เวินซีขมวดคิ้ว
ทั้งสองล้วนประกาศว่ายาของตนสามารถแก้พิษที่มาจากเครื่องหอมของตระกูลเวินได้ ทันใดนั้นความสงสัยของเหล่าฝูงชนพลันเพิ่มพูนทวีคูณทันที
“พูดได้เก่งกว่าร้องเพลง [1] เสียอีก ไอ้พวกคนเจียงหูจอมหลอกลวง”
“ยาของข้าสามารถลบรอยแผลเป็ได้ทุกชนิด หากไม่จริง ยินดีเปลี่ยนคืน” บุรุษผู้นั้นตอบอย่างไม่พอใจ “หากท่านไม่เชื่อ ข้าจะขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน หากยาของข้าใช้ไม่ได้ผล ขอให้ข้าโดนฟ้าผ่าตาย”
คนในยุคนี้ล้วนหัวโบราณและงมงายกันทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ก็มีแต่เชื่อคำสาบาน ดังนั้นจึงเริ่มมีคนที่สนใจอยากจะซื้อของ เข้ามาพูดคุยเื่ราคาและเตรียมจะซื้อยาของเขา เมื่อเห็นได้ชัดว่าตนเองกำลังจะเสียเปรียบ เวินซีก็ขมวดคิ้วอย่างอดมิได้
นางเก่งทุกเื่ ไม่ว่าจะเป็การฆ่าคนหรือวางเพลิง ทว่าเื่การตั้งแผงขายของนั้นกลับเป็เื่ทำให้นางลำบากใจทุกครั้ง หากรู้เช่นนี้แต่แรกนางคงจะพาจ้าวต้านมาด้วยนานแล้ว
ในตอนที่กำลังลำบากอยู่นั้น ด้วยความที่เด็กน้อยกำลังหิว ซันซานจึงยื่นมือออกไปหยิบเม็ดยาใส่ปาก
เวินซีคว้าไว้ไม่ทัน หันมาอีกทีเขาก็กลืนมันลงไปแล้ว
“อาหย่อย!” เพราะว่าซันซานเพิ่งจะเริ่มหัดพูด เสียงที่ออกมาจึงยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก มันกลายเป็คำว่า “อาหย่อย” แทน
เมื่อมองดูคราบยาสีดำที่เลอะข้างปากของซันซาน เวินซีก็ยิ้มออกมา
นางคิดออกแล้วว่าจะขายยานี้ได้อย่างไร!
......
ในตอนที่จ้าวต้านรีบตามมาสมทบที่ตลาดกับเอ้อเอ้อร์ ยาของเวินซีก็ถูกแย่งซื้อไปจนหมดแล้ว ส่วนคนที่บอกว่าตนเองเป็ผู้สืบทอดการแพทย์ของเผ่าเมี่ยวนั้น กลับขายยาไม่ออกเลยสักเม็ด
ยังไม่ทันที่จ้าวต้านจะเอ่ยปาก เวินซีก็นำซันซานยัดใส่ในอ้อมแขนของเขา “เ้าดูแลเขาก่อนนะ!”
จ้าวต้านยืนอยู่กับที่ ก้มลงมองยาที่เลอะติดปากของซันซานจึงเข้าใจได้ในทันที
เวินซีน่าจะใช้เด็กน้อยช่วยขายของแล้วน่ะสิ เพราะว่ายาที่เด็กอายุหนึ่งขวบสามารถทานได้ ย่อมไม่มีผลข้างเคียงอยู่แล้ว
นับว่าเป็วิธีที่ฉลาดล้ำแล้วจริงๆ
พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าแล้ว ผู้คนในตลาดค่อยๆ บางตาลง ส่วนบุรุษที่บอกว่าตนเองสืบทอดทักษะการแพทย์ของเผ่าเมี่ยวกลับกำลังเก็บของอย่างเศร้าสร้อย เขาเองก็เตรียมตัวกลับแล้วเช่นกัน
ในยามที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองทันที
สตรีที่อยู่เบื้องหน้ากำลังมองตรงมาพร้อมสายตาเ็า หัวใจของเขาสั่นสะท้านไปชั่วขณะ แต่ก็แสร้งทำตัวนิ่งสงบแบกสัมภาระขึ้นบ่า สุดท้ายก็เอ่ยปากอย่างไม่พอใจ “มีเื่อันใด?”
เวินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “ผู้ใดสั่งให้เ้าทำเช่นนี้?”
บุรุษผู้นั้นตื่นใขึ้นมาทันที สีหน้าไม่น่ามองเป็อย่างยิ่ง “เ้าหมายความอย่างไร? ข้าขายยาประทังชีวิต ไม่มีผู้ใดสั่งเสียหน่อย”
เวินซีเอ่ยพร้อมแววตาเหยียดหยัน “ในเมื่อข้ามาถามเ้า ข้าย่อมมั่นใจในสิ่งที่ตนเองถาม หากเ้า้าจะปิดบังต่อไป จะรอดูผลร้ายที่ตามมาก็ย่อมได้เช่นกัน”
บุรุษผู้นั้นอดที่จะตัวสั่นเทามิได้
เื่ของท่านย่าจ้าว เขาเองก็ได้ยินมาบ้างเช่นกัน แต่ในเมื่อรับเงินจากนางมาแล้วก็ต้องช่วยนางกำจัดปัญหาให้สำเร็จ หากทำให้นางหมดความเชื่อใจละก็...
บุรุษผู้นั้นมีสีหน้าลำบากใจ
เวินซีี้เีพูดมาก จึงยื่นมือข้างหนึ่งไปทางหน้าอกของเขา เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที “ข้าพูดแล้ว ข้ายอมพูดทุกอย่างแล้ว มีคนผู้หนึ่งให้เงินข้ามา บอกให้ข้าคอยจับตาดูเ้าเอาไว้...”
อันที่จริงเวินซีเดาได้อยู่แล้วว่าเป็ผู้ใด
นางหาได้มีความสัมพันธ์เลวร้ายกับผู้ใดไม่ คนที่เคยทุกข์ทรมานเพราะน้ำมือของนางและเกลียดนางจนเข้าไส้ ย่อมมีเพียงท่านย่าจ้าวคนเดียวเท่านั้น
ดูท่าแล้ว การสั่งสอนครานั้นคงทำให้ท่านย่าจ้าวไม่กล้าสู้กับนางแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน สุดท้ายถึงได้ส่งคนมาคอยรังควานสร้างปัญหาให้นางแทน
การเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านนอกห้องเมื่อคืนนี้ก็น่าจะเป็ฝีมือของบุรุษผู้นี้ด้วยเช่นกัน
เวินซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองบุรุษที่ตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้า “อยากจะมีชีวิตยืนยาวกว่านี้หรือไม่?”
ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาพยักหน้าซ้ำๆ
“เช่นนั้นก็ช่วยข้าจัดการเื่นี้ที...”
...
เช้าตรู่วันต่อมา เวินซีไม่ได้พักผ่อนเลยทั้งคืน นางตื่นขึ้นมาพร้อมความโกรธเกรี้ยว
เมื่อคืนนี้นางต้องลุกขึ้นกลางดึกเพื่อฝังเข็มให้จ้าวต้านอีกเช่นเดิม แต่กลับพบว่าหนอนกู่ที่มีอยู่นั้นยากที่จะควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจึงทำได้เพียงฝังเข็มเพิ่มอีกหลายจุดถึงจะควบคุมมันได้ แต่จุดฝังเข็มที่เพิ่มขึ้นล้วนเป็จุดสำคัญ หากไม่ระวังให้ดี แม้จะเป็เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีโอกาสทำให้เข็มเงินเคลื่อนตัวและเป็อันตรายถึงชีวิตได้
นางไม่กล้าหลับ จึงนั่งเฝ้าเขาจนถึงตอนรุ่งสาง
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เพิ่งจะหลับไปได้ไม่นาน แต่กลับได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านนอก
นางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะด้วยความรำคาญ
วันนี้จ้าวต้านไม่ออกไปล่าสัตว์ ในเมื่อมีเขาอยู่ด้วย หากเกิดเื่ใหญ่อันใดก็ไม่จำเป็ต้องให้นางออกหน้า แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้หลับไปอีกครา ประตูห้องก็ถูกคนชนจนเปิดออก
เวินซีลุกขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ นางกำลังเตรียมจะด่าทออย่างโกรธเคือง ก็ทันได้เห็นเอ้อเอ้อร์วิ่งโซเซเข้ามา “พี่สะใภ้ เกิดเื่แล้วเ้าค่ะ! มีคนล้อมบ้านของเราไว้ ยียีไปสำนักศึกษามิได้เลยเ้าค่ะ...”
บ้านถูกล้อมหรือ?
“ผู้ใดมากัน?”
“ท่านพี่บอกว่าเป็คนที่จะมาซื้อยาของท่านเ้าค่ะ!”
เวินซี “...”
นางถอนหายใจ อารมณ์อำมหิตที่เคยมีอยู่รอบกายพลันสลายหายสิ้นในทันที หญิงสาวตัวอ่อนยวบ กลับลงไปนอนแผ่บนเตียงและใช้ผ้าห่อตัวไว้ดังเดิม “บอกพวกเขาว่าตอนนี้ที่บ้านเราไม่มียาแล้ว ให้พวกเขามาใหม่วันพรุ่งก็แล้วกัน”
เอ้อเอ้อร์ปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง นางวิ่งกลับไปที่ประตูทันใด
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโหวกเหวกโวยวายที่อยู่ด้านนอกจึงหยุดลง
แววตาของเวินซีที่อยู่ในผ้าห่มนั้นทอประกายเปล่งแสงที่เต็มไปด้วยความสุข นางนอนี้เีอยู่บนเตียงอีกสักพัก จนกระทั่งเอ้อเอ้อร์มาเรียกให้ไปทานข้าว นางถึงได้ตื่นขึ้นไปล้างหน้าล้างตา
หลังจากทานข้าวเสร็จ ที่ด้านนอกประตูก็มีเสียงพูดคุยจอแจดังขึ้นมา
“คุณหนูเวินซีอาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่?” มีเสียงคนแก่ที่ดูรีบร้อนดังแว่วเข้ามา
เวินซีเดินไปเปิดประตู เมื่อเห็นหน้าตาของผู้มาเยือน แววตาที่เ็าของนางก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น
“พ่อบ้านลู่ มาทำอันใดที่นี่กันเ้าคะ?” จากความทรงจำของเ้าของร่าง เมื่อก่อนตอนที่นางยังอยู่ในจวนตระกูลเวิน นอกจากเวินอี๋เหนียงแล้วก็ยังมีพ่อบ้านลู่ที่ปฏิบัติต่อพวกนางดีเหลือเกิน เขาไม่เคยดูถูกพวกนางสองคนเลย เวินซีจึงปฏิบัติต่อเขากลับด้วยสุภาพเช่นกัน
“ท่าน... คือคุณหนูจริงๆ หรือขอรับ?”
สตรีที่อยู่เบื้องหน้างดงามราวกับนาง์ พ่อบ้านลู่ใมากจนไม่กล้าเดินเข้าไปหา
“เข้ามาก่อน แล้วค่อยๆ คุยกันเถิดเ้าค่ะ” เวินซีเอ่ยปากต้อนรับเขา
ทันทีที่พ่อบ้านนั่งลงก็บอกจุดประสงค์ของตนที่มาที่นี่ทันที “นายท่านสั่งให้ข้ามาเชิญคุณหนูไปทานข้าวที่ตระกูลเวินเพื่อปรับความเข้าใจกันน่ะขอรับ”
สำหรับเื่นี้ พ่อบ้านลู่เองก็ทำอันใดไม่ถูกเช่นกัน “ตระกูลเวินในเวลานี้ยุ่งเหยิงเละเทะเป็โจ๊ก ธุรกิจก็ซบเซาลงเรื่อยๆ เื่ไม่กี่วันก่อนที่มีคนไปแจ้งทางการก็ยังไม่ได้แก้ไข...”
“พ่อบ้านลู่ ไม่ต้องพูดอันใดให้มากความ รบกวนท่านกลับไปบอกเขาหน่อยก็แล้วกันว่าตอนเย็นข้าจะเข้าไปเยี่ยม” เวินซีตอบรับไปตามตรง
“ได้เลยขอรับๆ” พ่อบ้านลู่เกรงว่าเวินซีจะเปลี่ยนใจ จึงไม่ได้รั้งรออยู่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว และรีบกลับจวนไปรายงานทันที
เมื่อส่งพ่อบ้านลู่ออกไปได้แล้ว จ้าวต้านถึงได้เดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะเข้าใจอันใดเท่าไร่นัก
“อย่างไรข้าก็เป็สามีเ้า ข้าจะไปด้วย” ตระกูลเวินเปรียบเสมือนถ้ำเสือ แม้จ้าวต้านจะรู้ความสามารถของเวินซีดี แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ไว้ใจที่แห่งนั้น
แต่แม้ว่าเขาจะคิดเช่นนั้น ทว่ากลับเอ่ยคำพูดที่ฟังหวานซึ้งกินใจเ่าั้ไม่ออก
เวินซีที่กำลังกลั่นยาอยู่ตามปกติ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่แล่นผ่าน
“ได้สิ” นางมิได้เงยหน้าขึ้นมอง หลังจากที่ตอบตกลงแล้วก็ยังคงใช้สมาธิกับการกลั่นเม็ดยาต่อไป
เมื่อใกล้จะถึงเวลา นางก็เริ่มเตรียมตัวไปงานเลี้ยง
นางเขียนจดหมายหลายฉบับ แล้วให้เศษเงินกับขอทานเพื่อขอให้ช่วยนำจดหมายไปส่งยังทุกตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมือง จากนั้นก็เขียนจดหมายลับอีกฉบับส่งไปให้จวนของทางการ
เมื่อถึงตอนกลางคืน นางกับจ้าวต้านก็แต่งกายอย่างเต็มยศ และพากันไปที่จวนตระกูลเวิน
ทันทีที่เดินไปถึงหน้าประตู ก็มีคนรับใช้ะโลั่น
“ดูสิ คุณหนูรองกลับมาแล้ว!”
คนรับใช้กลุ่มหนึ่งรีบพากันออกมา ทันทีที่เวินซีปรากฏตัว ต่างก็พากันอ้าปากค้างด้วยความใ
“นี่คือคุณหนูรองจริงหรือ?”
“เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน...”
เชิงอรรถ
[1] พูดได้ดีกว่าร้องเพลง 说的比唱的好听 หมายถึงพูดได้ดี พูดได้น่าฟังแต่ล้วนเต็มไปด้วยความเ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้