ทันทีที่สิ้นเสียง พลันเห็นหยวนเป่าเบ้ริมฝีปาก ใบหน้ามืดครึ้มลงทันที ซึ่งนั่นทำให้ฮวาเหยียนประหลาดใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? เด็กน้อยหยวนเป่า ผู้นี้มักจะมีความคิดที่ลึกซึ้ง ความคิดส่วนใหญ่มักถูกเก็บไว้ในใจของตน ดังนั้นการเปิดเผยอารมณ์ที่ชัดเจนแบบนี้มีเพียงไม่กี่ครั้งจริงๆ
ดังนั้นแล้ว เป็ผู้ใดกันที่ยั่วโมโหหยวนเป่าน้อยของนาง?
"เด็กโง่"
ในวินาทีต่อมา ฮวาเหยียนพลันได้ยินหยวนเป่าพูดเสียงต่ำออกมาหนึ่งประโยค
ฮวาเหยียนพลันตกตะลึง เป็เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นหรือ นางไปยั่วโมโหอะไรหยวนเป่ากัน?
ในเวลานั้น หยวนเป่าหยิบตลับขี้ผึ้งที่พกติดตัวออกมาก่อนจะส่งให้ฮวาเหยียนด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก เขาไม่เต็มใจอย่างยิ่งจริงๆ เด็กสาวคนนั้นที่ถูกเรียกขานว่าเด็กหญิงตัวน้อย ไม่ทราบว่านางกินอะไรถึงได้โตมาซื่อบื้อยิ่งนัก นางเรียกขานท่านตาของเขาว่าท่านลุง เรียกขานท่านแม่ของเขาว่าพี่สาว แล้วก็เรียกขานเขาว่าพี่ชายน้อย นี่มิใช่การเรียกลำดับอายุมั่วไปหมดแล้วหรือ?
อีกทั้งนางยังโขกศีรษะคำนับให้ถึงสามครั้ง นี่ก็ไม่ใช่การเซ่นไหว้ผู้ตายหน้าสุสานเสียหน่อย
อยากจะร้องไห้ให้กับความโง่เขลาของแม่นางน้อยผู้นั้นจริงๆ
สีหน้าของฮวาเหยียนเต็มไปด้วยความงงงวยสงสัย นางลงจากหลังม้าและมอบขี้ผึ้งให้กับเด็กน้อย กำชับให้นางทายาดีๆ ก่อนจะได้รับการขอบคุณเป็ชุดจากเด็กน้อยอีกครั้ง นางขึ้นหลังม้าและตามมู่เอ้าเทียนตรงไปยังจวนตระกูลมู่
เด็กหญิงตัวน้อยกำขี้ผึ้งที่อยู่ในมือแน่น ใบหน้าซาบซึ้งมองส่งผู้มีพระคุณความรู้สึกขอบคุณ ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มรูปงามบนหลังม้าหันหน้ากลับมา ตาของทั้งสองพลันสบประสาน นางเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะ... จ้องเขม็งมาที่นาง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่ชอบใจ
เด็กหญิงตัวน้อย "...! "
มู่เอ้าเทียนลากม้ากลับไปที่จวนตระกูลมู่
ยิ่งเข้าใกล้จวนตระกูลมู่ หัวใจของฮวาเหยียนกลับยิ่งค่อยๆ สงบลง บุรุษที่ลากม้าอยู่ข้างหน้ารูปร่างสูงใหญ่องอาจ ไหล่กว้างราวกับใช้ปัดป้องพายุหิมะลมฝนทั้งหมดได้
ฮวาเหยียนรู้ดี หลังจากที่นางเข้าสู่จวนตระกูลมู่แล้ว หลังจากนี้เป็ต้นไปนางก็คือมู่อันเหยียน
ระหว่างทางกลับจวน มู่เอ้าเทียนไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เพียงแค่คอยหันมามองฮวาเหยียนและหยวนเป่าเป็ระยะๆ ฝีเท้าของเขารวดเร็วยิ่งนัก เขามีคำถามมากมายที่อยากจะถามบุตรสาวของเขาว่าหลายปีมานี้ใช้ชีวิตอย่างไร ถามนางว่าหลายปีมานี้นางไปอยู่ที่ใดมา
“ท่านแม่ ข้าชอบท่านตา”
บนหลังม้า หยวนเป่าอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของฮวาเหยียน เขากระซิบเสียงเบา ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายสดใส
เดิมทีจิตใจของเขาเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ทว่าในสมองของเขาเต็มไปด้วยเงาของท่านตาผู้เปรียบดั่งเทพเซียนผู้นี้ ความแข็งแกร่งของเขาพาให้เด็กน้อยชื่นชมและศรัทธายิ่ง
ฮวาเหยียนเห็นใบหน้าที่เปี่ยมสุขของหยวนเป่าก็โล่งใจ นางพยักหน้า กล่าวอย่างมีความนัยว่า "แม่เองก็ชอบบิดาคนนี้มากเช่นกัน"
หยวนเป่านั่งอยู่บนหลังม้า ร่างเล็กหยัดยืดหลังตรง มู่เอ้าเทียนหันกลับมามองหยวนเป่า ก่อนจะพูดว่า "หยวนเป่าน้อย อีกประเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว"
"ขอรับ"
หยวนเป่าพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ใกล้จะถึงจวนตระกูลมู่แล้ว สิ่งที่ร่วงเข้าสู่สายตาก็คือตัวอักษรทั้งสี่ที่ว่า จวนอ๋องหลู่หนาน ประตูจวนทาด้วยสีแดง แผ่นไม้สีดำ ต้นเฟิง [1] ต้นใหญ่หนาทึบที่หน้าประตูทางเข้าดูเหมือนว่าจะมีอายุหลายปีแล้ว ขั้นบันไดถูกคนทำความสะอาดจนเอี่ยม สิงโตข้างประตูมีความสง่างามน่าเกรงขาม
ในยามนั้น ที่หน้าประตูมีคนรับใช้ยืนอยู่จำนวนไม่น้อย เมื่อพวกเขาเห็นร่างของมู่เอ้าเทียน ทุกคนล้วนก้มคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ต้องเป็ลุงหวังที่รีบกลับมาแจ้งทุกคนไว้ก่อน”
มู่เอ้าเทียนกล่าว
เขาอุ้มหยวนเป่าและช่วยประคองฮวาเหยียนลงจากหลังม้า ในยามนั้นเอง มีคนสามคนโผล่พรวดออกมาทางประตู บุรุษที่อยู่หน้าสุดสวมชุดจีนโบราณ รูปร่างซูบผอม ร่างกายอ่อนแรงบอบบาง อายุอานามคงพอๆ กับมู่เอ้าเทียน
ส่วนทางด้านหลังเป็สตรีที่ดูแลตนเองอย่างเหมาะสม อีกทั้งมีแม่นางน้อยหน้าตางดงามผู้หนึ่งด้วย
“หลานเหยียน เ้ากลับมาแล้วจริงๆ ด้วย เ้าเด็กคนนี้เป็อันใด เหตุใดไม่พูดสักคำก็หนีไปแล้วเล่า? ”
บุรุษที่อยู่ข้างหน้าสุดก้าวเท้าไวๆ เข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวทันที
“นั่นน่ะสิ หลานเหยียน เ้าเป็เพียงแม่นางน้อยไปอยู่ข้างนอกคนเดียวอันตรายยิ่งนัก ทุกคนในบ้านเป็ห่วงเ้ามากเลยทีเดียว”
สตรีที่ดูแลตนเองอย่างเหมาะสมนั้นเปิดปากกล่าวต่อทันที คำพูดนั้นแสดงถึงความห่วงใย ทว่าฮวาเหยียนกลับได้ยินคำตำหนิที่แฝงเอาไว้อยู่ภายใน
ในยามนั้นฮวาเหยียนไม่รู้ว่าทั้งสามคนเป็ใคร รู้แค่เพียงว่าพวกเขาไม่ใช่คนรับใช้ นางกลอกตาทว่าไม่ได้ปริปากพูดอันใด ทว่าเพียงสายตาเหลือบผ่าน กลับเห็นแม่นางน้อยหน้าตางดงามกำลังมองมาที่นาง ใบหน้าของนางขาวซีดเล็กน้อย ั์ตางามโศก เมื่อเห็นฮวาเหยียนมองมา ดวงตาของนางพลันแดงก่ำ รีบร้อนรุดมาข้างหน้า คว้าตัวฮวาเหยียนมากอดไว้ ก่อนจะร่ำไห้น้ำตาไหลพรั่งพรู “พี่หญิง ท่านกลับมาแล้ว น้องคิดถึงท่านเหลือเกินเ้าค่ะ"
ฮวาเหยียนมุมปากกระตุก ร่างกายแข็งทื่อ นางเกือบตบหญิงสาวที่รีบวิ่งเข้ามาจนปลิวกระเด็น ทว่านางพยายามบอกตนเองอย่างถึงที่สุดว่า ครานี้นางกลับมาในฐานะมู่อันเหยียน จะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ ในใจท่องไม่กี่ประโยคซ้ำไปมาอยู่หลายรอบ ‘อบอุ่นและสง่างาม' สุดท้ายถึงจะสามารถสะกดความหุนหันพลันแล่นในใจเอาไว้ได้
ทว่านางไม่ชอบสนิทชิดเชื้อกับผู้ใดเช่นนี้ ในยามนั้นนางจึงค่อยๆ ดันสตรีในอ้อมอกออกอย่างเก้งๆ กังๆ
น้ำตาของมู่ชิงอวิ้นยังคงติดอยู่บนขนตาของนาง เมื่อเห็นฮวาเหยียนผลักนางออกจากอ้อมแขนของตัวเองอย่างง่ายดาย ราวกับว่าไม่อยากอยู่ใกล้นางแม้แต่นิด หัวใจของมู่ชิงอวิ้นพลันเต้นกระตุก ทันใดนั้นน้ำตาของนางพลันรินไหลลงมาอีกครั้ง “พี่หญิง ท่านเป็อันใดไปหรือ? สี่ปีที่ไม่ได้เจอ เหตุใดท่านถึงมีท่าทีที่ไม่คุ้นเคยกับอวิ้นเอ๋อร์เล่าเ้าคะ? ”
นางร่ำไห้ดังดอกสาลี่ต้องสายฝน บอบบางและอ่อนแอ
ฮวาเหยียนเม้มริมฝีปาก นางไม่ใช่มู่อันเหยียนตัวจริงจึงไม่รู้เื่ราวภายในของตระกูลมู่ คนตรงหน้าทั้งสามคนนี้ นางก็ไม่รู้จัก น้องสาวคนนี้ที่เรียกแทนตัวเองว่าอวิ้นเอ๋อร์ นางก็ไม่รู้ว่าต้องเรียกหญิงสาวผู้นี้ว่าอย่างไร อีกทั้งยังทำให้รู้สึกไม่สนิทใจเข้าไปใหญ่ นางหันไปมองมู่เอ้าเทียนก่อนกล่าว "บิดาเ้าคะ ข้ากับหยวนเป่าเดินทางมาไกล พวกเราเหนื่อยล้ายิ่งนัก ขอเราไปพักผ่อนก่อนสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่เ้าคะ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของฮวาเหยียน มู่เอ้าเทียนพลันรู้สึกทุกข์ใจขึ้นมาอีกครา เขาไม่พูดจามากความก็หันไปพูดกับสามคนที่อยู่ตรงหน้าว่า “น้องรอง ภรรยาน้องรอง พวกเ้าและอวิ้นเอ๋อร์กลับไปก่อนเถิด หากมีอะไรจะพูดไว้ค่อยพูดวันหลัง ลูกเหยียนกับหยวนเป่าเพิ่งผ่านการเดินทางที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยมา ข้าจะพาพวกเขากลับไปพักผ่อนก่อน"
“ขอรับ พี่ใหญ่ ท่านพาหลานเหยียนไปพักผ่อนเถิด”
ชายร่างผอมเปิดปากกล่าวอย่างรีบเร่ง
มู่เอ้าเทียนพยักหน้า ก่อนจะพาฮวาเหยียนและหยวนเป่าเข้าไปในจวน
ดูจากการเรียกขานของมู่เอ้าเทียนและชายร่างผอมนั้น ฮวาเหยียนรู้แล้วว่าที่แท้ทั้งสามคนนี้เป็ครอบครัวรองของตระกูลมู่และสตรีผู้นั้นคงเป็ลูกพี่ลูกน้องของมู่อันเหยียน เมื่อเห็นว่านางตื่นเต้นเพียงใดยามที่ได้เห็นตน เช่นนั้นแล้วก่อนที่มู่อันเหยียนจะตาย นางต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกพี่ลูกน้องผู้นี้อย่างแน่นอน ทว่านางที่เป็คนเ็า เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับสตรีเรียบร้อยบอบบางเช่นนี้ พาให้รู้สึกมิอาจชิดเชื้อได้เลยจริงๆ
“ลูกรัก หลายปีที่เ้าจากไป เรือนชิงเฟิงยังคงถูกเก็บรักษาไว้ให้เ้าอย่างดี ทุกวันจะมีคนมาทำความสะอาดให้โดยเฉพาะ เ้าและหยวนเป่าไปพักผ่อนก่อนเถิด พ่อกำชับให้พ่อบ้านรับลมและปัดฝุ่น [2] ให้พวกเ้าแล้ว”
“เ้าค่ะ ขอบคุณบิดา”
ฮวาเหยียนพยักหน้า เสียงเรียกขานว่าบิดานั้นเริ่มชินปากมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันทีที่สิ้นเสียง กลับเห็นมู่เอ้าเทียนจ้องมองมาที่นางราวกับว่ามีคำพูดมากมายแต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นพูดจากที่ไหน
ฮวาเหยียนกระแอมในลำคอ มองไปทางมู่เอ้าเทียน "ท่านมีอะไรจะกำชับอีกหรือไม่เ้าคะ?"
มู่เอ้าเทียนเอามือไขว้หลัง ดวงตาของเขาดำสนิท ริมฝีปากถูกเม้มแน่นราวกับว่ากำลังพิจารณาคำพูดของตนเองอยู่ หลังจากผ่านไปเป็นาน ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากพูด “ลูกรัก ไม่รู้ว่าพ่อคิดไปเองหรือไม่ สี่ปีที่แยกจาก ข้ารู้สึกว่าครั้งนี้ที่เ้ากลับมาราวกับคนแปลกหน้า หรือเ้าแค้นเคืองพ่อ? โกรธเคืองตระกูลมู่ที่ปกป้องเ้ามิได้”
ดูเหมือนเขาจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพูดออกมาเช่นนี้
เขาจ้องไปที่ฮวาเหยียน สายาตาเต็มไปด้วยสายตาตำหนิตน
ทว่ายามที่ได้ยินคำกล่าวของมู่เอ้าเทียน หัวใจของฮวาเหยียนกลับเต้นแรง...
เชิงอรรถ
[1] ต้นเฟิง หมายถึงต้นเมเปิล
[2] รับลมและปัดฝุ่น การจัดเลี้ยงเพื่อต้อนรับแขกจากแดนไกลเพื่อแสดงความเสียใจและยินดีต้อนรับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้