เมื่อรักอย่างลึกซึ้ง ไร้คำพูดใดมาบรรยายความรู้สึกนี้ได้ ศีรษะของมู่เฉิงอินซบลงที่อกของมู่เสวียนเย่ มิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม
เสียงของนางไม่ดัง ทว่าเอ้อระเหย อ้อยอิ่ง และอ่อนโยนยิ่ง นำพาความรู้สึกที่ลึกซึ้งไร้ก้นบึ้งะเิอยู่ข้างหูของมู่เสวียนเย่
เสียงะเินั้นพาให้หัวใจของมู่เสวียนเย่เต้นแรงครั้งแล้วครั้งเล่า คำว่าพี่เย่กระแทกหูของเขา การอิงแอบแสนอ่อนโยนของนางทำให้ใบหูของเขาขึ้นสี
หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาทั้งบอบบางและนุ่มนวล แม้ใบหน้าเขาจะบูดบึ้ง ทว่าใบหูกลับแดงก่ำ
“อืม”
เขาพยักหน้าพลางกดเสียงต่ำตอบรับ
มู่เฉิงอินกัดริมฝีปากหัวเราะขึ้นมา นางเห็นว่าใบหูของบุรุษตรงหน้าเป็สีแดงก่ำ และมือเขาก็บีบเอวนางแรงจนแทบจะหักอยู่แล้ว
มู่เสวียนเย่กับมู่เฉิงอินมีความรักลึกซึ้ง บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองหวานฉ่ำ ทว่าทั้งร่างของฉู่รั่วหลานกลับเต็มไปด้วยความอิจฉาจนแทบจะพุ่งเข้าไปฉีกหน้าของมู่เฉิงอิน ยิ่งอีกฝ่ายยิ้มอย่างมีความสุขเท่าไร นางก็ยิ่งริษยามากขึ้นเท่านั้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะทั้งสองข้างของฉู่รั่วหลานจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิงอิน นางตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น ใช้สายตาโเี้มองมู่เสวียนเย่กับมู่เฉิงอิน พลันกรีดร้องเสียงดังว่า “เยี่ยมนัก ช่างเป็ผู้บัญชาการมู่ผู้มีความรักลึกซึ้งดุจทะเลที่เยี่ยมยอด เป็การประกาศมิรับอนุหรือสตรีใดที่ยอดเยี่ยม ข้าซาบซึ้งจนแทบจะหลั่งน้ำตาให้ แต่ผู้บัญชาการมู่ เ้ากล้าบอกทุกคนที่อยู่ที่นี่ดังๆ หรือไม่ ว่าเ้าเคยทำอันใดไว้กับข้า? เ้าทำงานอยู่ในวัง ลอบล่วงเกินข้ามาเนิ่นนานแล้ว ทว่าวันนี้เ้ากลับไม่คิดรับผิดชอบ เหตุใดเ้าถึงเนรคุณเยี่ยงนี้? ความรู้สึกลึกซึ้งที่ข้ามอบให้เ้า แต่เ้ากลับตอบแทนข้าเยี่ยงนี้ ทำกับข้าถึงเพียงนี้...”
หยาดน้ำตาของฉู่รั่วหลานรินไหล นางกรีดร้องโหยหวนเสียงดัง
นางเป็สตรีร่างใหญ่ เวลาร่ำไห้ช่างไร้ความงดงาม ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ คำที่นางร้องออกมาสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคน
นกไร้เสียง [1] โรงน้ำชาพลันเงียบกริบทันที
ไม่ ไม่ใช่หรอกกระมัง
เวลานี้เหล่าผู้ชมแทบอยากให้ตนเองหูหนวกไปเสีย ์ทรงโปรด เมื่อครู่พวกเขาได้ยินเื่ที่มิอาจมองข้ามได้อันใด?
องค์หญิงฉู่กับผู้บัญชาการมู่มีความสัมพันธ์ล่วงเกินกันอยู่ก่อนแล้ว?
มิน่าเล่า มิน่าเล่า ตอนที่องค์หญิงทราบว่าคุณชายมู่กับแม่นางมู่มีการเจรจาหมั้นหมายกันแล้ว ถึงได้ตื่นตระหนกเยี่ยงนั้น?
คำพูดดังกล่าวสะท้านะเืราวกับคลื่นพันชั้น ในที่สุดฝูงชนก็ะเิ
ไม่ว่าอย่างไรมู่เสวียนเย่ก็คาดไม่ถึงว่าฉู่รั่วหลานจะลั่นถ้อยคำดังกล่าวออกมาได้ อันใดคือล่วงเกินกันแล้ว? การล่วงเกินมาจากที่ใดกัน? องค์หญิงผู้นี้แม้แต่ชื่อเสียงของตนก็มิ้าแล้วหรือ ปรารถนาเพียงจะเกาะเขาแทนแล้วหรือ?
ยามนี้ใบหน้าของมู่เสวียนเย่ที่ดำอยู่แล้วทะมึนยิ่งกว่าหมึก สายตาเย็นะเืของเขาแทบแช่แข็งคนได้สามฉื่อ
เขาเป็บุรุษ แต่ก็รู้ว่าชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญเทียมฟ้า เหตุใดจึงมีสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเป็ถึงองค์หญิงแห่งต้าโจว
แต่เดิมปากมู่เสวียนเย่ก็โง่งมอยู่แล้ว ตอนนี้ฉู่รั่วหลานยังทิ้งชื่อเสียงของตนลงน้ำทั้งยังลากเขาจมลงไปด้วย ช่างทำให้เขาโมโหจนพูดอันใดไม่ออก มิอาจโต้แย้งได้
“ไร้ยางอาย”
จากนั้นไม่นาน มู่เสวียนเย่ก็พ่นคำสามคำออกมา
นี่เป็คำหนักหนาที่สุดที่เขาใช้พูดกับสตรี
“ใช่ ข้าไร้ยางอาย องค์หญิงผู้สูงส่งมีเกียรติเช่นข้าไม่้าหน้าตาชื่อเสียงอีกแล้ว มิใช่เพราะรักเ้ามากเกินไปและข้ากลายเป็คนของเ้าแล้วหรอกหรือ นอกจากเ้าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต ทว่าหากเ้า้าแต่งมู่เฉิงอิน ข้ายังคงย้ำคำเดิม จงให้นางเป็อนุ”
ที่สุดในใจของฉู่รั่วหลานก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นแล้ว
เมื่อครู่นางหมดหนทางไม่รู้จะทำเยี่ยงไรดี ยามถูกมู่เสวียนเย่ผลักออกและได้ยินคำกล่าวขอบคุณที่ปกป้องตนของมู่เฉิงอิน ทั้งร่างของนางราวกับหัวใจถูกแผดเผา เสียสติจนแทบถึงขีดสุด ทว่าโชคดีที่นางได้รับคำแนะนำจากลูกพี่ลูกน้องของนาง
วันนี้นางนัดลูกพี่ลูกน้องออกมาด้วยเื่ของมู่เสวียนเย่ เมื่อทราบว่ามู่เสวียนเย่ไม่ได้วางแผนจะแต่งงานกับนางและปฏิเสธเจตนาของบิดานางอย่างสุภาพ นางก็เริ่มร้อนรนมิอาจอยู่สุข
นางต้องตาพึงใจมู่เสวียนเย่มานานแล้ว ชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา รู้ว่าเขาเป็หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ประจำวังหลวง ต้องปฏิบัติหน้าที่ภายในวังอยู่บ่อยครั้ง นางจึงแอบไปเมียงมองเขา และมีบางครั้งที่เล่นละครจนได้อิงแอบแนบชิดกับเขา ทว่าบุรุษผู้นี้เคารพกฎรักษามารยาท มิเคยแสดงท่าทีหรือความรู้สึกใดต่อนางเลย
แต่นางไม่พอใจ นางเป็ถึงองค์หญิง นาง้าแต่งให้ผู้ใดก็ต้องได้ตามใจทั้งสิ้น
หากมู่เสวียนเย่ยังไม่เจรจาเื่งานแต่ง เช่นนั้นนางก็ยังมีโอกาส ดังนั้นหลังจากที่รู้ว่ามู่เสวียนเย่กับมู่เฉิงอินได้เจรจาเื่งานแต่งไปแล้ว ทั้งร่างของนางก็ะเิด้วยโทสะจนแทบบ้า ก่อนหน้านี้ยามความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองยังไม่แน่ชัด นางเพียงหาเื่มู่เฉิงอินในบางคราเท่านั้น ทว่าตอนที่นางตระหนักได้ว่ามู่เสวียนเย่กับมู่เฉิงอินมีใจให้กัน และเหมือนทั้งสองครอบครัวกำลังเจรจาดองกัน นางก็พลันตื่นตระหนกไปทั้งร่างแล้ว
นางแบกหน้าหนาๆ ของตนไปขอพระราชโองการอภิเษกสมรสจากเสด็จพ่อ นางรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้ไม่มีใจให้นาง แต่นางไม่มีวิธีอื่นแล้ว นี่เป็หนทางเดียวที่จะทำให้นางได้แต่งงานกับมู่เสวียนเย่
กลับคาดไม่ถึงว่าตระกูลมู่จะปฏิเสธ
ดังนั้นนางจึงนัดหมายฉู่หลิวซวงผู้เป็ลูกพี่ลูกน้องออกมา เพื่อขอคำแนะนำจากอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ฉลาดกว่านางนัก
ใช่แล้ว ต้องขอบคุณฉู่หลิวซวง เมื่อครู่ที่นางล้มลงข้างฉู่หลิวซวง นางเห็นรูปปากของฉู่หลิวซวงกล่าวกับนางว่า “โยนความผิด ล่วงเกิน”
นางเองก็มิใช่คนโง่ แค่คำเตือนสองสามคำ นางก็โต้กลับได้แล้ว
ในเมื่อมู่เสวียนเย่ไม่้าแต่งงานกับนาง เช่นนั้นนางจะทำทุกทางเพื่อจับมู่เสวียนเย่ให้ได้ จะไม่มีวันปล่อยมือจากเขาเด็ดขาด!
แน่นอน วิธีนี้ใช้ได้ผล
เวลานี้ฉู่รั่วหลานคล้ายเห็นแสงแห่งความหวัง ประกายแห่งความหวังสาดส่องออกมาจากดวงตาของนาง นางบังคับมู่เสวียนเย่ และรอคอยให้เขาก้มศีรษะยอมแพ้นาง
...
ฉู่หลิวซวงที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังกอดอกพิงกำแพง มุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะ ยามเห็นคนในตระกูลมู่ไม่เป็สุข ในใจของนางรู้สึกสบายยิ่งนัก
ต้องขอบคุณลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ที่โง่เขลา สามารถทุ่มเทจนสุดตัวได้
“เฉิงอิน ข้า...”
“พี่เย่ เรียกข้าว่าอินอิน”
มู่เสวียนเย่โกรธเป็อย่างยิ่ง เขาก้มศีรษะลงเพื่อหวังจะอธิบายแก่มู่เฉิงอิน ทว่าทันทีที่เปิดปากกลับถูกมู่เฉิงอินขัดจังหวะ สตรีในอ้อมกอดของเขามีใบหน้าอ่อนโยน ดวงตาของนางเปี่ยมด้วยความรักและเชื่อใจ มิได้นำคำพูดของฉู่รั่วหลานมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งขอให้เขาเรียกขานนางว่าอินอิน
ยามมู่เสวียนเย่นึกถึงเสียงนุ่มนวลที่เพรียกหาเขาว่า ‘พี่เย่’ ร่างกายของเขาก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง และรู้สึกว่าคำเรียกขานว่า ‘เฉิงอิน’ ค่อนข้างแปลกหูเมื่อเทียบกับ ‘พี่เย่’ ทว่าเขาก็ยังเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “อินอิน ข้า ข้าไม่เคยแตะต้องนางแม้เพียงปลายนิ้ว ข้าไม่สนิทมักคุ้นกับนาง”
“ข้ารู้”
มู่เฉิงอินกล่าวตอบ นางตบมือของมู่เสวียนเย่เป็การปลอบโยนและแสดงถึงความไว้วางใจที่ไร้เสียง อารมณ์หงุดหงิดของมู่เสวียนเย่จึงถูกบรรเทาลงจนสงบด้วยการตบเบาๆ นี้
มู่เฉิงอินเดินออกจากอ้อมแขนของมู่เสวียนเย่ ใช้ใบหน้านวลอ่อนเยาว์ที่ฉายแววเ็าจดจ้องฉู่รั่วหลาน ก่อนจะค่อยๆ กวาดตามองไปทั่วฝูงชนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นะเืว่า “องค์หญิงฉู่ หม่อมฉันเกิดในครอบครัวนักปราชญ์ มักคุ้นกับคัมภีร์ ‘เตือนหญิง’ และ ‘สอนหญิง’ [2] จึงรู้ว่าชื่อเสียงสำหรับสตรีนั้นสำคัญเทียมฟ้า แต่คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงผู้งามสง่าจะละทิ้งคำว่าชื่อเสียงเหมือนเปลี่ยนรองเท้า เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเองจึงสาดน้ำโคลนใส่ผู้อื่นเช่นนี้ ก่อนที่หม่อมฉันจะเจรจาหมั้นหมายกับพี่เย่ ก็ทราบอยู่แล้วว่าท่านทรงรบเร้าวุ่นวายอยู่กับเขา ทว่าความรู้สึกของท่านกลับถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้หลังจากที่หม่อมฉันกับพี่เย่บอกว่าได้มีการเจรจาหมั้นหมายกันแล้ว ท่านก็ยังก่อเื่ปวดหัวให้พวกหม่อมฉันมิหยุดหย่อน เื่เหล่านี้หม่อมฉันล้วนมองข้ามไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ ทว่าวันนี้ท่านกลับทำลายชื่อเสียงตนเองจนป่นปี้ ทั้งยังคิดจะลากพี่เย่ของหม่อมฉันให้ล่มจมไปกับท่านด้วย เื่นี้หม่อมฉันมู่เฉิงอินมิยอมปล่อยผ่านเป็แน่เพคะ”
เชิงอรรถ
[1] นกไร้เสียง 雅雀无声 (Yǎ què wú shēng) เป็สำนวนหมายถึง เงียบจนถึงขีดสุด
[2] คัมภีร์ ‘เตือนหญิง’ 女诫 (Nǚ jiè) และ ‘สอนหญิง’ 女训 (nǚ xùn) เป็วรรณกรรมสอนสตรีเื่แรกๆ ของจีน ประพันธ์โดยนักวิชาการผู้ยึดมั่นในหลักปรัชญาขงจื๊อที่มีแนวความคิดบุรุษเป็ใหญ่ สะท้อนชะตากรรมของสตรีที่มีจารีต ประเพณี และค่านิยมทางสังคมเป็ตัวกดทับ หรือเหนี่ยวรั้งความปรารถนาของตนเองไม่ให้ออกนอกกรอบ ทุกสิ่งเป็ไปตามกฎระเบียบแห่ง “สามคล้อยตาม สี่คุณธรรม” ที่สังคมปิตาธิปไตยพึงประสงค์และเป็ผู้หยิบยื่นให้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้