หมอหลวงหลี่เดินไปที่ข้างเตียงก็เห็นหลงเซี่ยวหนานนอนอยู่บนผ้าปูโชกเื
ก่อนมาองค์ชายหกก็มิได้บอกพวกเขาว่าองค์ชายห้าสลบไปด้วยสาเหตุอันใด ดังนั้นเขาจึงคิดเพียงว่าโรคทางสมองขององค์ชายห้าอาการคงกำเริบขึ้น ส่วนโลหิตคงไหลจากาแที่เกิดจากการชนกระแทก
หมอหลวงมิได้คิดถึงสาเหตุอื่น สีหน้าจึงมิเปลี่ยนแปลง นั่งลงข้างเตียง ยกมือของหลงเซี่ยวหนานขึ้นมาจับชีพจรโดยละเอียด
หลังจากนั้นไม่นาน หมอหลวงหลี่ก็ยืดกายขึ้น กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ทูลไทเฮา ท่านอ๋อง องค์ชายหาได้เป็อันใดร้ายแรงไม่ เพียงได้รับยาชาจึงหมดสติไป อีกหนึ่งชั่วยามก็ฟื้นขึ้นมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เืของเซี่ยวหนานไหลออกมามากมายเช่นนี้จะมิเป็อันใดได้อย่างไร พวกเ้าจงตรวจโดยละเอียดให้อายเจียเดี๋ยวนี้” ไทเฮากล่าวประโยคนี้แม้ดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยความกังวลใจ ทว่าในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
นางไม่เชื่อและไม่ยินยอม ไม่เชื่อว่ามู่จื่อหลิงที่โง่เขลาจะรู้วิชาแพทย์ ไม่ยินยอมพลาดโอกาสอันดีที่จะสามารถคุกคามหลงเซี่ยวอวี่ได้ไปอีกครั้ง
“เหล่าเฉินน้อมรับคำสั่ง” กลุ่มหมอหลวงที่เหลืออยู่กล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาเองก็สงสัยนักว่าองค์ชายนั้นเกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่
“ฉีอ๋องประทับอยู่ตรงนี้ พวกเ้าต้องทุ่มเทใจตรวจดูให้ดี แล้วทูลรายงานตามความจริง” หลงเซี่ยวเจ๋อด้านข้างนั้นไม่ลืมที่จะตักเตือนหมอหลวงเ่าั้
เขารู้ว่าในหมอหลวงกลุ่มนี้มีเพียงไม่กี่คนที่มือสะอาด ส่วนใหญ่เอาแต่ร่วมมือกับเหล่าสตรีในวังหลังเ่าั้ทำเื่ชั่วช้าอยู่ไม่เว้นวัน คร่าชีวิตอันบริสุทธิ์ไปเป็จำนวนมาก
หมอหลวงกลุ่มนั้นรู้ว่าคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อมีความหมายเช่นใด หากกล้าใช้ลูกไม้อันใดภายใต้เปลือกตาของฉีอ๋อง เช่นนั้นก็อย่าได้คิดจะออกจากประตูนี้ไปอย่างมีลมหายใจเลย
มีฉีอ๋องอยู่ พวกหมอหลวงก็มิกล้าประมาทเลินเล่ออีก แต่ละคนทยอยจับชีพจรให้หลงเซี่ยวหนานอย่างขลาดกลัว
ไม่นาน พวกหมอหลวงก็ตรวจหลงเซี่ยวหนานจนเสร็จสิ้น ต่างก็ทูลรายงานผลการตรวจเหมือนกัน คือได้รับยาชาจึงหมดสติไป ไม่มีสิ่งใดร้ายแรง
แม้สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าหลงเซี่ยวหนานยังไม่ตาย แต่ไทเฮาก็ยังคงไม่รามือ
นางเดินไปนั่งลงบนตั่ง ซักถามมู่จื่อหลิงอย่างเคร่งขรึมว่า “หลิงเอ๋อร์ เ้าบอกมาว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น? โลหิตของเซี่ยวหนานถึงได้มากมายถึงเพียงนี้”
มู่จื่อหลิงมิได้ตอบในทันที แต่หยิบอ่างบนโต๊ะที่นางใช้ผ้าคลุมเอาไว้ขึ้นมา
นางเปิดผ้าออก มองไปที่สิ่งของข้างในอ่าง ก่อนกล่าวว่า “โรคทางสมองขององค์ชายห้านั้นเกิดจากก้อนเนื้อก้อนนี้ หม่อมฉันเพียงนำมันออกมา องค์ชายห้าก็ไม่เป็อันใดแล้วเพคะ”
ยามที่นางกล่าวประโยคนี้ สีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบดุจสายน้ำ ราวกับแค่ตัดเนื้องอกเท่านั้น แต่พวกหมอหลวงด้านข้างกลับทำอย่างไรก็มิอาจสงบได้เสียแล้ว
เวลานี้เหล่าหมอหลวงทราบแล้วว่าไทเฮา ฮองเฮา ฉีอ๋องประทับอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด
ต่างก็จ้องไปที่ก้อนเนื้อโชกเืนั้นอย่างตกตะลึง เปี่ยมไปด้วยความไม่คาดคิด ที่แท้เป็เพราะสมองขององค์ชายห้ามีเ้าสิ่งนี้นี่เอง จึงทำให้เจ็บศีรษะ
ทว่าฉีหวางเฟยรู้ได้อย่างไร ทั้งฉีหวางเฟยยังเปิดศีรษะขององค์ชายห้า นำเ้าสิ่งนี้ออกมาอย่างไม่มีความลังเลใดๆ ด้วย
วิชาแพทย์น่าอัศจรรย์ใจ วิธีรักษาก็แปลกพิสดารนัก ผ่าเปิดศีรษะของคนไข้ แต่คนไข้กลับยังรอดชีวิต
เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยได้ยินวิธีเปิดกะโหลกศีรษะประเภทนี้ แต่มิเคยพบเห็นมาก่อน ได้ยินว่าวิธีเช่นนี้อันตรายเหลือคณา ไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้คนไข้ไม่ฟื้นขึ้นมาได้อีกตลอดกาล
ฉีหวางเฟยทำได้อย่างไรกันแน่ ยามนี้ข้อเท็จจริงเกิดอยู่ตรงหน้า พวกเขาต้องมองฉีหวางเฟยผู้นี้ใหม่เสียแล้ว
ผู้อื่นเห็นก้อนเนื้อก้อนนั้นเข้าก็ใเช่นกัน ที่แท้ในสมองมีสิ่งนี้โตขึ้นมาได้ ทั้งยังสามารถนำออกมาได้ด้วย
ไทเฮามองสิ่งที่มีเท่าไข่นกพิราบ ก้อนเนื้อที่ทำให้คนขวัญผวาได้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย มู่จื่อหลิงผู้นี้ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า ไม่ว่าเื่อันใดล้วนกล้าทำออกมาทั้งสิ้น
นางมองไปยังมู่จื่อหลิงอย่างดุดัน พูดอย่างมีโทสะ “เ้าผ่าศีรษะของเซี่ยวหนาน?”
“เพคะ!” มู่จื่อหลิงตอบอย่างไม่ลังเล ไร้ซึ่งความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง
นางรู้ว่าไทเฮาคงไม่คิดเลิกราโดยง่าย ยามนี้้าพูดถึงเื่ที่นางผ่าศีรษะของหลงเซี่ยวหนานแล้ว แก้ปัญหาแรกจบไป ก็หาปัญหาอื่นมา
“มู่จื่อหลิง เ้ารู้ความผิดหรือไม่!” ไทเฮาได้ยินมู่จื่อหลิงกล่าวด้วยความชอบธรรม ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ก็ยิ่งไม่พอใจ ตบโต๊ะแล้วยืนขึ้นทันที
วันนี้ไทเฮาตัดสินใจแล้วว่าต้องลงโทษมู่จื่อหลิงให้ได้ นางไม่คิดไม่ฝันว่ามู่จื่อหลิงที่นางคิดว่าโง่งม ให้แต่งกับหลงเซี่ยวอวี่เพื่อเป็ความน่าอับอาย จะเป็คมในฝัก ไม่เพียงฝีปากคมคาย ยังมีทักษะการแพทย์อีกด้วย
งานเลี้ยงในวังหลวงคราก่อน นางถูกมู่จื่อหลิงแข็งข้อใส่ ทำให้นางต้องเสียหน้าต่อหน้าผู้คน หลังจากนั้นนางก็ส่งคนไปสืบอย่างละเอียด ปรากฏว่าก็ยังมิได้อันใด
นางนั้นคิดอยากหาโอกาสให้มู่จื่อหลิงได้ลิ้มรสความทรมาน ไม่คิดเลยว่านางจะนำมันมาส่งคืนให้ตนถึงหน้าประตู
หลายปีมานี้นางไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งทั้งยังละเอียดรอบคอบ ถูกนางเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหลอกจนหัวหมุน
มู่จื่อหลิง ล้วนต้องโทษเ้า ทำตัวโง่งมดีๆ ไม่ทำ เปิดเผยตนเองเร็วเช่นนี้ แล้วยังกล้าตั้งตนเป็ศัตรูกับอายเจีย
ในเมื่อเ้ามิใช่กระสอบฟาง อายเจียมิเพียงจะให้เ้าลิ้มลองความเ็ปเท่านั้น แต่อายเจียเก็บเ้าไว้ไม่ได้แล้ว
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” มู่จื่อหลิงกลับมิได้ถูกทำให้ใ ยังคงมีท่าทางชอบด้วยคุณธรรมอันน่าเกรงขาม
ไทเฮารอที่จะลงโทษนางไม่ไหวแล้ว วันนี้ต่อให้ต้องขุดดินบนศีรษะไทเฮา นางก็ไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกนางเยี่ยงคนปัญญาอ่อนแน่
คนที่มีเหตุผลคือนาง ต่อให้ไทเฮาไม่ฟังเหตุผล นางก็ยังมีที่พึ่งพึงเช่นฉีอ๋องผู้นี้อยู่ สุดท้ายผู้ที่ต้องขายหน้าก็ยังเป็ไทเฮาเอง
“ใครมอบความกล้าหาญชาญชัยเช่นนี้ให้เ้า เซี่ยวหนานเป็องค์ชาย พระวรกายล้ำค่า หาได้อนุญาตให้เ้าทำร้ายอย่างง่ายๆ ไม่”
ไทเฮากล่าวเช่นนี้ คงอยากให้นางพูดว่าเป็หลงเซี่ยวอวี่มอบความกล้าให้นางหรือ นางไม่พูดแน่
หลงเซี่ยวอวี่เป็องค์ชาย ชีวิตของเขาล้ำค่านัก เหมือนกับชีวิตของนางมู่จื่อหลิงที่มีบิดาให้กำเนิดมารดาอุ้มชูก็ล้ำค่าเช่นกัน ไทเฮาหากระดูกในไข่ไก่ [1] ไม่มีเื่ก็หาจนมี เช่นนั้นนางจะอยู่เล่นเป็เพื่อนจนจบแล้วกัน
“หม่อมฉันเพียงทำไปตามอาการของผู้ป่วย ทำในสิ่งที่พึงกระทำเพื่อรักษาผู้ป่วย ยามนี้โรคทางสมองขององค์ชายห้าก็รักษาจนหายแล้ว จึงมิทราบว่ามีความผิดอันใดเพคะ” มู่จื่อหลิงเถียงคำไม่ตกฟาก
ถ้ากล่าวว่าเป็หลงเซี่ยวอวี่อนุญาต แล้วผลักปัญหาไปให้หลงเซี่ยวอวี่ นางรู้ความสัมพันธ์ของไทเฮาและหลงเซี่ยวอวี่ดี นางไม่อยากให้เกิดเื่ขึ้นกับหลงเซี่ยวอวี่เพราะเื่นี้
ยามนี้หลงเซี่ยวอวี่คือที่พึ่งพิงของนาง หากที่พึ่งพิงล้ม นางเองก็มิอาจหลีกหนีพ้นเช่นกัน
นางคิดใช้ฐานันดรของฉีหวางเฟย ะโข้ามแม่น้ำลั่วที่ซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ไทเฮาคิดว่านางโง่ ให้นางชี้ไปที่หลงเซี่ยวอวี่ ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว
“เ้า บังอาจ!” ไทเฮาถูกดักทางเสียจนพูดไม่ออก พริบตาก็พาลมีโทสะขึ้นมา เป็อีกครั้งที่นางดูเบาวาจาคารมคมคายของมู่จื่อหลิง
ไทเฮามีโทสะ คนด้านข้างล้วนใจนมิกล้าส่งเสียง หลงเซี่ยวอวี่กลับนั่งจิบชาหอมท่าทางอย่างอิสรเสรี ราวกับเื่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่คิดจะเอ่ยปากมาั้แ่แรก เขาอยากเห็นว่ามู่จื่อหลิงจะอธิบายเื่ของหลงเซี่ยวหนานว่าอย่างไร ไม่คิดว่านางกล่าวสองสามประโยคก็ดักทางไทเฮาจนอยู่หมัด สตรีผู้นี้นับวันยิ่งร้ายกาจ
ฮองเฮาที่ยามนี้รับชมละครชั้นเลิศอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็ออกมาไกล่เกลี่ย
“เสด็จแม่โปรดระงับโทสะ ถ้าหากเซี่ยวหนานรักษาหายได้ เช่นนั้นก็นับว่าเป็เื่ดี พวกเรายังมิทันตบรางวัลให้หลิงเอ๋อร์ ซ้ำยังจะโทษได้อย่างไรเพคะ อีกอย่างเซี่ยวอวี่เป็ผู้ที่ให้หลิงเอ๋อร์มารักษา เชื่อว่าเซี่ยวอวี่คงมิเอาชีวิตของเซี่ยวหนานมาล้อเล่นเป็แน่เพคะ”
มู่จื่อหลิงยิ้มเย็นในใจ วาจานี้ของฮองเฮาเสนาะหูนัก หากหลงเซี่ยวหนานฟื้นขึ้นมาปกติก็ไม่เป็อันใด ฮองเฮาประทานของรางวัลก็สามารถกู้หน้ากลับมาได้
นางยังกล่าวถึงหลงเซี่ยวอวี่ ถ้าหากหลงเซี่ยวหนานไม่ฟื้นขึ้นมาหรือเกิดสิ่งใดขึ้นกลางคัน หลงเซี่ยวอวี่ต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุด นางรู้ว่าไทเฮาเกลียดหลงเซี่ยวอวี่ ใน่หน้าสิ่วหน้าขวานก็ยังมิลืมที่จะเอ่ยเตือนขึ้นมา
ฮองเฮากำลังส่งสัญญาณให้ไทเฮาอย่างลับๆ ให้นางลงมือทำให้หลงเซี่ยวหนานไม่ฟื้นขึ้นมาหรือ เช่นนี้นางก็สามารถยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว
ในเมื่อกำจัดหลงเซี่ยวหนานแล้ว หลงเซี่ยวอวี่ก็มิอาจหนีพ้น จากนั้นตนเองก็เป็ชาวประมงได้รับผลประโยชน์ [2] สตรีวังหลังล้วนมิใช่ผู้ที่รับมือได้ง่ายจริงๆ พูดจาเป็ช่องเป็ฉาก ซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่น [3]
ได้ยินวาจานี้ สีหน้าของไทเฮาก็ดีขึ้นมา เหมือนเข้าใจนัยของคำพูดฮองเฮา
นางจึงเปลี่ยนสีหน้าทันที กล่าวกับมู่จื่อหลิงด้วยสีหน้าเมตตากรุณา “หลิงเอ๋อร์ เป็เพราะอายเจียร้อนใจ อายเจียเป็ห่วงสุขภาพของเซี่ยวหนาน หลิงเอ๋อร์อย่าได้ถือโทษที่อายเจียบันดาลโทสะเลย”
กล่าวจบนางก็ลุกขึ้น เดินไปใกล้มู่จื่อหลิงเตรียมดึงมือของนาง แต่ถูกมู่จื่อหลิงเบี่ยงกายหลบอย่างกะทันหัน
“ไทเฮาโปรดประทานอภัย หม่อมฉันเพิ่งผ่าตัดเสร็จ คาวเืคละคลุ้งไปทั่วทั้งตัว พระวรกายไทเฮาสูงส่งนัก ปนเปื้อนคาวเืเกรงจะอัปมงคล ขอเพียงองค์ชายห้าดีวันดีคืน หม่อมฉันก็มิกล้าถือสาเพคะ” มู่จื่อหลิงเสแสร้งทำท่าทางหวาดกลัว
ไทเฮาผู้นี้เปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วนัก นางยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดเลย หากััพระวรกายสูงส่งของไทเฮาเข้า นางกลับไปคงต้องฆ่าเชื้อโรคแล้ว
ไทเฮาถูกมู่จื่อหลิงเบี่ยงตัวหลบไปอย่างง่ายดาย ใบหน้าชราก็ฉายแววกระอักกระอ่วน สองมือกำหลวมๆ ภายใต้แขนเสื้อ
ทว่าสีหน้าของนางยังคงอ่อนโยนเป็กันเอง กล่าวอย่างสนิทสนม “หลิงเอ๋อร์ช่างมีน้ำใจงามแท้ มิเพียงแค่รูปโฉมงดงาม ทั้งยังรู้วิชาแพทย์ อายเจียเลือกเ้าให้แต่งกับเซี่ยวอวี่นับว่าเลือกถูกคนแล้ว”
มู่จื่อหลิงได้ยินเกือบหลุดหัวเราะพรืดออกมา
ไอ๊หยา! ใบหน้าชรานี้หนาเท่าใดกันถึงสามารถกล่าวคำพูดฝืนใจเช่นนี้ออกมาได้!
นาทีก่อนเพิ่งจะอยากให้นางตาย ยามนี้มาทำเป็คนดี ชมนางราวกับอะไรดี ทั้งยังเลือกให้นางแต่งกับหลงเซี่ยวอวี่นั้นเลือกถูกคนแล้ว วาจาเช่นนี้ช่างมิกลัวตนเองจะลิ้นเปลี้ยจริงๆ
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ชมเชยเพคะ” หน้าของมู่จื่อหลิงหนาเสียยิ่งกว่าไทเฮา
นางไม่อายเลยแม้แต่น้อย รับคำชมเชยที่ไทเฮาพูดกับนางอย่างยินดีปรีดา สิ่งใดเรียกว่ายั่วโทสะคนจนตายไม่ชดใช้ชีวิต ทั้งๆ ที่ผู้อื่นมิได้มีความหมายเช่นนั้น แต่เ้ากลับคิดเป็จริงเป็จังเสียแล้ว
หลงเซี่ยวเจ๋อด้านข้างแทบกลั้นเอาไว้ไม่ไหวเกือบหัวเราะออกมา เหตุใดพี่สะใภ้สามจึงไม่รักษาหน้าตาเช่นนี้
ผู้ใดก็รู้ว่าไทเฮานั้นพูดตามมารยาท มิได้มีความหมายเช่นนั้นแม้แต่น้อย นางยังตอบรับอย่างไม่เกี่ยงงอน พี่สะใภ้สามช่างน่าเอ็นดูเสียจริง
ไทเฮาได้ยินวาจาเช่นนี้ใบหน้าก็แข็งทื่อไป แล้วเปลี่ยนสีหน้าทันที กล่าวอย่างสนิทสนมว่า “หลิงเอ๋อร์แต่งเข้ามานานถึงเพียงนี้แล้ว อายเจียยังมิทันมอบของรับขวัญให้เ้าเลย งานเลี้ยงในวังคราก่อนพวกเ้าก็รีบร้อนจากไป จึงไม่มีโอกาส ประเดี๋ยวไปตำหนักโซ่วอันกับอายเจีย อายเจียจะให้รางวัลเ้าอย่างงาม!”
มู่จื่อหลิงกลอกตาในใจเงียบๆ ของรับขวัญ? ต่อให้ประทานูเาเงินูเาทอง พี่สาวก็ไม่สนใจ
“ได้แต่งกับฉีอ๋องก็นับเป็โชคดีของหม่อมฉันแล้วเพคะ ในสายตาหม่อมฉัน ท่านอ๋องล้ำค่ากว่าสิ่งใดทั้งหมด มิกล้ารับรางวัลอีกเพคะ” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างไม่ซาบซึ้งโดยสิ้นเชิง
หากเมื่อครู่ไทเฮากล่าวว่า้าประทานรางวัลให้นางอันเนื่องจากนางช่วยชีวิตองค์ชายห้าไว้ นางอาจปฏิเสธมิได้
ทว่าไทเฮากลับกล่าวถึงหลงเซี่ยวอวี่ หากไทเฮาประทานรางวัลให้นางจริงๆ ก็เท่ากับยืนยันว่าฉีอ๋องผู้สง่างามไม่ล้ำค่ามิสู้ของสิ่งหนึ่ง
ไทเฮานั่งไม่ติดแล้ว นางมิกล้ารับรองว่าหากพูดต่อไปมู่จื่อหลิงจะเอาคำพูดแบบใดมายั่วโทสะนาง......
-----------------------------
เชิงอรรถ
[1] หากระดูกในไข่ไก่ แปลว่าจงใจหาข้อตำหนิ ฟื้นฝอยหาตะเข็บ
[2] ชาวประมงได้รับผลประโยชน์ แปลว่าปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน และตนเองคอยฉกฉวยผลประโยชน์อยู่ข้างๆ
[3] ซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่น แปลว่าซ่อนความอันตรายไว้ใต้ท่าทางสุภาพอ่อนโยน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้