บทที่ 70 การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด
ทั้งจวนเงียบสนิทในทันที สีหน้าของลั่วเฉิงกงซีดเผือด กลอกตาไปมาราวกับกำลังคิดว่าควรอธิบายอย่างไรดี
“เ้าแน่ใจหรือว่าเ้าคือลั่วถู?” สีหน้าทูตเยาว์วัยสงบมาก ดูไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธกันแน่
“แน่นอน ข้าคือลั่วถู หรือยังมีลั่วถูคนที่สองอีก?” ชายหนุ่มผมเผ้ารุงรังแถมยังฝุ่นเปรอะเต็มหน้าตอบกลับด้วยความประหลาดใจ
“ผู้าุโใหญ่ลั่ว ท่านมีคำอธิบายเื่นี้ให้ข้าหรือไม่?” ทูตเยาว์วัยหันหน้าไปเอ่ยถามกับลั่วเฉิงกงอย่างแช่มช้า
“เ้าหนุ่ม เ้าเป็ใครกันแน่ ถึงได้บังอาจปลอมตัวเป็ลูกหลานตระกูลลั่วของพวกเรา สมควรตายนัก!” ลั่วเฉิงกงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กับะโใส่ลั่วถูด้วยความโกรธ แรงกดดันอันบ้าคลั่งราวกับคลื่นน้ำโถมซัดเข้าใส่ลั่วถู
“ยังคิดจะสังหารคนปิดปากอีกหรือ?” ลั่วถูไม่ใ เมื่อครู่เขาเห็นลูกศรของลั่วเฉิงกงถูกคนขัดขวาง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามช่วยเขาไว้แล้วครั้งหนึ่ง เช่นนั้นย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาถูกลั่วเฉิงกงสังหารต่อหน้าต่อตาของตัวเองแน่นอน
“ตึง... ” แรงกดดันของลั่วเฉิงกงที่ปล่อยออกมาเมื่อครู่ กลับรู้สึกเหมือนถูกูเาลูกใหญ่กดทับเอาไว้ ทั่วทั้งร่างกายสั่นสะท้าน จากนั้นแรงกดดันที่ปล่อยออกมากระแสนั้นพลันแตกสลายราวกับหมอกควันในเสี้ยววินาที ร่างกายสั่นระรัวพลางก้าวถอยไปหลายก้าวอย่างไม่อาจฝืนเกิดเป็เสียงดัง “ตุบตุบ” ในใจครู่หนึ่งถึงสงบลงได้
“ท่าทางผู้าุโใหญ่ลั่วไม่สนใจคำพูดของข้าเอาเสียเลย!” น้ำเสียงของทูตเยาว์วัยแฝงไว้ซึ่งความเยือกเย็น ทำเอาในใจของลั่วเฉิงกงััถึงความหนาวเหน็บอันไร้ที่มาได้ชัดเจน เขามั่นใจว่าหากเขากล้าลงมืออีก ทูตเยาว์วัยย่อมไม่คิดลังเลที่จะสังหารเขาแน่นอน
“เื่นี้... ” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของทูตเยาว์วัย ลั่วเฉิงกงไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี ถ้าท่านทูตรู้ว่าเขาใช้ลั่วถูตัวปลอมมาหลอก เกรงว่าคงถูกสังหารทันที ถึงตระกูลลั่วในแผ่นดินต้นกำเนิดจะนับว่ามีอำนาจ ทว่าเมื่อเทียบกับท่านทูตที่อยู่ตรงหน้า กลับไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านทูตเป็ตัวแทนของโลกชั้นสูง เมื่อเข้ามาในโลกชั้นล่าง ล้วนได้รับความสนใจจากทั้งวิหารเสินจั้นและวิหารอิงหลิงเป็ธรรมดา ทรงอิทธิพลอย่างมากเสียจนกระทั่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ยังต้องยอมสยบ เพียงอ้าปากพูด เกรงว่าทั้งวิหารเสินจั้นและวิหารอิงหลิงย่อมไม่ลังเลลงมือล้างสังหารตระกูลลั่วของพวกเขาแน่
“เ้าบอกข้ามา เ้าคือลั่วถูใช่หรือไม่...” เมื่อเห็นลั่วเฉิงกงไม่ตอบกลับในทันที สายตาของทูตเยาว์วัยก็หันไปถามกับลั่วอิงซานโดยตรง ราวกับถูกแรงกดดันอันกว้างใหญ่ไพศาลกระแสหนึ่งทำลายเกราะป้องกันจิตใจของลั่วอิงซานจนยับเยิน
ลั่วอิงซานได้แต่คุกเข่าลงกับพื้น ร่างกายสั่นสะท้านอยู่ตรงหน้าทูตผู้เยาว์วัย เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นไหวว่า “ข้า ข้า... ข้ามีนามว่าลั่วอิงซานขอรับ...”
“ลั่วเฉิงกง เ้าช่างบังอาจนัก ถึงขั้นกล้าหลอกลวงท่านทูตได้!” อู๋เจิ้งจงแย่งะโก่อนท่านทูตจะออกเสียงเสียงอีก จากนั้นส่งลูกเตะด้วยความโมโหอย่างถึงที่สุดออกไป
ลั่วเฉิงกงร้องอย่างเ็ป ร่างกายปลิวกระเด็น จนชนเข้ากับกำแพงหนาอย่างรุนแรง ถึงขั้นพุ่งทะลุกำแพงไปด้วยซ้ำ
การที่อู๋เจิ้งจงลงมืออย่างกะทันหัน ทำให้สีหน้าของทูตผู้เยาว์วัยไม่พอใจเล็กน้อย ถึงเขาจะอายุน้อยกว่าอู๋เจิ้งจง แต่เขาไม่ใช่คนโง่ แต่ในใจของเขาทำเพียงยิ้มอย่างเยือกเย็น เมื่อยกมือขึ้น กล่องหยกในมือลั่วอิงซานก็ลอยกลับเข้ามาในมือเขาด้วยตัวเอง พอสะบัดมืออีกหนร่างกายของลั่วอิงซานก็ราวถูกเขาลูกใหญ่กดทับเอาไว้ ส่งผลให้โลหิตสดพุ่งออกจากทวารที่เจ็ดต่อหน้าฝูงชนทั้งมวลด้วยความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“เผละ... ” ร่างกายของลั่วอิงซานกลายเป็ก้อนเนื้อทันที แต่กลับไม่ได้สาดกระเซ็นไปรอบด้าน เพียงแต่แห้งเหี่ยวอยู่ในบริเวณที่จำกัดและกลายเป็เพียงเศษซากมนุษย์กองหนึ่ง
คนในตระกูลลั่วล้วนอึ้งกันถ้วนหน้า กลิ่นคาวเืถึงกับทำให้ศิษย์ของตระกูลลั่วหลายคนอ้วกออกมาอย่างสุดกลั้น พวกเขาเคยเห็นการตายมาสารพัดรูปแบบ แต่วิธีที่อำมหิตเช่นนี้ ยังคงเขย่าขวัญิญญาของพวกเขาได้อยู่ดี
“เ้าคิดจะช่วยเขาหรือ?” หลังจากสังหารลั่วอิงซาน ทูตผู้เยาว์วัยหันหน้ามองไปยังอู๋เจิ้งจงอย่างเ็า และกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อู๋เจิ้งจงได้หยุดนิ่ง เขาพบว่าตัวเองประเมินความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามต่ำไป ลำพังสายตาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกจับเปลือยกายท่ามกลางหนาวเย็นอย่างไรอย่างนั้น ทั้งเย็นะเืจนเสียดแทงกระดูก ทั้งตัวเปล่าเล่าเปลือย เขารู้ว่าความคิดเล็กน้อยของเขาย่อมหนีไม่พ้นสายตาของฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่กล้าหนี ทำเพียงกล่าวออกมาอย่างอึดอัดแต่ยังคงแฝงด้วยความเคารพ “ลั่วเฉิงกงหลอกลวงท่านทูต เป็เื่สมควรตายจริงๆ แต่อย่างไรเสียลั่วถูก็เป็คนตระกูลลั่ว บางทีอาจเป็เพราะลั่วถูกลับมาล่าช้า เขากังวลว่าท่านทูตจะต้องรออยู่ที่โลกชั้นล่างนานเกินไป เกรงจะทำให้ท่านทูตเสียเวลา จึงคิดวิธีที่ไม่น่าให้อภัยเช่นนี้ออกมา เชื่อว่าถ้าลั่วถูกลับมา เขาก็ต้องนำของทั้งสองสิ่งนี้มอบให้ลั่วถูแน่นอน... ดังนั้นความเห็นของข้าคิดว่าเขาคงหวังดี วอนท่านทูตโปรดไว้ชีวิตเขาด้วยเถิดขอรับ!”
“ท่านทูตโปรดไว้ชีวิต... เป็จริงดังที่เ้าวิหารกล่าว ข้าเพียงแค่กังวลว่าท่านทูตจะต้องอยู่ที่โลกชั้นล่างนานเกินไป รังแต่จะรบกวนเื่ของท่านทูตเสียเปล่าๆ ถึงได้ลงมือเช่นนี้ ขอท่านทูตโปรดไว้ชีวิตด้วย... ” ได้ยินคำกล่าวของอู๋เจิ้งจง ลั่วเฉิงกงก็รีบปีนออกมาจากห้องที่พังเละเทะทั้งร่างกายที่แลดูน่าอเนจอนาถเหลือทน และกล่าวออกมาพร้อมหมอบคารวะแทบพื้น
“ขอท่านทูตโปรดไว้ชีวิตเขาด้วย... ” อู๋เจิ้งจงกล่าวเสริมอีกครั้ง
“เ้า มานี่!” ทูตผู้เยาว์วัยกวักมือเรียกลั่วถู เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“โอ้!” ลั่วถูไม่ปฏิเสธ ดูท่าของจากท่านทูตคงตั้งใจมอบให้เขาจริง สายข่าวของเซวี่ยหลิงเอ๋อร์ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน นับว่ามีความสามารถไม่เลวทีเดียว
“เปรียะ เปรียะ... ” ลั่วถูเพิ่งก้าวไปถึง ทูตผู้เยาว์วัยก็โบกมือเบาๆ แต่การกระทำนั้นกลับส่งผลให้ลั่วถูเจ็บบริเวณปลายนิ้วชี้ หยดเืหลายหยดถูกรีดออกมา และหยดลงไปที่จานเงินบนพื้นทันที
ลั่วถูใเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงท่าทีตอบสนองอะไรนัก แค่เอาเืไปไม่กี่หยดเอง แต่เมื่อเขาได้เห็นว่าของเหลวหลายหยดในขวดหยกที่ท่านทูตเทใส่ลงไปในจานเงิน ทำเอาหยดเืของเขาเดือดพล่านแทบในทันที ถึงกับสร้างภาพหมอกโลหิตลวงตาออกมา เหมือนั ทว่าก็ดูราวกับอสรพิษ คล้ายหมาป่าแต่ก็มีเค้าโครงของพยัคฆ์ ไม่อาจมองให้ชัดเจนได้ว่าแท้จริงแล้วเป็รูปร่างเช่นไรกันแน่ เพียงแต่หมอกโลหิตคงอยู่กลางอากาศเพียงครู่เดียว จากนั้นค่อยๆ กระจายตัวออกและสลายไป
“ดูท่าเ้าคงเป็ลั่วถูตัวจริง!” ทูตผู้เยาว์วัยพยักหน้าอย่างพอใจ แม้เด็กหนุ่มตรงหน้าจะยังไม่เปิดิญญา แต่กลับมีความกล้าจนะโลงมาจากที่สูงกว่าร้อยจั้งได้ อย่างน้อยก็ทำได้ดีกว่าที่เขาคาดไว้มาก “ของเหล่านี้มีใครบางคนฝากให้ข้ามอบมันให้เ้า หวังว่าเ้าจะสามารถกลับสู่โลกชั้นสูงได้ในเร็ววัน!”
“ใครกัน?” ลั่วถูอึ้งไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ออกว่าในโลกชั้นสูงใครกันที่ทรงอำนาจถึงเพียงนี้ ถึงขั้นชี้นิ้วสั่งให้ทูตลงมามอบของให้เขาด้วยตนเองได้ เื่นี้ทำเอาเข้าเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว
“เป็ใครนั้น เ้าตอนนี้ยังไม่จำเป็ต้องรู้ รอวันที่เ้ากลับเข้าสู่โลกชั้นสูงได้ เ้าจะรู้เอง” ท่านทูตกล่าวด้วยความนิ่งสงบ และไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มอีก
ลั่วถูผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ได้สนใจนัก ขอเพียงของสองสิ่งนี้อยู่ในมือของเขาก็พอแล้ว แต่ในตอนที่กำลังรับของสองสิ่งนี้มา สายตาอันเย็นะเืของเขากลับเหลือบมองไปยังร่างของลั่วเฉิงกง จากนั้นกล่าวพร้อมหัวเราะว่า “ข้าว่าผู้าุโใหญ่ เ้าแสดงละครเื่ใดอยู่หรือ ทั้งส่งคนไปลอบสังหารข้าตลอดทาง ไหนจะยังให้คนในตระกูลปลอมเป็ข้าอีก แถมตอนนี้ยังกล้าพูดว่ากังวลว่าท่านทูตจะต้องรั้งรออยู่ที่โลกชั้นล่างจนเสียเื่ ข้าควรขอบคุณที่เ้าตัวเตรียมรับของสิ่งนี้แทนข้าด้วยหรือไม่!”
เมื่อลั่วถูกล่าวจบ สีหน้าของลั่วเฉิงกงก็ดูราวกับิญญาหลุดจากร่างไปแล้ว แม้แต่สีหน้าของอู๋เจิ้งจงเองก็มืดทะมึนไปด้วย ยิ่งตอนที่ลั่วถูกล่าวจบ เขาก็ััได้ถึงจิตสังหารอันเข้มข้นจากทูตผู้เยาว์วัยได้อย่างชัดเจนจนราวกับกลายเป็รูปธรรมที่จับต้องได้ขึ้นมาในเสี้ยววินาที
อู๋เจิ้งจงได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง เดิมทีเขารู้สึกว่าหากอ้อนวอนขอความเมตตาอีกสักครั้งบางทีอาจพอช่วยให้ลั่วเฉิงกงรอดชีวิตได้ แต่ตอนนี้ดูท่าคงไม่ไหวแล้ว เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าลั่วเฉิงกงถึงกับสั่งคนไปลอบสังหารลั่วถู มิหนำซ้ำยังเื่ที่ไม่สมควรเกิดที่สุดนั่นก็คือ การปล่อยให้ลั่วถูมีชีวิตรอดและกลับมายังเจียงหยิน
“ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!” สีหน้าของทูตเยาว์วัยเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ในดวงตาปรากฏจิตสังหารอันดุร้าย ทำเอาคนตระกูลลั่วทุกคนกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง ไม่มีใครกล้าร้องขอความเมตตาให้ลั่วเฉิงกงอีกต่อไป
สายตาของลั่วเฉิงกงอัดแน่นไปด้วยความเกลียดชัง จ้องมองไปยังลั่วถูอย่างโเี้ ไม่ได้คุกเข่าจนหัวจรดพื้นลงอีกแล้ว แต่ลุกขึ้นมายืนเต็มความสูงแทน “หึหึ” เสียงหัวเราะดังขึ้นนำมาตามด้วยวาจาที่ว่า “มิผิด ข้าให้คนตามสังหารเ้าตลอดทาง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ขยะอย่างเ้ากลับมีชะตายิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ มิหนำซ้ำยังเอาชีวิตรอดมาจนถึงเจียงหยินอีก นี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆ ”
พูดจบลั่วเฉิงกงก็หันมาเผชิญหน้ากับทูตผู้เยาว์วัยบ้าง สายตาแฝงไว้ซึ่งเจตนาดุร้าย และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ทั้งหมดนี้เป็เพราะเ้าบังคับให้ข้าต้องทำ เป็แค่ทูตคนหนึ่ง แต่ทำตัวสูงส่งราวเทพเ้า เ้าคิดว่าเ้าเป็ใครกัน เ้าคิดจะให้ใครก็ให้ได้ตามใจหรือ? ที่นี่คือตระกูลลั่ว ข้าคือผู้าุโใหญ่ของตระกูลลั่ว เป็ผู้นำตระกูลคนต่อไป กระทั่งไอ้ขยะนี่ก็เป็ของของตระกูลลั่ว เช่นนั้น ของของมันก็ควรให้ข้าเป็คนจัดสรร เื่ในตระกูลของข้าไปเกี่ยวอะไรกับเ้า เดิมทีข้ายังคิดนับถือเคารพเ้าเป็ท่านทูต แต่ในเมื่อตอนนี้เ้าคิดจะสังหารข้า เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าใจดำอำมหิตก็แล้วกัน... ”
“ช่างไม่รู้จักประมาณตน...” ทูตเยาว์วัยหัวเราะเสียงเย็น เงื้อมือขึ้น แต่ทันใดนั้นเองกลับต้องใในทันที เพราะเขาพบว่าพลังิญญาในร่างของตนกลับหายไปจนหมด
“รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติสิท่า? ฮ่าฮ่า เ้ามือใหม่ แค่มีระดับพลังสูงมันจะไปทำอะไรได้ เ้าคิดว่าข้าทำเื่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้โดยไม่เตรียมตัวล่วงหน้าหรือ? ข้าจะบอกอะไรเ้าอย่าง เลิกเสียแรงเปล่าได้แล้ว พิษดอกเทียนหลิงหมอซื่อ[1]ไม่มีทางรักษา ถึงมันจะมีฤทธิ์ไม่ถึงตาย แต่ในสองชั่วยามนี้จะทำให้พลังิญญาในร่างของเ้าหายไปทั้งหมด เ้าตอนนี้ก็เป็แค่ไอ้คนไร้ประโยชน์!” ลั่วเฉิงกงหัวเราะอย่างได้ใจ
อู๋เจิ้งจงถึงกับตกตะลึง รีบลองเคลื่อนพลังิญญาในร่างของตนทันที แต่ก็ต้องพบว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงได้แต่ถอนหายหายใจด้วยความโล่ง ดูท่าเขาจะไม่ได้ถูกพิษ ทว่าเขากลับรู้สึกแปลกใจ ทูตท่านนี้ไปถูกพิษั้แ่เมื่อไร จากระดับพลังของเขาไม่มีทางถูกวางยาพิษโดยไม่รู้ตัวแน่
“ดอกเทียนหลิงหมอซื่อ... ” สีหน้าของทูตเยาว์วัยเปลี่ยนเป็เขียวคล้ำไปแล้ว ชื่อนี้เขาเคยได้ยิน มันคือบุปผาปีศาจในตำนานทั้งงดงามและชั่วช้าเติบโตได้ดีในสถานที่ที่มีพลังหยิน กลิ่นหอมที่ปล่อยออกมามีฤทธิ์ยับยั้งพลังิญญาทั้งหมด แต่ไม่ถึงตาย ทว่าเขากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไปถูกพิษั้แ่เมื่อไร!
[1] ดอกเทียนหลิงหมอซื่อ (天灵魔噬花) - ดอกฟ้ากลืนิญญา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้