เมื่อเลิกงานกลับถึงบ้าน เซี่ยวอี๋ก็เปิดประตูเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ใหม่ซึ่งเช่าเอาไว้ชั่วคราว รูปภาพของเ้าของเดิมยังคงแขวนอยู่ทุกหนแห่ง อีกทั้งของเล่นเด็กที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง เซี่ยวอี๋พยายามไม่เคลื่อนย้ายสิ่งของเ่าั้ เธอหวังว่าหลังจากที่เธอเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ทุกอย่างจะถูกรักษาไว้คงเดิม
สัมภาระของเธอมีเพียงกล่องเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องน้ำ ตอนเช้าเธอได้ให้คนจัดส่งมาแล้ว แล้วก็ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งนั่นก็คือกล้องโทรทรรศน์ส่องทางไกลกำลังสูง ซึ่งเธอติดตั้งไว้ที่หน้าต่างในห้องรับแขกเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
อาหารเย็นในวันนี้ก็คือขนมปังและโยเกิร์ตหนึ่งถ้วย เซี่ยวอี๋ซึ่งยังไม่ได้อาบน้ำนำอาหารเย็นไปนั่งทานอยู่ที่ขอบหน้าต่างใกล้กับกล้องโทรทรรศน์ และเริ่ม “เข้างาน” ทันที ทิศทางของกล้องหันไปยังด้านนอกระเบียงอะพาร์ตเมนต์ของเสิ่นิและฟางหยวนซึ่งอยู่ห่างออกไป 500 เมตร เธอสามารถมองเห็นเสิ่นิและฟางหยวนได้ในทุกการเคลื่อนไหว
“ประจำตำแหน่งแล้ว คืนนี้นายทำอะไรทาน?” เซี่ยวอี๋เห็นเสิ่นิกำลังจะล้างผักจึงถามขึ้นเบาๆ เธอสวมหูฟังขนาดเล็กอยู่
“กำลังเตรียมทำอะไรง่ายๆ อีกเดี๋ยว ‘แขก’ ก็จะมาถึงแล้ว” เสิ่นิอมยิ้มอยู่หน้าอ่างล้างผัก ในหูเขาเองก็มีหูฟังเช่นเดียวกัน
“ดูคุณมั่นใจซะเหลือเกินนะ คุณคิดว่าแค่พูดทักทายกันแล้วน้องสาวก็จะติดกับอย่างนั้นหรือ? แม่สาวน้อยนั่นอย่างกับม้าพยศ บ้านคุณไม่ได้มีทุ่งหญ้าให้เธอเคี้ยวซะหน่อย” เซี่ยวอี๋ดูถูกเสิ่นิซึ่งๆ หน้า
“แต่บ้านผมมีฝักบัว วางใจเถอะ ลูกสาวคนมีตังค์ ‘ไม่ได้อาบน้ำคงจะบ้าตาย’ ด้วยกันทั้งนั้นแหละ” เสิ่นิยังคงเตรียมอาหารเย็นต่อไป
“นั่น นายชนะแล้ว เธอเปิดประตูออกไปแล้ว ม้าพยศถึงที่หมายแล้ว” เซี่ยวอี๋ว่าจบก็ทานอาหารเย็นของเธอต่อไป
ตึง! ตึง! ตึง! เสียงเคาะประตูทรงพลังอย่างกับเ้าของตึกมาทวงค่าเช่าห้อง เสิ่นิเช็ดมือ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูพร้อมกับรอยยิ้ม เขาแขวนสีหน้าประหลาดใจราวกับนักแสดงมืออาชีพไว้บนหน้า ฟางหยวนสวมรองเท้าแตะสีชมพูและห่อตัวด้วยผ้าขนหนูลาย Hello Kitty ในอ้อมแขนของเธอมีเสื้อผ้าชุดใหม่พร้อมกับอุปกรณ์อาบน้ำ
“นักเรียนฟางหยวน นี่มันอะไรกัน?” เสิ่นิถามด้วยความมึนงง
“ก๊อกน้ำที่ห้องหนูพัง จะขอยืมใช้ห้องน้ำครูหน่อย ไม่ต้องกลัว หนูจะจ่ายเงินให้” โดยที่ไม่รอให้เสิ่นิอนุญาต ฟางหยวนพุ่งตัวเข้าไปในห้อง พร้อมกันนั้นก็แปะธนบัตรใบละหนึ่งร้อยหยวนปึกหนึ่งไว้บนหน้าอกของเสิ่นิ เสิ่นิแทบไม่ต้องเสียเวลานับ เพราะว่าแถบคาดเขียนจากธนาคารที่เขียนว่าหนึ่งหมื่นนั้นยังไม่ได้เอาออกเลย แค่จะอาบน้ำ จ่ายแพงเกินไปไหม
“ฟางหยวนอย่าทำตัวเป็คนอื่นคนไกลเลย แค่จะขออาบน้ำเองไม่ใช่หรือ? ครูไม่คิดเงินหรอก เอากลับไปเถอะ” เสิ่นิหมายจะคืนเงินให้อย่างสุภาพ แต่บานประตูกระจกของห้องน้ำก็ถูกปิดดังปังจากด้านในเสียก่อน เมื่อมองทะลุกระจกฝ้าเข้าไป สามารถเห็นเงาคนด้านในกำลังถอดผ้าเช็ดตัวออก เผยให้เห็นผิวกายอันเปล่งปลั่ง
“เงินที่ให้ไปแล้ว หนูไม่รับคืน มันโดนมือครูแล้ว มีเชื้อโรคตั้งเยอะ” หญิงสาวหันหน้าเข้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ฟางหยวนตรวจดูาแบนใบหน้า เซี่ยวอี๋ลงมือหนักมาก ไม่รู้ทิ้งรอยแผลอะไรเอาไว้บ้างหรือเปล่า?
เด็กสาวอาบน้ำนานมาก ฟางหยวนใช้เวลานานนับหนึ่งชั่วโมง ตอนเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ ผ้าก๊อซบนตาก็ถูกเปลี่ยนเป็ผืนใหม่ เธอสวมเสื้อยืดตัวโคร่ง ใส่คู่กับกางเกงขาสั้น
ฟางหยวนซึ่งกำลังจะกลับห้อง จู่ๆ เธอก็ได้กลิ่นหอมลอยมา และเมื่อเธอหันกลับไปมอง เธอก็เห็นว่าบนโต๊ะตัวเตี้ยในห้องนั่งเล่นนั้นมีหม้อซุปหม่าล่าซึ่งกำลังเดือดอยู่ กลิ่นหอมของพริกไทยผสมผสานกับเครื่องแกงของหม่าล่าหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
“เธอให้เงินครูมาตั้งมากมายขนาดนี้ ครูรู้สึกละอายใจ เธอคงยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหม งั้นก็มาทานด้วยกันสิ เครื่องใช้บนโต๊ะนี้ผ่านการฆ่าเชื้อมาหมดแล้ว เราใช้ตะเกียบและช้อนกลาง รับรองว่าไม่ััน้ำลายของกันและกันแน่”
“หนู...” เดิมทีฟางหยวนจะบอกว่า “ไม่หิว” แต่ท้องเ้ากรรมก็ดันร้องขึ้นมา “ช่างเถอะ”
ฟางหยวนถอนหายใจพลางวางตะกร้าในมือลง ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะตัวเตี้ย และนั่งลงตรงข้ามเสิ่นิ
“นายช่างจงใจชวนคนกินซุปหม่าล่านะ...คืนนี้นายทำอีกซัก 13 หม้อดีไหม?” เซี่ยวอี๋เคี้ยวขนมปังในปากอย่างอารมณ์เสีย ขณะที่เสิ่นิทำแค่เพียงอมยิ้มน้อยๆ
ฟางหยวนไม่ใช่คนช่างคุย และไม่ชอบสนทนากับใคร เวลาทาน เธอก็ทานอย่างเดียว ไม่พูดไม่จากับอาจารย์ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า ที่จริงแล้วเธอไม่ชอบทานอาหารรสจัด แต่ซุปหม่าล่าตรงหน้านี้กลับไม่ค่อยเผ็ดสักเท่าไร ทั้งยังใส่เครื่องเทศจำนวนมาก ทำให้รสชาติหอมหวานกลมกล่อม ฟางหยวนเองก็เผลอทานไปตั้งเยอะ
“เธอบรรลุนิติภาวะแล้วใช่ไหม?” เสิ่นิยิ้มพร้อมกับหยิบเบียร์ออกมาจากตู้เย็น พลันยื่นเบียร์กระป๋องหนึ่งไปให้ฟางหยวน
“ถ้าครูคิดจะมอมเหล้าแล้วทำมิดีมิร้ายหนู หนูเอาครูตายแน่” อย่ามองว่าฟางหยวนพูดจาร้ายกาจ ที่จริงแล้วนี่เป็ความปรารถนาดี โดยการปัดความคิดสกปรกของชายตรงหน้าไปให้พ้นลูกหูลูกตาเสีย เพื่อที่จะได้รักษาโอกาสซึ่งหายากในการรับประทานอาหารร่วมโต๊ะ
“วางใจเถอะ ครูไม่สนเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเธอหรอก หรือจะว่าง่ายๆ ครูไม่สนใจผู้หญิงแล้ว” เสิ่นิถอนหายใจ ก่อนจะกลับไปนั่งที่ของเขา
“ครูเป็เกย์? หนูพอรู้จักคนที่เป็เกย์อยู่บ้าง ให้หนูแนะนำให้เอาไหม?” ฟางหยวนเปิดกระป๋องเบียร์และซดเข้าไปสองอึก ในใจก็อดถอนหายใจไม่ได้ ไก่ทอด จะไปไหนก็ไปซะ ซุปหม่าล่าแกล้มเบียร์นี่แหละ เข้ากันสุดยอด!
“ครูไม่ได้เป็เกย์ แค่ยังเข็ดจากอาการอกหัก อะพาร์ตเมนต์นี้ไม่ใช่ถูกๆ ครูขายบ้านที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เพื่อจะเอาเงินนั่นมาดาวน์ที่นี่ เดิมทีก็ตั้งใจว่าจะใช้ห้องนี้เป็ห้องหอของครูกับแฟน
แฟนครูเสียงแข็งยืนยันมาโดยตลอดว่าอยากได้บ้านที่อยู่ในย่านธุรกิจในตัวเมือง ถึงจะยอมแต่งงานด้วย แต่พอครูซื้อที่นี่ได้แล้ว เธอก็ไปอยู่กับชายแก่ในคฤหาสน์ ชีวิตคนเรา มันก็น่าสนใจอย่างนี้ล่ะ” เสิ่นิยิ้มอย่างขมขื่นทั้งน้ำตา ครู่เดียวก็ซดเบียร์ในมือจนหมดกระป๋อง
“คนโง่เท่านั้นแหละที่ยอมพลีกายเพื่อเงิน เศษกระดาษที่ไม่ได้ติดตัวมายามเกิดและเอาไปด้วยไม่ได้ยามตาย จะหมกมุ่นอะไรกันนักหนา?” ฟางหยวนยังคงทานซุปหม่าล่าต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“คนเราเกิดมามีไม่เท่ากัน อย่างนักเรียนฟางหยวน ครูอ่านจากข้อมูลแล้ว เธอเป็ลูกสาวมหาเศรษฐีของเมืองหลินไห่ ฟางซื่อเฉวียน เพราะฉะนั้นเธอคงไม่เคยต้องลำบากเื่ปากท้องั้แ่เด็ก เธอจะเข้าใจความลำบากของชาวบ้านทั่วไปได้อย่างไร?” คำพูดของเสิ่นิมีกลิ่นอายของความขุ่นเคือง
“แม่บอกหนูว่า พระเ้ายุติธรรมเสมอ ท่านมอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่หนู ในขณะที่พรากสิ่งอื่นๆ ไป เงินทำให้หนูไม่เคยลำบากเื่ปากท้อง แต่หนูก็ไม่เคยได้ััถึงความอบอุ่นของการมีครอบครัวเลย
ั้แ่หนูจำความได้ พ่อก็ยุ่งมาตลอด ถ้าไม่คุยโทรศัพท์ ก็มัวแต่อ่านเอกสาร ลงนามสัญญา ตอนหนูอยู่ชั้นป.1 หนูให้พ่อดูผลงานศิลปะที่หนูได้รับรางวัล พ่อรับมันไปแล้วก็เผลอเซ็นชื่อตัวเอง เพราะพ่อคิดว่ามันคือสัญญาธุรกิจ” ฟางหยวนไม่เคยคุยเื่ที่บ้านให้คนอื่นฟังมาก่อน แต่จู่ๆ พอพูดขึ้นมา ก็เหมือนกับเขื่อนแตก “่สิบปีให้หลังมานี้ พ่อยุ่งมากจนไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับบ้าน ถ้าไม่นับตอนแจกอั่งเปาในวันแรกของปีใหม่ นอกนั้นก็แทบจะไม่เห็นเงาของพ่อเลย
หนูเชียร์ให้แม่หนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ผู้ชายอย่างนี้ต่างอะไรกับตู้ ATM?”
แต่แม่ก็โง่ไม่ยอมไปซะอย่างนั้น แม่มักจะยิ้มและพูดเสมอว่า เป็เหมือนเดิมน่ะดีแล้ว จะไปหาพ่อเลี้ยงให้มารังแกหนูทำไม พอหนูสิบขวบ หนูก็เลยเริ่มเรียนมวยไทย หยุดเรียนเปียโน หยุดเรียนเต้นรำ ฝึกให้หนักกว่าใคร เพราะหนูคิดว่าพอฝึกจบแล้ว หนูจะได้บอกแม่ได้ว่าแม่จะแต่งงานกับใครก็ได้ ตามใจแม่เลย เพราะไม่ว่าแม่จะแต่งกับใคร หนูก็ปกป้องดูแลแม่ได้ทั้งนั้น...
แต่...ยังไม่ถึงวันนั้นแม่ก็...” น้ำตาของฟางหยวนไหลนองหน้า ก่อนจะหยดลงบนจาน “เผ็ดไปนะ! มือหนักไปหรือเปล่า ใส่พริกไทยซะเยอะเชียว!”
ฟางหยวนเงยหน้า พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“ครูขอโทษ ฝีมือการทำของอาหารครูออกจะบ้านๆ คราวหน้าจะไม่ใส่เยอะแบบนี้อีก ทานต่อเถอะ” เสิ่นิไหลไปตามน้ำอย่างรู้งาน
“เบียร์ มีเบียร์อีกไหมคะ?” ฟางหยวนะโโหวกเหวก เธอกินดุ ดื่มจัด
มื้อเย็นหนึ่งมื้อใช้เวลาทานอยู่ 2 ชั่วโมงเต็ม ฟางหยวนดื่มมากไปจนกระทั่งนอนฟุบอยู่กับพื้น แก้มขาวของเธอในตอนนี้กระจ่างราวกับมะเขือเทศสีแดง เรียวขางอตามธรรมชาติ เบี่ยงเข้าหาลำตัวเล็กน้อย กลายเป็เส้นโค้งอันงดงาม
ฟางหยวนไม่ได้ปลดปล่อยแบบวันนี้มานานมากแล้ว ไม่ว่าเธอจะนิ่งจนเข้าไม่ถึงแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่ถูกกดทับไว้ในใจกลับต้องหาทางระบายออกมา อาจเป็เพราะครูแปลกหน้า ซุปหม่าล่าเลิศรส หรือว่าเบียร์สักโหล เท่านี้ก็สามารถสวมบทบาทนักจิตวิทยาได้แล้ว
“พวกนายกินดีอยู่ดีกันจังนะ น้ำลายฉันไหลเต็มปากไปหมดแล้ว” เซี่ยวอี๋โยนก้อนขนมปังที่เหลือทิ้งลงถังขยะด้วยความหดหู่
“ไว้วันหลังผมจะทำให้คุณทาน ว่าแต่ไอ้พวกข้างล่างนี่คุณจัดการแล้วหรือยัง?” เสิ่นิลุกไปหยิบผ้าห่มในห้องนอน
“ให้รุ่นพี่สายสืบเอารถลากมาลากกลับไปสถานีตำรวจแล้ว พวกเขาบอกว่าโหดไปไหม ไอ้คนที่เรียกตัวเองว่าพี่ใหญ่ถึงขั้นมือหักเท้าหัก ยืนเองไม่ได้ น่าจะต้องกายภาพราวๆ 3 เดือน” เซี่ยวอี๋พูดพลางยืนขึ้นเพื่อขยับร่างกายอันแข็งทื่อ
“ที่ผม้าคือข้อมูลคนที่อยู่เื้ั”
“วางใจเถอะ ก็แค่พวกสิบแปดมงกุฎทั่วไป ไม่นับว่าเป็นักเลงด้วยซ้ำ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับซินเหลียนเซิ่งหรอก ตอนนี้ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าสาวน้อยผู้โดดเดี่ยวคนนี้ ใครกันที่จะเป็สายข้างกายเธอได้?”
“ลองสังเกตดูสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถือว่าเราเริ่มต้นได้ดีเลยทีเดียว”
“ฉันจะไปอาบน้ำแล้วนะ นายรีบฉวยโอกาสนี้จัดเธอสักรอบสิ อย่าให้หม่าล่ารสเลิศหม้อนั้นเสียเปล่า” เซี่ยวอี๋บิดี้เีในขณะที่ก้าวเดินไปยังห้องน้ำ
“อย่าลืมสืบเื่คนที่อยู่เื้ัด้วยล่ะ ตอนนี้ผมไม่ชอบผู้หญิง แถมยังเป็ครูด้วย จะไปทำเื่พรรค์นั้นได้ยังไง?”
“เ้าค่ะ นายเป็อาจารย์เกย์ผู้สนใจแต่ไม้ป่าเดียวกัน” เซี่ยวอี๋ว่าแล้วก็ปิดระบบสื่อสาร ก่อนจะถอดหูฟังออก
เสิ่นิบรรจงคลุมผ้าห่มให้กับฟางหยวน แต่ขณะนั้นเอง ฟางหยวนซึ่งหลับใหลอยู่ จู่ๆ ก็เอาศอกฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของเขา การกระทำนั้นรวดเร็วมาก เป็สัญชาตญาณของการป้องกันตัว
เสิ่นิเคลื่อนไหวด้วยมือเดียวอย่างนุ่มนวล เขาปฏิบัติต่อเธอราวกับเธอเป็เช่นฟองน้ำ
“เธอเปราะบางแค่ไหนกัน ถึงต้องทำตัวแกร่งขนาดนี้? นอนหลับฝันดีล่ะ คืนนี้เธอปลอดภัยแล้ว” เสิ่นิกระซิบที่หลังต้นคอฟางหยวน สาวน้อยหลับสนิท แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา
6 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น ฟางหยวนตื่นขึ้นมาจากความฝัน เธอเห็นว่าเสิ่นิยังคงหลับใหลอยู่บนโซฟาเธอจึงออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็หันกลับไปโยนเงินทิ้งไว้หนึ่งหมื่น พร้อมกับแนบโน้ตซึ่งเขียนว่า “ค่าอาหาร+ค่าที่พัก”
แม่สาวคนนี้ยังคงคุ้นเคยกับการใช้เงินแก้ปัญหา รวมถึงการตอบแทนคุณในด้านของความรู้สึก
ความจริงแล้วเสิ่นิไม่ได้หลับ พอเธอปิดประตูลง เขาก็เชื่อมต่อระบบสื่อสารกับเซี่ยวอี๋ทันที “ไปทำงานได้”
“นายควรจ่ายโอทีให้ฉันด้วยนะ!” เซี่ยวอี๋กล่าวด้วยความไม่พอใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้