จากแต่ก่อน ที่เป็เพียงความรู้สึกชื่นชมหรือความประทับใจอันดี เมื่อพบกันในวันนี้ หลังได้ยินคำกล่าวที่จริงใจเช่นนี้ หากบอกว่าไม่รู้สึกอันใดเลยก็เป็เื่โกหกแล้ว
ยิ่งตอนที่เขาเห็นมู่เฉิงอินน้ำตารินไหล มู่เสวียนเย่ััได้ถึงความเ็ปในใจของตนได้ชัดเจน ยามนี้เขาตระหนักอย่างชัดแจ้ง ว่าเขาปรารถนาจะแต่งงานกับสตรีที่มีนามว่ามู่เฉิงอิน
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จึงเอ่ยออกไปตามตรง
แต่คนที่ตกตะลึงจนนิ่งค้างกลับเป็มู่เฉิงอิน ปกติแล้วนางเป็สตรีที่เก่งกาจฉลาดเฉลียว ทว่าเวลานี้หัวสมองของนางกลับมิอาจไล่ตามความคิดได้ทันจริงๆ
คุณชายใหญ่ตระกูลมู่เรียกขานนางว่ากระไรนะ? เฉิงอินหรือ? มิใช่แม่นางมู่แล้ว...
คุณชายใหญ่ตระกูลมู่กล่าวว่ากระไรนะ? ปรารถนาจะแต่งงานกับนาง?
ครองคู่เพียงนางผู้เดียวตลอดชีวิต?
มู่เฉิงอินกะพริบตาปริบ นางหายใจเบาเป็อย่างยิ่ง ด้วยเกรงว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งฝัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หัวสมองที่เสียหายจึงกลับมาตอบสนองอีกครั้ง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นมองมู่เสวียนเย่ “คะ คุณชายมู่ เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากแต่งงานกับข้าเล่าเ้าคะ?”
เป็เพราะเมื่อครู่นางร้องไห้ ในใจของเขาจึงรู้สึกผิดใช่หรือไม่?
หรือมิอาจกลั้นใจปฏิเสธนางได้?
สตรีส่วนใหญ่ล้วนเป็เช่นนี้ ชอบคิดฟุ้งซ่าน ทั้งที่ใจเต้นแรงอย่างหนัก แต่ก็ยัง้าถามให้แน่ชัด
แม้ว่ามู่เสวียนเย่จะพูดความในใจไม่เก่ง ทว่าเขามิใช่คนโง่ เพียงมองสายตาของมู่เฉิงอิน เขาก็ทราบว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในใจยิ่งโทษตนเอง เป็เพราะเขาทำร้ายนางจนต้องวิตกกังวล ช่างทำตัวไม่เป็สุภาพบุรุษเสียจริง
ดังนั้นมู่เสวียนเย่จึงยื่นมือออกไปจับมือของมู่เฉิงอิน
มือของเขาใหญ่นัก และเพราะมักจะจับดาบอยู่เสมอ ิับนมือจึงหยาบกระด้าง ทว่าก็อบอุ่นยิ่ง
เทียบกันแล้วมือของมู่เฉิงอินกลับมีขนาดเล็กทั้งเรียบเนียนมาก เป็มือที่ใช้ดีดฉินและเขียนหนังสือ ด้วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจึงขาวใสนุ่มนวล
ทันทีที่มู่เสวียนเย่ได้กอบกุมมือนี้ เขาก็ไม่ปรารถนาจะปล่อยมันไป
มือใหญ่กุมมือเล็กเอาไว้ เขาดึงมู่เฉิงอินให้นั่งลง ก่อนกล่าวว่า “อันที่จริง เ้าบอกว่าเมื่อหกปีที่แล้วเ้าเริ่มสนใจข้า แต่เ้าคงไม่ทราบ ว่าข้าเองก็รู้จักเ้าั้แ่เมื่อสองปีก่อนเช่นกัน
เ้าจำได้หรือไม่ มีครั้งหนึ่งที่กุ้ยเฟยทรงจัดงานเลี้ยงขึ้นในวัง พระองค์ได้เชิญบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์เข้าวังเพื่อร่วมงานเลี้ยงนี้ และระหว่างนั้นเ้าเกิดเื่ทะเลาะกับแม่นางจากจวนตระกูลปั่วทั้งสองใช่หรือไม่?
ข้าเป็ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์ประจำวังหลวง วันนั้นมีหนึ่งในรองผู้บัญชาการของข้าติดเหตุฉุกเฉิน ข้าจึงทำภารกิจลาดตระเวนแทนเขาและบังเอิญพบเหตุการณ์นั้นเข้า เ้าจำได้หรือไม่?”
เวลานี้เสียงของมู่เสวียนเย่อ่อนโยนเป็อย่างยิ่งโดยไม่รู้ตัว
มู่เฉิงอินส่ายหัวช้าๆ นางจำไม่ได้จริงๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าภาพเหตุการณ์ที่นางเคยทะเลาะวิวาทถูกบันทึกเข้าสู่สายตาของบุรุษตรงหน้า นางก็ทั้งรู้สึกอายและหงุดหงิดใจ
“เหตุที่พวกเ้าทะเลาะกันเป็เพราะแม่นางจากจวนตระกูลปั่วทั้งสองสร้างความอับอายให้แก่น้องหญิงของข้า เ้าไม่ชอบใจคำพูดของพวกนางจึงออกปากเสียดสีกลับ ทุกคำที่เ้ากล่าวมานั้นจนถึงวันนี้ข้ายังจดจำได้ดี เ้ากล่าวว่า ‘หากพวกเ้าเรียกตนเองว่าเป็กุลสตรีผู้เพียบพร้อมแห่งต้าโจว ทว่าลับหลังกลับมิใช่เช่นนั้น นินทาว่าร้ายผู้อื่น วาจาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ช่างทำให้ผู้คนขบขันนัก คุณหนูตระกูลมู่เป็คนที่พวกเ้าสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือ? กาพย์กลอนโคลงกวี ฉินหมากล้อมพู่กันวาดภาพ นิ้วของพวกเ้าเพียงนิ้วเดียวยังมิอาจเทียบชั้นกับนางได้เลย’
ในตอนนั้นข้าคิดว่า แม่นางที่ปกป้องน้องหญิงของข้าผู้นี้เป็ใคร ทั้งแข็งแกร่งและเก่งกาจยิ่ง แต่ตอนนั้นข้ายังไม่รู้จักเ้า ไม่ทราบว่าเ้าคือแม่นางจากจวนตระกูลมู่ ทว่าก็จดจำเ้าได้แล้ว”
น้อยครั้งนักที่มู่เสวียนเย่จะกล่าววาจายืดยาว ในตอนนี้เขากอบกุมมือของมู่เฉิงอินพลางกล่าวช้าๆ เสียงของเขาต่ำ ั์ตาฉายแววอ่อนโยน แก้มของมู่เฉิงอินกลายเป็สีแดง นางนึกไม่ถึงว่าตนเองและคุณชายมู่จะมีจุดเริ่มต้นที่ยาวนานเช่นนี้
เวลานี้มือน้อยถูกคนที่พึงใจโอบอุ้มเอาไว้ ใจทั้งดวงจึงเต้นแรงไม่หยุด แก้มก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
“ก่อนหน้านี้ตอนที่เจรจาเื่งานแต่งกับเ้า แรกเริ่มข้ายังจดจำเ้าไม่ได้ เป็เพราะเ้าในตอนนี้กับตอนมีเหตุทะเลาะวิวาทนั้นให้อารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม่นางน้อยในความทรงจำของข้าเข้มงวดและพูดจาฉะฉาน ทว่าแม่นางจากตระกูลมู่ที่ข้าเจรจาแต่งงานนั้นเป็สตรีรู้ความ งดงามสง่า บรรยากาศแตกต่างกันอย่างยิ่ง”
มู่เสวียนเย่เอ่ยถึงตรงนี้ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ พลางเหลือบมองมู่เฉิงอิน
เวลานี้มู่เฉิงอินจะมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไรได้ ใบหน้าของนางแดงก่ำดั่งมะเขือเทศ นั่งตัวตรงแข็งทื่อ ในหัวสมองยุ่งเหยิงไปหมด
“หลังจากนั้นข้าก็ชื่นชมเ้าเสมอ คิดว่าให้วันเวลาไหลผ่าน ให้ความรู้สึกของเราสองเป็ดั่งน้ำมาคลองเกิด [1] การเจรจางานแต่งก็คงกำหนดได้ตามธรรมชาติ ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าครอบครัวจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ข้ากลัวเพียงว่าจะทำให้เ้าล่าช้าจนเสียการ ดังนั้นจึงคิดตัดความสัมพันธ์กับเ้า เขียนจดหมายเช่นนั้นไป หากวันข้างหน้าข้าสามารถหลีกหนีปัญหาพ้น ข้าจะขอไปเจอเ้าอีกครั้ง แต่หากหนีไม่พ้น...
จะมิให้เ้าชักช้าเสียการ หาบุรุษอื่นแทน”
มู่เสวียนเย่กล่าว
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ มู่เฉิงอินก็เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ดังนั้นแล้ว คุณชายมู่มิใช่ว่าไม่ชอบข้า? แต่เป็เพราะครอบครัวของท่านเกิดเื่ขึ้นหรือเ้าคะ?”
ในที่สุดมู่เฉิงอินก็ตอบสนองกลับมาได้แล้ว
มู่เสวียนเย่พยักหน้า
“เกิดเื่ใดกับครอบครัวของท่านหรือเ้าคะ?” ด้วยมิรู้ว่าตนเองจะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่ มู่เฉิงอินจึงถามออกไปอย่างประหม่า
“เ้าไม่ต้องห่วง ตอนนี้จัดการได้เรียบร้อยแล้ว”
มู่เสวียนเย่บีบฝ่ามือ ปลอบโยนนาง
ยามนี้มู่เฉิงอินมีความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้น ทั้งอยากร้องไห้และหัวเราะ
ร้องไห้เพราะวันนี้ศักดิ์ศรีของนางถูกทิ้งจนไม่เหลืออันใดอีกแล้ว ทั้งสูญเสียการควบคุมอารมณ์และเสียหน้า ส่วนหัวเราะก็เพราะคุณชายที่นางพึงใจให้ ที่แท้แล้วเขาก็พึงใจนางเช่นกัน ช่างดีเหลือเกิน
“หากเ้ามิได้นัดหมายข้า ก็มิรู้ว่าข้ากับเ้าจะคลาดกันไปอีกนานเพียงใด ทว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ที่ทำให้ข้าเข้าใจเ้าและเข้าใจหัวใจของตนเองชัดเจนขึ้น เฉิงอิน ข้าชอบเ้ายิ่งนัก หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีสตรีคนใดที่ทำให้ข้าพึงใจได้มากเท่าเ้า”
น้ำเสียงของมู่เสวียนเย่แหบต่ำ
ยามได้ยินนามตนถูกขานออกจากปากของมู่เสวียนเย่ มู่เฉิงอินรู้สึกล่องลอยเป็อย่างยิ่ง ทั้งใบหน้า หู และคอของนางแดงก่ำ หัวใจของนางเต้นแรง นางเม้มริมฝีปากแน่น แววตาเต็มไปด้วยความเขินอายและความสุขสมปรารถนา
แต่เมื่อหวนกลับมาคิดอีกครั้ง นางก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
นางเหลือบสายตาขึ้นมา ดวงตารื้นน้ำแวววาวดูเปราะบางอ่อนแอ ได้ยินเสียงนางกล่าวว่า “คุณชายมู่ นะ ในเมื่อท่านใจตรงกับข้า แล้วเหตุใดจึงไม่พูดออกมาเล่า กลับปล่อยให้ข้ากล่าววาจามากมายเพียงนั้น ทั้งขาดสติและน่าขายหน้านัก...”
มิใช่หรือ?
เวลานี้มู่เฉิงอินหวนนึกถึงถ้อยคำที่นางพรั่งพรูด้วยความลนลาน ไหนจะน้ำตาที่หลั่งไหล ช่างน่าขายหน้าเสียจริง ทั้งยังทำให้นางรู้สึกละอายใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
“เป็เ้าที่ไม่ยอมให้ข้าพูดเสียบ้าง พอข้าจะเปิดปาก เ้าก็ขัดจังหวะข้าก่อนแล้ว”
มู่เสวียนเย่กล่าว
มู่เฉิงอินได้ฟัง ความทรงจำก็หวนคืนกลับมา เื่ราวมิได้เป็เช่นนั้นหรอกหรือ? ทว่าตอนนั้นนางคิดว่าบุรุษตรงหน้ากำลังจะปฏิเสธความรักที่นางมอบให้ นางทั้งโกรธและเสียใจ ด้วยความโมโหจึงพูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจมานานหลายปีออกไปทั้งหมด
เมื่อนึกย้อนกลับไป ใบหน้าเอียงอายของมู่เฉิงอินก็ขึ้นสีแดงก่ำ ทั้งที่ในใจพร่ำสอนตนเองเป็ร้อยครั้ง เหตุใดจึงข่มอารมณ์มิได้เยี่ยงนี้
“เมื่อวานข้าได้รับกุญแจทองอันเล็กของเ้ามา ทำให้นอนกระสับกระส่ายมิอาจข่มตาหลับได้ทั้งคืน ข้าคิดจะกล่าวคำขออภัยแก่เ้า แต่นึกไม่ถึงว่าความรู้สึกในใจของข้ายังมิทันได้กล่าวให้เ้าฟัง กลับได้รับฟังความในใจของเ้าแทน เฉิงอิน ข้ามีความสุขมากจริงๆ”
ริมฝีปากบางของมู่เสวียนเย่สั่นไหว เขาเผยยิ้มเล็กน้อย แต่ก็งดงามมากเช่นกัน
มู่เฉิงอินรู้สึกหลงใหลบุรุษตรงหน้ายิ่ง คำพูดใดๆ ล้วนฟังไม่เข้าหู สมองของนางมิอาจคิดตามได้แล้ว
พันคำหมื่นวาจาไม่รู้ว่าเอ่ยสิ่งใด เขายินดี นางยิ่งดีใจเข้าใจหรือไม่
ครั้งหนึ่งเคยมีหวัง เคยผิดหวัง เคยสิ้นหวัง ทว่าตอนนี้ต้นร้ายปลายดี ราตรีมืดมิดถูกทำลายด้วยแสงจากรุ่งอรุณ นางเป็สุขมากเสียจนมิอาจใช้ถ้อยคำใดพรรณนาออกมาได้
นางถึงขั้นปรารถนาจะจุมพิตบุรุษตรงหน้า เนื่องจากหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งไร้หนทางจะแสดงออก
“ข้าเองก็มีความสุขมาก มีความสุขยิ่งนัก เมื่อได้รับหัวใจของท่านแล้ว ข้าย่อมมิอาจทรยศใจท่าน”
เชิงอรรถ
[1] น้ำมาคลองเกิด 水到渠成 (Shuǐ dào qú chéng) หมายถึง เมื่อเงื่อนไขสุกงอม เื่ต่างๆ ก็จะสำเร็จ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้