ทันทีที่หมอหลี่ได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่าเื่นี้มีลับลมคมใน หากเป็ตอนปกติเขาย่อมไม่ข้องเกี่ยวกับเื่ในบ้านผู้อื่น แต่หลินฟู่อินนับเป็อีกกรณีหนึ่ง
แม้นางจะยังเด็กทว่าก็ใจกว้าง เห็นนางโดนผู้าุโข่มเหงั้แ่อายุยังน้อย แต่นางก็ไม่เร่งร้อนจนผู้อื่นจับผิดเอาได้แม้แต่น้อย เช่นนี้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว เด็กคนนี้นับว่าเฉลียวฉลาดช่างคิด เป็เด็กผู้หญิงที่มีสติปัญญา
เกรงว่าหลี่อี้บ้านเขายังเทียบนางไม่ได้
อีกอย่าง แม้จะไม่เอาเื่สกุลหลี่มาข้องเกี่ยว ลำพังแค่ได้ผูกมิตรกับเด็กคนนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว ดังนั้นเขาจึงพร้อมเข้าร่วมด้วย
“โอ มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ? ผู้เฒ่าหลินไม่ได้บอกให้ข้าตรวจชีพจรเลย” หมอหลี่ลูบเคราตัวเองแล้วหัวเราะอย่างสุภาพ “แม่นางหลินเป็ห่วงสุขภาพผู้าุโเช่นนี้น่าซาบซึ้งยิ่งนัก ข้าจะช่วยตรวจชีพจรให้ผู้เฒ่าหลินกับฮูหยินโดยไม่คิดเงินก็แล้วกัน เชิญด้านในเถอะ!”
คำพูดที่หมอหลี่ใช้ ฟังแล้วเสนาะหู แต่น้ำเสียงกลับทำให้ไม่กล้าขัด
ปู่หลินริมฝีปากกระตุก เขายืนนิ่งไม่ขยับตัว
หลินฟู่อินเห็นดังนั้นก็ยิ้ม ดันหลังผู้เป็ปู่เบาๆ “ท่านปู่ไปสิเ้าคะ อย่าให้ฟู่อินเป็ห่วงเลย ท่านต้องมีชีวิตยืนยาวนะเ้าคะ” หลินฟู่อินจงใจมองหลินต้าหลางจนอีกฝ่ายหลบสายตา “ท่านกับท่านย่าต้องรักษาสุขภาพให้ดี อีกหน่อยท่านยังต้องยินดีกับความสำเร็จของพี่ต้าหลางอีก!”
อู๋ซื่อแค่นเสียงเย็น
หลินฟู่อินหันไปมองนางแล้วหัวเราะ “ท่านย่า ข้าได้ยินท่านป้าใหญ่บอกว่าพวกท่านไม่แข็งแรงอีกแล้ว ทำเอาข้าใกลัวแทบแย่ แต่ท่านหมอหลี่มาเช่นนี้ข้าก็โล่งใจ จึงได้รีบไปที่ร้านท่านหวังเพื่อซื้อเนื้อมาหนึ่งจินกว่าๆ กับกระดูกชิ้นโตๆ มาตุ๋นเป็น้ำแกงเ้าค่ะ”
“ผู้เฒ่าหลินน่าอิจฉาจริงๆที่มีหลานสาวกตัญญูเช่นนี้! ดูสิ อย่าให้เด็กๆ เป็ห่วงเลย ให้ข้าช่วยตรวจชีพจรให้ท่านเถอะ” หมอหลี่ยิ้ม ทำสัญญาณมือเชิญปู่หลินเข้าไปในบ้าน ปู่หลินไม่อยากเสียหน้า ทั้งอีกฝ่ายยังใจดีไม่คิดค่ารักษา
สุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มกระอักกระอ่วน ทำท่าเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้าบ้านโดยมีอู๋ซื่อเดินตามเข้าไป
อีกด้านหนึ่ง จ้าวซื่อหายเจ็บแล้ว เห็นอู๋ซื่อวางตะกร้าไม้ไผ่ลงก็รีบก้าวออกมาอุ้มมันขึ้นทันที “เหอะ ร่ำรวยทว่ากลับตระหนี่ยิ่งนัก บ้านนี้จะขี้งกเกินไปแล้ว ซื้อของให้ผู้ใหญ่กลับมีเพียงเนื้อครึ่งจินกับกระดูกที่ไม่มีกระทั่งเนื้อติดด้วยซ้ำ จะซื้อให้ขอทานกินหรือยังไง?”
หลินฟู่อินกำลังเดินตามอู๋ซื่อเข้าไปในบ้าน พอได้ยินที่จ้าวซื่อพูดก็คิดอยากจะแทงอีกฝ่ายให้สิ้นเื่สิ้นราวไปเสีย
นางชะงักเท้า หันไปเลิกคิ้วตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม “หูท่านป้าไม่ดีหรือเ้าคะ? ข้าซื้อให้ท่านปู่ท่านย่า หากท่านกับบ้านท่านเข้าใจคำว่ากตัญญูจริงๆ แม้แต่น้ำมันสักหยดก็อย่าได้แตะต้อง!”
“โอ นางเด็กขี้งกนี่! เ้าสามกับเมียมีแต่คนพูดไม่เก่ง ไฉนจึงคลอดเด็กปากเสียเช่นเ้าออกมาได้?” ดวงตาจ้าวซื่อฉายประกายความโมโห ขณะที่หลินฟู่อินแค่นเสียงเหอะแล้วหมุนกายจากไป
แต่นางกลับเห็นหลินต้าหลางมองนางด้วยสายตาโกรธแค้น
“พี่ต้าหลาง บัณฑิตสมควรรักชื่อเสียง อีกหน่อยอย่ามองใครด้วยสายตาไม่ดีเช่นนี้อีก เพราะมันเห็นถึงความคิดในใจท่านได้ง่ายมาก” ดวงตาของเด็กสาวคมกริบ ทันทีที่เห็น นางก็เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอันตราย
หลินต้าหลางไม่ตอบ แต่เมื่อเห็นหลินฟู่อินไม่ได้ให้ค่าเขาอย่างจริงจังก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชังนางยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อหมอหลี่ตรวจชีพจรให้ปู่หลินเสร็จก็ยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าสุขภาพดีไม่มีปัญหา เพียงแต่ต้องระวังเื่อารมณ์เสียหน่อย อย่าได้โมโหมากไป”
ปู่หลินพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่าย
จากนั้นหมอหลี่ก็ตรวจชีพจรให้อู๋ซื่ออีกคน ครั้งนี้กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำให้อู๋ซื่อใจเต้นไม่เป็สุขขึ้นมา คิดว่านางเจ็บป่วยอะไรเสียแล้วจึงได้รีบถาม “ท่านหมอหลี่ ร่างกายข้ามีอะไรผิดปกติหรือไม่?”
“ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่อีกหน่อยเลี่ยงของมันๆ จะดีกว่า” หมอหลี่ยิ้ม
หลินฟู่อินนึกขำอยู่ในใจ อู๋ซื่อคนนี้ชอบหมูติดมันเยอะๆ ยิ่งกว่าอะไร เงินที่นางกับบ้านลุงสองมอบให้ นางคงเอาไปซื้อมันหมูชิ้นโตทุกวันเพื่อทำอาหารจนกลายเป็กินมากเกินไปกระมัง?
พอได้ยินว่าตนปกติดี คราแรกอู๋ซื่อก็โล่งใจ แต่พอได้ยินว่าให้กินอาหารมันๆ น้อยลง ใบหน้านางก็แดงก่ำขึ้นมา
ทันใดนั้นนางก็หันไปมองหลินฟู่อินโดยไม่รู้ตัว
เด็กสาวไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียหน้าเกินไปจึงได้แกล้งทำเป็คิดไม่ถึง แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา
อู๋ซื่อถอนหายใจโล่งอก แต่ใบหน้าของปู่หลินกลับแดงก่ำราวตับหมู อู๋ซื่อคิดว่าหลินฟู่อินไม่รู้ แต่ชายชราทราบดีว่าทันทีที่หมอหลี่พูดออกมา หลินฟู่อินก็คงคิดออกแล้ว
บ้านเดิมทุกวันนี้ส่งเงินส่วนหนึ่งให้ต้าหลาง แต่ยังเหลือส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้เองกับอาหารการกิน
เขาเพียงคิดจะเก็บเอาไว้เล็กน้อย แต่เมื่ออู๋ซื่อกับสะใภ้ใหญ่เอาแต่พูดว่าที่บ้านไม่มีน้ำมันกับน้ำลงท้องอยู่ทุกวันก็ทนไม่ไหว
เขารู้ดีว่ายายแก่ชอบกินยิ่งกว่าอะไร มันหมูพวกนั้นหนึ่งจินไม่กี่อีแปะจึงให้ยายแก่ซื้อมา ใครจะคิดว่าการกินมันมากเกินไปกลับไม่ดีต่อร่างกาย ถึงขั้นที่หมอหลี่ต้องเตือนออกมาเช่นนี้?
เื่นี้ทำเอาปู่หลินอับอายจนแทบจะะโแม่น้ำหนี ตอนนี้หน้าจึงดำเสียยิ่งกว่าก้นหม้อ
หากไม่ใช่หมอหลี่ยังนั่งอยู่ตรงนี้เขาคงโมโหจนสะบัดแขนเสื้อเดินออกจากห้องไปแล้ว
หมอหลี่ลุกขึ้นอธิบายอีกหลายคำแล้วจึงตั้งท่าจะจากไป
หลินฟู่อินถามอีกครั้ง “ท่านหมอหลี่เ้าคะ พี่ชายใหญ่ข้าบอกว่าหลายวันก่อนไปตามหาท่านพ่อข้าจนเป็ไข้แดด ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นหรือยังเ้าคะ?”
หมอหลี่ตวัดสายตามองหลินต้าหลาง “คนมีอาการไข้แดดอยู่เล็กน้อย ข้าเขียนเทียบยาให้แล้ว ดื่มยาตามที่ข้าสั่งเอาไว้ให้ไม่กี่เทียบก็หายดี ระมัดระวังเื่ร่างกาย อย่าออกแรงมากเพราะร่างกายกับกระดูกไม่ได้แข็งแรงมากนัก แต่เื่อื่นนับว่าปกติดี”
หมอหลี่ยังคิดว่าแปลกอยู่เช่นกันที่ผู้าุโเชิญเขามาตรวจชีพจรให้คนหนุ่มในหน้าร้อนเช่นนี้
อันที่จริงเื่นี้แม่นางหลินก็รักษาให้ได้ง่ายๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าคนบ้านนี้คิดอะไรกันอยู่
“ดีแล้วเ้าค่ะ เช่นนี้ข้าก็วางใจ” หลินฟู่อินพยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นก็หันไปหาหลินต้าหลาง “พี่ต้าหลางได้ยินแล้วนะเ้าคะ ท่านไม่มีปัญหาอะไร อย่าลืมออกกำลังกายเสียหน่อย ถึงจะต้องอ่านหนังสือ แต่งานบ้านเล็กๆ น้อยๆ น่าจะยังทำได้นี่เ้าคะ?”
ครั้งนี้เป็การสบประมาทหลินต้าหลางว่าร่างกายอ่อนแอไม่อาจทำงานหนักได้
ใบหน้าขาวของหลินต้าหลางกลายเป็สีแดงด้วยความโกรธ แต่หมอหลี่ยังอยู่ตรงนี้ เขาย่อมไม่กล้าแสดงท่าทีไม่ยั้งคิดออกไป
เพราะซิ่วไฉชราพ่อบุญธรรมของเขาเคยเตือนเอาไว้ว่า ถึงหมอหลี่จะเป็หมอในเมืองเล็กๆ แต่กลับเป็ตระกูลที่มีเื้ัยิ่งใหญ่ไม่อาจประมาทได้
หากสกุลหลี่ชื่นชอบเขา เมื่อสอบผ่านแล้วอีกหน่อยเื่นี้ย่อมมีประโยชน์มหาศาล
ส่วนมีประโยชน์อะไรนั้นซิ่วไฉชราก็บอกไม่ได้
หมอหลี่เดินตามหลินฟู่อินออกไป เพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย นางจึงตั้งใจเชิญปู่หลินให้ออกไปส่งด้วยกัน ปู่หลินรั้งรอครู่หนึ่ง รอให้หลินฟู่อินเอ่ยชวนหลินต้าหลางให้ไปส่งแขกด้วย ทว่าหลินฟู่อินอย่างไรก็ไม่อ้าปาก ทำให้ผิดหวังยิ่งนัก
หลินต้าหลางจึงเกลียดชังหลินฟู่อินยิ่งกว่าเดิม เขามองแผ่นหลังของเด็กสาวเดินออกไป ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่แม้แต่อู๋ซื่อยังหวาดกลัว…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้