“คุณหนูเวินซี นี่...”
ขอทานเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ได้แต่มองสลับไปมาระหว่างเสี่ยวเอ้อคนนั้นกับเวินซีด้วยสีหน้ากังวล
“รอดูก่อน” เวินซีขมวดคิ้วด้วยความสับสนมาก
หรือว่าจะมีผู้ที่ข้ามเวลาคนอื่นมาอีก? พอเห็นว่าร้านของนางโด่งดังจึงเปิดร้านตาม?
“หม้อไฟ? จริงหรือ?”
“ในเมื่อเป็หม้อไฟเหมือนกัน เราจะไปร้านใดดี?”
“ร้านนี้คนเยอะมาก รอจนค่ำก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาพวกเราหรือไม่ เช่นนั้นพวกเราลองไปที่ร้านนั้นดูเถิด”
“แต่เมื่อวานที่ข้าทานที่เวินเซียงเก๋อรสชาติดีมากเลยนะ ไม่รู้ว่าร้านใหม่อาหารจะรสชาติเป็อย่างไรนี่”
...
ผู้คนในแถวพากันเคลื่อนไหว
เมื่อเห็นเช่นนั้น เสี่ยวเอ้อก็เข้าไปในร้านและนำแผ่นป้ายไม้ออกมาซึ่งมีราคาเขียนอยู่ ราคานั้นถูกกว่าเวินเซียงเก๋อกว่าครึ่ง
“ทุกท่าน วันนี้วันเปิดร้าน เราขายครึ่งราคาขอรับ”
นั่นก็หมายความว่าราคาของวันนี้ลดลงจากบนป้ายอีกครึ่งหนึ่ง
คำพูดของเขานั้นราวกับะเิที่ตกลงบนผืนน้ำ ทำให้ผู้ที่ต่อแถวอยู่แตกออกเป็กลุ่มก่อนจะพากันเข้าไปที่หลิวเซียงจวี พวกเขาปล่อยมือจากกระดาษที่พับไว้เมื่อครู่ กระดาษหล่นลงบนพื้นและถูกเหยียบจนมองรูปร่างไม่ออก
“ไม่ต้องเบียดกันขอรับ เรามีพื้นที่เพียงพอ”
“ลูกค้าที่อยู่ด้านหลังเชิญชั้นสองเลยขอรับ”
“วันนี้ผู้ที่มาอุดหนุน เราจะมอบไข่ไก่ให้สองฟองกับทุกท่านเลยขอรับ”
เสี่ยวเอ้อกล่าวทักทายผู้คนพลางะโเสียงดัง
เมื่อมีผลประโยชน์มาจูงใจมากยิ่งขึ้น ประตูร้านของเวินเซียงเก๋อที่เคยมีผู้คนพลุกพล่านก็ซบเซาลงทันที ลูกค้าที่อยู่ในร้านต่างหวั่นไหวกับการป่าวประกาศของร้านข้างๆ และมีคนไม่น้อยที่ใช้โอกาสนี้ขอยกเลิกอาหารที่ยังมาไม่ถึง
จำนวนคนในร้านลดลงอย่างรวดเร็ว เก้าอี้ถูกทิ้งไว้อย่างมั่วซั่ว สภาพด้านในของร้านราวกับถูกปล้น
พวกขอทานพยายามโน้มน้าวให้ลูกค้าอยู่ต่อ แต่ก็ไม่ได้ผล เขามองหาเวินซีด้วยสีหน้ากังวล “คุณหนูเวินซี จะทำอย่างไรดีขอรับ?”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เื่นี้ต้องมีอันใดผิดปกติแน่”
เวินซีจ้องมองไปที่ป้ายราคานั้น แววตาของนางมืดดำ สีหน้าเ็า ไม่นานนักก็เดินกลับเข้าไปในร้าน
“คุณหนูเวินซี ข้าขอคืนเงินได้หรือไม่?”
“คุณหนูเวินซี ข้ายังไม่ได้ทานเลย ดูสิ...”
“เถ้าแก่ อาหารท่านแพงไปแล้ว ร้านข้างๆ ยังดีกว่า”
แต่ทันทีที่นางเข้าร้านไป ก็ได้ยินเสียงเหล่านี้
“คุณหนูเวินซี มิใช่ว่าพวกเราทำเกินไปนะ แต่ราคาอาหารของท่าน...”
“ใช่ พวกนั้นจ่ายไม่เท่าไหร่กันเอง?”
“ก็เป็หม้อไฟเหมือนกัน คุณหนูเวินซี ท่านจะมาหลอกเรามิได้นะ”
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองร้าน หม้อไฟที่เคยทานอย่างเอร็ดอร่อยก็กลายเป็จืดชืดไปเสีย ลูกค้าบางคนถึงกับเอะอะโวยวาย ยืนกรานที่จะไม่ให้เอาหม้อไฟมาลงที่โต๊ะพลางพูดพร่ำว่าจะขอเงินคืน
เวินซีขมวดคิ้ว ชำเลืองมองทุกคนแล้วถอนหายใจยาว “จะขอคืนก็ได้ เพียงแค่ยังมิได้แตะต้องอาหาร ย่อมคืนได้”
หากต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขาก็มีแต่จะเสียชื่อเสียงร้าน นางยังอยากจะทำธุรกิจต่อ
“คุณหนูเวินซี นี่มัน...”
“เมื่อวานกิจการดีมาก ของที่เราเตรียมไว้วันนี้เป็จำนวนสองเท่าของเมื่อวานเลยนะขอรับ หากยอมคืนเงินจริงๆ เราจะขาดทุนย่อยยับเลยนะขอรับ”
เหล่าขอทานลำบากใจและกังวลกับผลประกอบการของเวินเซียงเก๋อจริงๆ
“คืนเงินเสีย”
เวินซีพูดอย่างเ็า
ขอทานเห็นว่าพูดกับนางมิได้ จึงทำได้เพียงหยิบสมุดบัญชีไปนั่งคืนเงินให้กับลูกค้าทุกคนที่หน้าร้าน
ผู้ที่ได้เงินคืนต่างก็วิ่งออกไปอย่างมีความสุขแล้วไปเข้าร้านข้างๆ
ขณะนี้เวินเซียงเก๋อกลับมามีสภาพรกร้าง ทุกคนในร้านต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้นในวันนี้ นับว่าการเปิดร้านมาสองวันนี้ขาดทุนแล้ว
หลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีลูกค้า เวินซีก็ปิดประตู นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนา “มีผู้ใดรู้ที่มาของร้านข้างๆ หรือไม่”
“คุณหนูเวินซี ร้านข้างๆ เป็ร้านของอี๋เหนียงตระกูลเวินขอรับ ก่อนหน้านี้ร้านปิดอยู่ตลอด ได้ยินมาว่าจะเปิดเป็ร้านเครื่องหอมแห่งที่สองของตระกูลเวิน แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดถึงเปิดเป็ร้านหม้อไฟได้”
ตระกูลเวิน?
พวกเขาอีกแล้ว
พวกเขามาทานที่นี่เมื่อวาน คนทำเครื่องหอมย่อมรู้จักสมุนไพรดี พวกเขาน่าจะดมส่วนประกอบของนางออกแล้วนำไปทำเอง
แต่ราคาอาหารที่นางตั้งนั้นก็ใกล้เคียงราคาต้นทุนมากแล้ว ตระกูลเวินทำอย่างไรถึงขายได้ราคาต่ำกว่าครึ่งหนึ่งเช่นนั้น ปัญหาอยู่ที่อาหารหรือ?
“วันนี้ทุกคนก็คิดเสียว่าร้านปิด ขอบใจทุกคนมาก กลับกันเถิด ค่อยว่ากันวันพรุ่ง”
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว เวินซีไม่อยากจะอยู่ต่อ จึงรีบกลับไปที่ร้านเครื่องหอม ยังดีที่กิจการของร้านเครื่องหอมมิได้รับผลกระทบไปด้วย
“พี่สะใภ้~”
“พี่สะใภ้กลับมาแล้ว~”
“พี่สะใภ้~”
เมื่อยียี เอ้อเอ้อร์ ซันซานเห็นนาง ก็โผเข้าอ้อมกอดอย่างออดอ้อน ััที่อบอุ่นทำให้ความหงุดหงิดของนางลดลงไปไม่น้อย นางยิ้มเบาๆ แล้วพาพวกเขาเข้าไปในสวนหลัง
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น บนโต๊ะมีอาหารมากมายจัดวางอยู่ แต่สีสันกลับเป็สีดำสีเหลือง บางอย่างก็ขยุกกันเป็ก้อน ไม่มีจานใดที่มองแล้วทำให้รู้สึกอยากอาหารเลย
เวินซีเม้มริมฝีปาก ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถาม ยียีก็ดึงมือนางไปเบาๆ
“พี่สะใภ้ ท่านพี่ทำอาหารเป็อย่างไรบ้างขอรับ?”
จ้าวต้านทำหรือ?
ประตูห้องครัวมิได้ปิด นางเงยหน้าขึ้นแล้วเดินไปตามทางเดินก็เห็นจ้าวต้านกำลังยุ่งอยู่ในครัว
เขากำลังจัดการปลาอย่างจดจ่อจนหน้านิ่วคิ้วขมวด หางของปลาเหวี่ยงอย่างรุนแรง ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ สีหน้าจริงจังมาก ทำให้เวินซีต่อว่าเขาไม่ลง
นางนั่งลงบนที่นั่ง กอดซันซานไว้และหยอกล้อ
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป อาหารอย่างสุดท้ายก็ถูกนำมาที่โต๊ะ
จ้าวต้านถอดเสื้อคลุมที่กลิ่นยังติดอยู่ออกมาวางไว้ข้างๆ แล้วนั่งลงข้างนาง
“ลองชิมสิ”
เขายื่นตะเกียบมาให้ เวินซีรู้สึกลังเลเล็กน้อย
นางไม่เคยกล้าทานฝีมือของจ้าวต้านเลย
เอ้อเอ้อร์ผู้หิวโหยมานาน เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดขยับตะเกียบจึงแอบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปากไปเงียบๆ
ทันใดนั้น นางก็กระแอมอย่างรุนแรงและคายเนื้อออกมา
“ฝีมือของท่านพี่แย่กว่าเมื่อก่อนอีกเ้าค่ะ”
“นั่นก็เพราะว่าเ้าถูกพี่สะใภ้เลี้ยงดูด้วยอาหารดีๆ จนเคยตัวน่ะสิ ถึงได้ดูถูกฝีมือของพี่”
จ้าวต้านอารมณ์ดี จึงพูดหยอกเอ้อเอ้อร์
เอ้อเอ้อร์แลบลิ้นใส่เขา นางวางตะเกียบลง แล้วไปหยิบว่าวที่วางอยู่ใต้ชายคาพลันวิ่งออกไป
“ลองทานหน่อยสิ”
นึกว่าจะรอดพ้นแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะคีบเนื้อปลามาไว้ในถ้วยของเวินซีจนได้ นางเห็นสายตาที่เฝ้าคอยคู่นั้น จึงจำใจคีบเนื้อเข้าปากไป
นางทำใจไว้แล้ว แต่ปรากฏว่ารสชาติของเนื้อปลานั้นไม่เลว
เวินซีไม่อยากจะเชื่อ จึงคีบอาหารอย่างอื่นขึ้นมาทานด้วย แต่เมื่อเข้าปากก็ต้องพ่นออกมาทันที
“เ้าทำปลา...”
“เมื่อก่อนในฤดูหนาวข้าล่าสัตว์มิได้ ทั้งยังหิวมาก จึงจับปลามาย่างบ่อยๆ นานวันเข้ามันก็กลายเป็ฝีมือล่ะนะ”
เมื่อเห็นนางสงสัย จ้าวต้านจึงอธิบาย
“จากนี้ไปเื่ในครัวให้เป็หน้าที่ของจ่างกุ้ยเถิด หนอนกู่ในตัวเ้ายังต้องรักษาให้ดี”
เวินซีเอ่ยขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ ทันใดนั้นก็เห็นแววตาของจ้าวต้านค่อยๆ เศร้าหมองลงและดูตื่นตระหนก นางจึงเอ่ยต่อ “ข้า...”
“ไม่เป็ไร ถึงอย่างไรก็ต้องตาย อย่าคิดมากเลย”
จ้าวต้านมีน้ำเสียงหนักแน่น
เวินซีได้ยินเขาพูดดังนั้น ใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“คุณหนูเวินซี คุณหนูเวินซี อยู่ด้านในหรือไม่ขอรับ?”
“หลีกทาง หลีกทางหน่อย พวกเรามีเื่ด่วนต้องพบคุณหนูเวินซีจริงๆ”
“คุณหนูเวินซี หากท่านได้ยิน ช่วยออกมาได้หรือไม่ขอรับ”
มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นที่ประตู รวมถึงเสียงะโที่ได้ยินอย่างชัดเจน
เป็เสียงของขอทานเ่าั้ เวินซีมีสีหน้าเปลี่ยนไป นางลุกขึ้นและเดินออกไปทันที จ้าวต้านก็เดินตามหลังนางไปด้วย
“เกิดอันใดขึ้น?”
เวินซีหยุดลงตรงหน้าพวกเขาและมองดู
ดูเหมือนว่าจะรีบร้อนกันจริงๆ ทุกคนต่างก็เหนื่อยหอบกันมา
เมื่อขอทานเห็นเวินซีก็ราวกับเห็นความหวัง พวกเขารีบพากันคุกเข่าลงกับพื้น
“คุณหนูเวินซี เกิดเื่ขึ้นกับเสียวเสี่ยวขอรับ หลังจากที่คุณหนูกลับออกมา พวกเราก็จัดเก็บร้าน จึงไม่ทันได้เห็นว่าเขาออกไปข้างนอกคนเดียว”
“ตอนที่เรารู้ว่าเขาหายไป เราก็ออกตามหา ก่อนจะพบว่าเขามีไข้สูง อาเจียนและท้องร่วงอยู่ในซอยตันแห่งหนึ่ง”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ร้าน ใกล้จะไม่ไหวแล้วขอรับ ท่านรีบไปช่วยเขาทีเถิดขอรับ”
“ไปกันเถิด” เวินซีก้าวไปข้างหน้า
แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเสียวเสี่ยวคือผู้ใด แต่ก็เดาได้ว่าเขาคงเป็คนในกลุ่มขอทาน
แต่เหตุใดจู่ๆ ถึงเกิดเื่ขึ้นกับเขาได้นะ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้