แม้หลงเซี่ยวอวี่จะมิได้เอ่ยสิ่งใด แต่นางก็ยังคงรู้สึกหวาดผวาจากการถูกจับได้อยู่เนืองๆ
นางมิกล้ามองหลงเซี่ยวอวี่อีกต่อไป จึงวิ่งเข้าไปในตำหนักอวี่หานด้วยความเร็วสี่คูณร้อยอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังจะปิดประตู กลับถูกมือใหญ่พุ่งเข้ามาขวางกั้นเอาไว้เสียก่อน
มู่จื่อหลิงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว นางมองไปยัง หลงเซี่ยวอวี่ ผู้ที่กั้นประตูนางอยู่ นี่เป็ความเร็วระดับใดกัน ราวกับแค่หายวับก็มาถึงหน้าประตู ทว่านางกลับวิ่งหอบแฮก ช่างเป็ความแตกต่างของแต่ละบุคคลเสียจริง
“ท่านอ๋อง ยามนี้มืดแล้ว หม่อมฉัน้าอาบน้ำพักผ่อนเพคะ” มู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็พูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง แม้ในใจนางจะหวาดกลัว แต่สติปัญญาบอกนางว่ามิอาจเผยความอ่อนแอออกมาได้โดยเด็ดขาด
เหมือนว่าหลงเซี่ยวอวี่จะมิได้ฟังคำพูดของมู่จื่อหลิงเลยแม้แต่น้อย เขาไม่กล่าววาจาใด และมือก็ไม่ปล่อยออกเช่นกัน ั์ตาล้ำลึกคู่นั้นจ้องมาที่มู่จื่อหลิงตรงๆ ราวกับ้ามองนางจนทะลุอย่างไรอย่างนั้น
มู่จื่อหลิงถูกจ้องเสียจนจิตใจไม่สงบ จึงคิดจะถอยตามสัญชาตญาณ ทว่าในขณะที่นางถอยไปข้างหลังนั้น แขนยาวๆ ของหลงเซี่ยวอวี่ก็ยื่นไปดึงนางกลับมา
‘ตุบ’ ศีรษะของมู่จื่อหลิงปะทะเข้ากับอกแกร่งของหลงเซี่ยวอวี่ นางยังมิทันร้องออกมาด้วยความเ็ป มือใหญ่อบอุ่นของหลงเซี่ยวอวี่ก็โอบเอวคอดบางของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหมุนกายแล้วก้าวะโขึ้นไปในอากาศ
มู่จื่อหลิงในอ้อมแขนของเขานั้นสมองขัดข้องไปั้แ่ตอนที่ถูกหลงเซี่ยวอวี่โอบเอวแล้ว นางไม่เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย ดวงตากระจ่างใสเบิกกว้างชะงักค้าง คล้ายกับไข่มุกราตรีที่ส่องแสงแวววาวยามค่ำคืนที่มืดมิด
เมื่อครู่หลงเซี่ยวอวี่ทำสิ่งใดกัน ยามนี้นางอยู่ที่ไหน ข้างหูได้ยินเสียงเต้นของหัวใจอันทรงพลัง และกลิ่นเหมยหอมเย็นที่อวลเข้ามาในจมูก ทำให้นางได้สติขึ้นมาในชั่วพริบตา
นางออกแรงดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุม มิสนใจสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น จ้องถมึงทึงกล่าวอย่างมีโทสะ “หลงเซี่ยวอวี่ ท่านทำอันใด ปล่อยข้านะ”
“เ้าแน่ใจ?” หลงเซี่ยวอวี่มองสตรีร่างเล็กที่กำลังเดือดดาลในอ้อมอก ั์ตาทอประกายหยอกล้อ มิได้ปล่อยนาง แต่ทำท่าทีให้นางก้มลงไปมองด้านล่าง
มู่จื่อหลิงหยุดดิ้นรน มองลงไปตามสายตาของหลงเซี่ยวอวี่ ตอนไม่มองก็ไม่รู้ แต่พอมองก็ต้องใขึ้นมา
์! ยามนี้พวกเขากำลังเหาะอยู่ในอากาศ นี่คือเคล็ดวิชาตัวเบาในตำนาน หากหลงเซี่ยวอวี่ปล่อยนางลงในเวลานี้ ไม่ตายก็คงพิการแล้ว
หลงเซี่ยวอวี่ที่จ้องการเปลี่ยนแปลงของสีหน้ามู่จื่อหลิงมาโดยตลอด จู่ๆ ก็คลายมือออกเล็กน้อย
“กรี๊ด! อย่านะ” มู่จื่อหลิงส่งเสียงร้องอย่างใ สองแขนโอบรัดเอวแกร่งของหลงเซี่ยวอวี่ไว้ตามสัญชาตญาณ
ฮือๆ นางใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว ต่อให้นางต้องตาย นางก็ปรารถนาที่จะตายอย่างงดงาม นางไม่อยากตายอย่างขาดหัวขาดขา
มู่จื่อหลิงอกสั่นขวัญแขวนมาตลอดทั้งทาง ยามนี้ถึงพื้นดินอย่างราบรื่นแล้ว ทว่านางก็ยังคงกอดเอวของหลงเซี่ยวอวี่เอาไว้แน่น กระทั่งได้ยินเสียงที่แฝงแววบังคับจากเหนือศีรษะ
“ปล่อยมือ” น้ำเสียงอึดอัดของหลงเซี่ยวอวี่เหมือนกับกำลังข่มกลั้นสิ่งใด เขาเห็นท่าทางกลัวตายของมู่จื่อหลิงเมื่อสักครู่ก็มิได้มีความรู้สึกรังเกียจเช่นแต่ก่อน ในใจปรากฏความรู้สึกอันน่าประหลาด ทว่าความรู้สึกนั้นถูกเขามองผ่านไป
มู่จื่อหลิงถึงรู้สึกตัวว่าได้ถึงพื้นโดยสวัสดิภาพแล้ว และนางกำลังกอดหลงเซี่ยวอวี่แน่น
นางจึงดีดตัวออกอย่างรวดเร็ว ถอยหลังให้ห่างออกไปอีกสองสามก้าว มองไปรอบๆ ที่แห่งนี้คือ ‘ตำหนักหนานเหอ’ ในวังหลวงมิใช่หรือ นางเคยได้ยินหลงเซี่ยวเจ๋อพูด ตำหนักหนานเหอเป็ตำหนักที่พำนักขององค์ชายห้า ความสัมพันธ์ของหลงเซี่ยวหนานกับพวกเขาก็มิเลวนัก
เมื่อจัดการอารมณ์เรียบร้อย นางจึงถามหลงเซี่ยวอวี่ด้วยความงงงันว่า “ท่านอ๋อง พาหม่อมฉันมาทำอันใดที่นี่เพคะ”
“รักษา” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยขึ้นมาสองคำอย่างเ็า จากนั้นก็ไม่สนใจปฏิกิริยาของมู่จื่อหลิงอีก เขาก้าวเท้าเข้าไปตำหนักหนานเหอทันที
รักษา? รักษาให้ผู้ใด ในวังมีหมอหลวงมิใช่หรือ ทั้งยังมีเล่อเทียนที่ทักษะการแพทย์น่าจะร้ายกาจมากผู้นั้นอีก
เหตุใดหลงเซี่ยวอวี่จึงต้องไปพบนาง แล้วนางก็ยังมิได้รับปากว่าจะรักษาเสียหน่อย เห็นหลงเซี่ยวอวี่เดินไปแล้ว นางจึงมิได้คิดสิ่งใดอีก ก้าวเท้าตามไปด้านหลังหลงเซี่ยวอวี่
-
ภายในตำหนักนั้นระเกะระกะเรี่ยราดไปหมด สิ่งของทุกอย่างที่สามารถหล่นลงมาได้ก็ล้วนแตกหัก ไม่เห็นนางกำนัลและขันทีแม้สักคน มู่จื่อหลิงไม่เข้าใจ ตกลงแล้วเกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงกลายสภาพเป็เช่นนี้
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเดินออกมาจากด้านหลังของฉากกั้น “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง หวางเฟย”
“เป็อย่างไร” หลงเซี่ยวอวี่ถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“องค์ชายห้ากินยาสงบใจ ยามนี้หลับไปแล้วขอรับ” กุ่ยเม่ยตอบอย่างนอบน้อม
ผู้ที่ป่วยคือหลงเซี่ยวหนาน? เหตุใดนางจึงมิเคยได้ยินหลงเซี่ยวเจ๋อบอกว่าหลงเซี่ยวหนานป่วยมาก่อน เป็โรคใดกันถึงได้อาละวาดจนกลายเป็เช่นนี้ ไม่รอให้หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยปาก นางก็เดินเข้าไปด้านในฉากกั้นด้วยตนเอง
บนเตียงมีบุรุษรูปงามที่ทั่วทั้งกายตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถนอนอยู่อย่างสงบนิ่ง ราวกับเพิ่งผ่านาแห่งความเป็ความตายมาก็มิปาน
มู่จื่อหลิงไม่พูดพร่ำทำเพลงเริ่มต้นใช้งานระบบซิงเฉิน และเริ่มตรวจดูอาการ บนกายไม่มีสิ่งผิดปกติ หรือจะเป็ที่สมอง จากนั้นจึงตรวจสอบสมองของหลงเซี่ยวหนานทันที
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว จริงเสียด้วย บนสมองของหลงเซี่ยวหนานมีเนื้องอก ทั้งขนาดมิใช่เล็กๆ เลย มิน่าเล่าหลงเซี่ยวหนานถึงอาละวาด คงเป็เพราะปวดศีรษะกระมัง
“ท่านอ๋อง บนศีรษะขององค์ชายห้าอาจจะมีสิ่งผิดปกติอยู่ ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เขาปวดจนยากที่จะทานทน จึงอาละวาดเพคะ” มู่จื่อหลิงกล่าวออกมาง่ายๆ
นางมิกล้ากล่าวอย่างละเอียด คนไม่รู้คงคิดว่านางมีตาทิพย์ เป็สัตว์ประหลาด เพียงแค่มองก็สามารถมองออกว่าเนื้องอกบนสมองของหลงเซี่ยวหนานมีขนาดเท่าใด รูปร่างเป็แบบไหน
“รักษาได้?” หลงเซี่ยวอวี่มิอาจปฏิเสธได้ว่ามู่จื่อหลิงนั้นกล่าวคล้ายคลึงกับเล่อเทียน แล้วเหตุใดพวกหมอไร้ฝีมือในวังกลุ่มนั้นถึงดูไม่ออกว่ามีบางสิ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว
“เหตุใดท่านอ๋องมิเชิญเล่อ...” หลงเซี่ยวหนานมิใช่คนธรรมดาทั่วไป เผื่อเล่อเทียนสามารถรักษาได้ สายน้ำในวังหลวงช่างลึกล้ำนัก นางมิอยากตกลงในน้ำโคลนบ่อนี้ หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยหัวอาจจะหลุดจากบ่าได้
ทว่าขณะที่กำลังจะถามข้อสงสัยในใจออกไป ยังมิทันกล่าวจบก็ถูกเสียงเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่ตัดบท
“รักษาได้หรือไม่” หลงเซี่ยวอวี่ราวกับรู้ว่า้าถามสิ่งใด น้ำเสียงเย็นๆจึงส่อแววจวนจะหมดความอดทน
มู่จื่อหลิงกลอกตาในใจอย่างเงียบๆ ้าให้นางช่วยชีวิตคนยังใช้ท่าทางเช่นนี้ นางไม่เต็มใจรักษาให้แล้ว
นางจงใจเลี่ยงคำถามของหลงเซี่ยวอวี่ แสร้งกล่าวด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง “ท่านอ๋อง วันนี้หม่อมฉันนั่งรถม้ามาทั้งวัน วิงเวียนศีรษะ ทั้งยังเหนื่อยล้าอยู่บ้างเพคะ”
ยามที่กล่าววาจานี้ แม้สีหน้ามู่จื่อหลิงจะนิ่งสงบ ทว่าในใจนั้นดีดลูกคิดคำนวณอย่างขี้ขลาด
นี่เป็ครั้งแรกที่นางเพิกเฉยต่อคำพูดหลงเซี่ยวอวี่ แต่วาจาที่นางกล่าวไปนั้นล้วนเป็จริงทั้งหมด วันนี้ถูกรถม้าสั่นะเืมาทั้งวัน หากไม่ถูกหลงเซี่ยวอวี่ลักพาตัวมาที่แห่งนี้ นางคงเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว
ต่อให้นางอยากช่วยคน ยามนี้ก็ไร้กำลังอยู่ดี
กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยด้านข้างได้ยินวาจามู่จื่อหลิงที่เพิกเฉยต่อหลงเซี่ยวอวี่ ก็ใจนแทบจะหยุดหายใจ
นี่หวางเฟยกำลังทำอันใดอยู่กัน นางถึงกล้าเมินเฉยต่อท่านอ๋อง ใต้หล้านี้ผู้ที่เมินเฉยต่อท่านอ๋องเยี่ยงนี้คงมีแค่หวางเฟยผู้เดียวเท่านั้น
กุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ยลอบสบสายตากัน ก้มหน้าลงอย่างรู้เท่าทัน ไม่กล้ากระทั่งส่งเสียงหายใจแรง รอให้หลงเซี่ยวอวี่ะเิโทสะ
เวลาราวกับหยุดอยู่ไปชั่วขณะทันทีที่มู่จื่อหลิงกล่าววาจาจบ ทั้งห้องเงียบสงัด แม้แต่เสียงหายใจก็ได้ยินอย่างชัดเจน
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่มิได้กล่าววาจาเป็นาน อีกทั้งใบหน้าก็ยังไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์อันใดแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกไม่สงบในใจนางกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางเสียใจในภายหลังเข้าเสียแล้ว เสียใจที่เมื่อครู่ตนทำท่าทีโอหังออกไป แค่กล่าวไปว่ารักษาได้ก็จบแล้วมิใช่หรือ
ในที่สุด หลงเซี่ยวอวี่ก็เอ่ยปาก ทว่าเป็การออกคำสั่งแก่กุ่ยหยิ่งและกุ่ยเม่ย “ดูไว้ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามาทั้งนั้น”
จากนั้นเขาก็เหลือบมองมู่จื่อหลิง พูดออกมาอย่างเย็นเยียบหนึ่งคำ “ไป!”
พูดจบเขาก็เดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา
ทิ้งให้สามคนที่สติหลุดอยู่ด้านในห้อง นี่คือสถานการณ์เช่นใด เหตุใดท่านอ๋องไม่โกรธกริ้ว? หลงเซี่ยวอวี่ให้นางไปจริงๆ หรือ? นางก็แค่กล่าวไปเช่นนั้นมิใช่ว่าจะไม่ช่วยคนจริงๆ เสียหน่อย
“ยังไม่มาอีก” เสียงเย็นเยียบดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง
ยามนี้มู่จื่อหลิงแน่ใจแล้วว่า หลงเซี่ยวอวี่ให้นางไปได้แล้ว หลงเซี่ยวอวี่มิให้นางรักษาต่อแล้วหรือ หรือเพียงแค่ถามเพื่อคิดจะทดสอบนางเท่านั้น นางไม่คิดอันใดให้มากความ ก้าวเท้าเดินออกไปทันที
เมื่อออกมาจากประตู มู่จื่อหลิงที่มองดูท้องฟ้ามืดมิดก็ถอนหายใจ กล่าวกับหลงเซี่ยวอวี่ด้วยท่าทางไม่สบายใจ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันทูลลาไปก่อนนะเพคะ”
กล่าวจบมู่จื่อหลิงก็เตรียมลงบันได แต่แล้ว่เอวก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งของหลงเซี่ยวอวี่ยื่นเข้ามาโอบนางเข้าไปไว้ในอ้อมอก ท่าทางเช่นเดียวกับตอนที่มา จากนั้นจึงสำแดงวิชาตัวเบา ลอยขึ้นไปในอากาศ
มู่จื่อหลิงอยากจะร้องไห้อย่างไร้น้ำตา นางยินยอมเดินกลับจวนอ๋อง ต่อให้ฟ้าจะมืดแล้ว และไม่มีรถม้าก็ตาม
หรือต่อให้นางเดินไปถึงจวนอ๋อง ฟ้าจะสว่างแล้วก็ตาม แต่นางก็ไม่อยากใช้วิธีเช่นนี้กลับไป บุรุษผู้นี้มิได้เป็โรครักสะอาดขั้นรุนแรงหรอกหรือ เหตุใดจึงได้อุ้มนางครั้งแล้วครั้งเล่ากัน
มู่จื่อหลิงแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ แค่ขยับก็มิกล้าขยับ ตลอดทั้งทางทั้งสองไม่มีวาจาใดต่อกัน หลงเซี่ยวอวี่พามู่จื่อหลิงมาส่งหน้าประตูตำหนักอวี่หาน ทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคเดียวแล้วก็ไป
ปล่อยให้มู่จื่อหลิงสับสนวุ่นวายอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี นึกถึงวาจาเมื่อครู่ของหลงเซี่ยวอวี่ “วันรุ่งขึ้นจะมารับเ้า ไม่มีธุระมิต้องออกไปไหน”
นางกำลังจะอธิบายว่าวันพรุ่งนี้นางไม่ว่าง วันพรุ่งนี้นางต้องเตรียมยาไปส่งที่สวนจิ้งซิน ทว่าหลงเซี่ยวอวี่มิให้โอกาสนางเลยแม้แต่น้อย ยังมิทัยทำสิ่งใดก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาเสียแล้ว
เหตุใดความคิดของบุรุษผู้นี้ถึงได้เดาทางยากเช่นนี้ เขาหมายความว่าอันใดกันแน่ เดี๋ยวก็ให้นางรักษา เดี๋ยวก็มิให้นางรักษา แล้วพรุ่งนี้ยังจะมารับนางไปรักษาอีก
เหมือนมู่จื่อหลิงจะลืมที่ตนเพิ่งกล่าวไปขณะอยู่ที่ตำหนักหนานเหอว่าตนเองเหนื่อยแล้ว ้ากลับมาพักผ่อน ทั้งยังคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่วุ่นวายมากเื่เสียจริง
“นายน้อย ท่านไปที่ใดมาเ้าคะ” เสียงร้อนใจของเสี่ยวหานดังออกมาจากด้านหลัง
มู่จื่อหลิงจึงนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ให้เสี่ยวหานไปเตรียมน้ำที่ไว้สำหรับอาบ ตนกลับถูกหลงเซี่ยวอวี่พาไปโดยมิทันได้ส่งเสียงร้องสักแอะ เด็กสาวผู้นี้คงจะกังวลใจที่หานางไม่เจอ
“ไม่เป็ไร เมื่อครู่ข้าไปนั่งที่ลานด้านหลังมาพักหนึ่ง ลืมที่สั่งเ้าไว้น่ะ” มู่จื่อหลิงกล่าวยิ้มๆ นางมิกล้าเล่าให้แม่นางน้อยผู้นี้ฟังว่าถูกหลงเซี่ยวอวี่พาตัวไป เลี่ยงมิให้นางคิดมั่วซั่ว
“ไม่เป็ไรก็ดีเ้าค่ะ น้ำสำหรับอาบเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นายน้อยรีบเข้าไปก่อนเถิด” เสี่ยวหานผงกหัวอย่างซื่อบื้อ มิได้สงสัยวาจาของมู่จื่อหลิงอย่างสิ้นเชิง
“อืม เ้าไปนอนก่อนเถิด วันรุ่งขึ้นเ้าปลุกข้าก่อนยามปกติหนึ่งชั่วยาม ข้ามีเื่ต้องทำ”
มู่จื่อหลิงนึกขึ้นได้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ต้องมาพรุ่งนี้ นางจึงได้แต่ตื่นเร็วขึ้นไว้ก่อน เพื่อเตรียมวัตถุดิบยาที่ค่อนข้างหายากไว้ ส่วนยาทั่วๆ ไปก็ให้เสี่ยวหานไปซื้อตามร้านยา หลังจากนั้นค่อยส่งไปที่สวนจิ้งซิน
เสี่ยวหานรู้ว่าตอนที่มู่จื่อหลิงอาบน้ำนั้นไม่อยากให้คนเข้าไปปรนนิบัติ จึงพยักหน้า “วันรุ่งขึ้นบ่าวจะมาปลุกนายน้อยให้ตรงเวลา บ่าวขอตัวก่อนแล้วเ้าค่ะ”
-
เช้าตรู่ แสงแรกยามอรุณรุ่งทอสีอ่อน
มู่จื่อหลิงถูกเสี่ยวหานปลุกขึ้นมาจากห้วงแห่งความฝัน เมื่อนึกได้ว่ามีเื่ที่ต้องทำจำนวนมาก จึงไม่โอ้เอ้บนเตียงอีก ลุกขึ้นมาในทันที
นางหวีผมล้างหน้าอย่างง่ายๆ ก็ไปที่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือหยิบดินสอถ่านที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้มาเขียนเทียบยาจนส่งเสียงดัง ‘แกรกแกรก’ แล้วให้เสี่ยวหานพาบ่าวรับใช้ไปซื้อที่ร้านยา
ส่วนนางเองก็ไปเตรียมรถม้าเอาไว้ล่วงหน้า นำยาออกมาจากระบบซิงเฉินจัดวางให้เรียบร้อย
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พวกเสี่ยวหานก็นำตัวยาห่อน้อยใหญ่กลับมา มู่จื่อหลิงจึงให้พวกเขานำห่อยาไปวางในรถม้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้