้ราวกับเมฆฝนยามใกล้เกิดพายุ…
เด็กคนนี้รับมือยากเสมอ ผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าก่อนตายฉู่ซื่อพูดอะไรไว้บ้าง
แต่ในตอนที่ฉู่ซื่อจากไปก็มีเพียงหลินฟู่อินที่อยู่ด้วย ดังนั้นหากนางคิดจะพูดอะไรก็พูดได้ไม่ใช่หรือ?
ปู่หลินกลอกตาไปมาก่อนจะมองผู้เป็หลานอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า “ปู่เ้าเป็คนเช่นนั้นหรือยังไง? ข้าใช้ให้เ้าขัดคำสั่งเสียมารดาั้แ่เมื่อไรกัน? เพียงแต่จนป่านนี้แล้วพ่อเ้าอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ หากยังไม่เจอเกรงว่าจะลำบากเกินไป เ้าเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง จะฝากของมีค่าไว้กับครอบครัวให้ผู้ใหญ่ดูแลไม่ใช่เื่ปกติอย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง คงไม่ใช่ว่าเ้าจะไม่ส่งคืนให้น้องชายหรอกกระมัง!”
ทั้งหมดทั้งมวลไม่มีเอ่ยถึงเื่ที่ฉู่ซื่อทิ้งตำรับไว้ให้หลินฟู่อิน ทั้งยังไม่ยอมรับเื่คำสั่งเสียของฉู่ซื่ออีกด้วย
จุดประสงค์ชัดเจนมากว่าตั้งใจจะใช้สถานะผู้าุโของบ้านบังคับให้หลินฟู่อินส่งตำรับอาหารที่ว่าไปให้
หากเป็เช่นนั้น เด็กผู้หญิงทั่วไปในยุคนี้คงจะประนีประนอมไปด้วยแล้ว แต่โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่อีกฝ่ายคือหลินฟู่อิน
เด็กสาวไม่แสดงท่าทีโมโหหรือรำคาญ เพียงแต่ออกปากเตือนด้วยน้ำเสียงสงบ “ท่านปู่ ทุกสิ่งท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้า ท่านเข้าใจหรือไม่? ในตอนนั้นท่านแม่คิดว่าคงไม่อาจคลอดน้องๆ ออกมาได้แล้ว จึงได้บอกว่าทุกสิ่งล้วนทิ้งไว้ให้ข้า หากเด็กในท้องท่านแม่รอดออกมาได้ ขอเพียงข้าดูแลน้องๆ ให้ดี ของทุกอย่างก็ล้วนเป็สินเดิมของข้า”
ปู่หลินโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที หลินฟู่อินคนนี้หัวแข็งเกินไปแล้ว!
แต่สิ่งที่นางพูดออกมาไม่มีตรงไหนที่ไร้เหตุผล หากเื่นี้แพร่สะพัดออกไปไม่ว่าใครก็ต้องเข้าข้างหลินฟู่อินทั้งนั้น ถึงอย่างไรก็ทราบกันว่าฉู่ซื่อคลอดยาก เรี่ยวแรงสุดท้ายคงบอกลูกสาวคนโตว่าตนมีสมบัติอะไรบ้าง
เพราะฉู่ซื่อที่ล้มป่วยผู้นั้นเชื่อมั่นในบุตรสาวที่นางเลี้ยงมากับมือยิ่งกว่าใคร เกรงกว่ากระทั่งหลินสามก็คงยากที่จะให้ฉู่ซื่อเชื่อมั่นได้เพียงนี้
เพราะหลินสามเองก็เพิ่งจะอายุเพียงสามสิบ ยังเหลือเวลาให้ใช้ชีวิตพ่อม่ายอีกยาวนาน ไม่แน่ว่าอีกหน่อยอาจจะแต่งภรรยาใหม่ ถึงตอนนั้นมีแม่เลี้ยงหนึ่งคนก็เหมือนได้พ่อเลี้ยงเพิ่มอีกคน
แต่เื่นี้ปู่หลินไม่ยินยอม!
“เ้าอายุเท่าไรกัน ยังมายืดอกพูดเื่สินเดิม?” เขาผุดลุกขึ้นมองหลินฟู่อิน “อย่าลืมว่าเงินทองบ้านนี้ไม่ใช่แม่เ้าเป็คนหา แต่เป็พ่อเ้าทั้งสิ้น!”
หลินฟู่อินต้องยอมรับเลยว่าเพราะตาเฒ่าหลินนี่แหละ ชีวิตของฉู่ซื่อถึงได้มีชีวิตชีวายิ่งนัก ซ้ำยังไม่ต้องทำงานหนักแม้แต่น้อย
หลินฟู่อินพยักหน้า “ใช่เ้าค่ะ เงินทองในบ้านนี้ล้วนเป็ฝีมือท่านพ่อ ดังนั้นไม่ว่าจะท่านแม่หรือข้าต่างก็ไม่คิดจะแตะต้องเงินทองที่ท่านพ่อเป็คนลำบากหามา ทั้งหมดเป็ของหลินซือ ตอนนี้ข้าแค่คอยดูแลเท่านั้น”
หลินซือคือชื่อที่หลินฟู่อินตั้งให้เสี่ยวเป่า ส่วนเสี่ยวเป้ยตั้งชื่อว่าหลินเนี่ยน เมื่อชื่อทั้งสองคนรวมกันจะกลายเป็คำว่า ‘ซือเนี่ยน’ [1] มีความหมายว่าคิดถึงฉู่ซื่อผู้เป็มารดา
พอหลินฟู่อินพูดถึงขั้นนี้ปู่หลินก็ตอบอะไรไม่ได้ ทว่าในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง
หลินเฟินและหลินฟางอยู่บ้านเดิมมาทั้งชีวิต แต่กลับไม่เคยเห็นผู้เป็ปู่โกรธเคืองถึงเพียงนี้ ทั้งยังไม่เคยเห็นปู่หลินมองใครด้วยสายตาเหมือนจะกินเืกินเนื้อเช่นนี้ด้วย
สองพี่น้องหวาดกลัวจนไม่กล้ากินข้าวต่อ ทว่าก็กลัวเกินกว่าจะลุกหนี
ย่าหลี่ที่ไม่ได้พูดอะไรมาั้แ่ต้นทนไม่ไหวอีกต่อไป นางลุกขึ้นแค่นเสียง มองปู่หลิน ก่อนจะขยับปาก
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรังเกียจ “ได้ยินหรือยังพี่หลิน? ฟู่อินไม่ได้สนใจสมบัติของบ้านเดิมแม้แต่น้อย! ส่วนเงินที่หลินหยวนหามาฟู่อินก็เคยพูดไว้ตั้งนานแล้วว่าจะเก็บไว้ให้หลินซือ เพราะที่นี่คือรากฐานของหลินซือ! ส่วนเ้าฝาแฝดฉู่ซื่อก็ฝากไว้กับฟู่อิน อีกหน่อยพอทั้งสองโตขึ้นก็เป็เื่ของฟู่อินว่าจะมอบให้หรือไม่ และจะมอบให้มากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าใครก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง!”
“แล้วถ้านางไม่ยอมมอบให้เล่า?” ปู่หลินยิ่งตวาดดุดัน
ย่าหลี่คิ้วกระตุก นางพูดกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งตึง “พี่หลินช่างใส่ใจยิ่งนัก สิ่งที่มารดามอบให้ลูกสาวถือเป็สินเดิมของลูกสาว หลินฟู่อินจะจัดการยังไงท่านเข้ามายุ่งได้หรือ?”
ปู่หลินโมโหจนต้องเอนตัวไปด้านหลัง
เขามัวแต่หมกมุ่นกับความคิดตัวเองจนลืมไปเสียสนิท
ในต้าเว่ย ไม่ว่าจะบัณฑิต ชาวนา พ่อค้า หรือบ้านใดที่มีลูกสาว ขอเพียงมารดามีสินเดิม ของเหล่านี้ล้วนตกทอดแก่ลูกสาว
แม้จะมีบ้างที่มอบให้ลูกสะใภ้ ทว่าก็เป็เพียงความเสน่หาหรือตกรางวัล ไม่ได้มอบให้เป็ธรรมเนียม
ในเมื่อฉู่ซื่อมีเพียงหลินฟู่อินเป็ลูกสาวคนเดียว เมื่อนางตายไปแล้วของทุกอย่างล้วนตกเป็ของหลินฟู่อิน
ส่วนหลินฟู่อินจะมอบให้น้องๆ หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่านางจะอยากให้หรือไม่
ปู่หลินได้แต่ก้มหน้าถอนหายใจ
ก่อนหน้านี้เขาคิดจะกดดันหลินฟู่อินให้มอบทุกอย่างให้หลินซือ อย่างไรหลินซือก็เป็คนสกุลหลิน ทรัพย์สินของหลินซือย่อมต้องให้ผู้าุโสกุลหลินดูแลก่อน
แต่สุดท้ายเมื่อหลินซือโตขึ้นก็ต้องได้คืน ถึงตอนนั้นจะทำอะไรได้เล่า จะมีชีวิตจนโตหรือไม่ก็ยังไม่รู้
นับเป็แผนการที่ไม่เลว ทว่าคล้ายจะล้มเหลวอีกแล้ว
“ท่านปู่ เื่อื่นไม่ต้องพูดถึงก็ได้ แต่สิ่งที่ท่านป้าสามทิ้งไว้ให้ฟู่อินไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้ ใครกล้าแย่งไปก็รอจมกองน้ำลายของผู้อื่นได้เลยเ้าค่ะ!” หลินเฟินข่มความกลัวในใจที่มีต่อปู่หลิน รู้สึกว่าครั้งนี้นางต้องแสดงจุดยืนของบ้านสองให้ชัดเจน
สีหน้าของปู่หลินชัดเจนว่า้าแย่งชิงทรัพย์สมบัติของบ้านสามไปมอบให้บ้านใหญ่ ทำให้หลินเฟินขยะแขยงขึ้นมา
นางขมวดคิ้ว แอบนึกดูถูกว่านางเคยเห็นคนที่ลำเอียงมาก็จริง แต่ไม่เคยเห็นคนที่จิตใจลำเอียงจนไร้ขอบเขตเช่นนี้มาก่อน
ตอนนี้ถึงกับรู้สึกว่าท่านพ่อผู้ซื่อสัตย์ของนางกับท่านลุงสามอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของปู่และย่าก็ได้!
ปู่หลินไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า หลานสาวคนรองที่หัวอ่อนราวกับกระต่ายขี้กลัวยามอยู่ต่อหน้าเขามาตลอดจะกล้าออกหน้าพูดขัดขึ้นมา!
ใบหน้าชายชราประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดงมือไม้สั่นเทาด้วยความโกรธ
ครั้งนี้หลินเฟินพูดแทนบ้านสอง ก็หมายความว่าขอเพียงสองพี่น้องยังอยู่ ตราบใดที่ทั้งสองยังต่อต้านเขา รอให้เขาแก่ตัวไปจนทำอะไรไม่ได้แล้ว บ้านสองสกุลหลินจะไม่อยู่ในฝ่ามือคนบ้านเดิมอีกต่อไป
ถึงตอนนั้นไม่ว่าหลานชายคนโตจะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน บ้านใหญ่สกุลหลินก็มีแต่จะต้องโดดเดี่ยวเท่านั้น!
เื่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็รับไม่ได้!
เขาต้องคิดหาหนทางป้องกันไม่ให้บ้านสองกับหลินฟู่อินสนิทสนมกันมากไปกว่านี้แล้ว…
-------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ซื่อเนี่ยน (思念) หมายถึง คิดถึง เฝ้าคิดถึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้