“ท่านพี่ เกิดเื่ใหญ่อันใดขึ้นหรือขอรับ? ตอนข้ากลับมาเมื่อครู่ ได้พบกับทหารของท่านแม่ทัพเจียงเข้า เขาวานให้ข้านำจดหมายมามอบให้ท่านขอรับ”
เวลานี้เอง มู่จี้หงและมู่ชิงอวิ้นพลันเดินเข้ามาจากด้านนอก ในมือของเขายังถือจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ด้วย
เมื่อเห็นผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ ทั้งสองจึงกล่าวทักทายทีละคน
ดวงตาของมู่ชิงอวิ้นหันมองใบหน้าของมู่เฉิงอิน จากนั้นนางก็ค้อมศีรษะให้
“จดหมายอันใด?”
“เอ๋? เป็ไปได้หรือไม่ว่าท่านพ่อส่งคนมาเรียกข้ากลับ?”
เจียงจื่อเฮ่าและมู่เอ้าเทียนถามพร้อมกัน
เจียงจื่อเฮ่าทนต่อความเ็ปที่ขาตน รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วะโไปหามู่เอ้าเทียน ทางด้านมู่เอ้าเทียนที่เปิดจดหมายออกอ่าน ไม่ทันไรก็ฉีกจดหมายในมือทิ้งเสียแล้ว ทั้งยังหัวเราะอย่างโกรธเคือง “เ้าโง่เจียงถิง ได้ตัดเืเนื้อของตนเองทิ้งโดยสมบูรณ์แล้ว”
คิ้วของมู่เอ้าเทียนกระตุกไม่หยุด
เจียงจื่อเฮ่ารีบคว้าจดหมายที่ถูกฉีกจนขาดเป็สองท่อนเอาไว้ เมื่อหยิบมาได้ก็อ่านมันทันที เื่นี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก! เขาล้มตัวนอนลงกับพื้นพร้อมเสียงร่ำไห้ “ข้ายังเป็บุตรชายแท้ๆ ของท่านพ่ออยู่หรือไม่? ข้าถูกเก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่? ข้าเกิดออกมาจากหินหรือ? ฮือๆ เหตุใดข้าจึงน่าสงสารถึงเพียงนี้ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว วันนี้ข้าขอตายในจวนตระกูลมู่ ฮือๆ ข้ายังมีชีวิตต่อไปเพื่ออันใดอีก?”
เจียงจื่อเฮ่าคร่ำครวญ
โหยหวนเสียจนมิอาจมีผู้ใดรับได้ เป็เหตุให้สาวใช้และคนรับใช้ที่อยู่ด้านนอกต่างส่งเสียงดังอื้ออึง ด้วยคิดว่ามีเื่เกิดขึ้นในจวน!
มู่เฉิงอินและมู่ชิงอวิ้นในห้องโถงมิอาจลืมตามอง พวกนางรู้สึกเกรงใจถ้าต้องเห็นฉากตรงหน้า หากกล่าวว่าตนเป็ชายชาตรีผู้หนึ่ง แล้วการกลิ้งบนพื้นด้วยท่าทีงอแงราวเด็กเล็กๆ เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
อันที่จริงก็ไม่แปลกที่เจียงจื่อเฮ่าจะร่ำไห้ เนื้อหาสำคัญในจดหมายที่เจียงถิงส่งมานั้นถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน นั่นคือตระกูลเจียงยอมรับบุญคุณที่มู่อันเหยียนแห่งตระกูลมู่ได้ช่วยชีวิตเจียงจื่อเฮ่า ดังนั้นจึงส่งมอบบุตรชายที่พวกเขาไม่้าผู้นี้ให้แก่ตระกูลมู่ จะให้เป็วัวควายหรือม้าของตระกูลก็ย่อมได้
เื่นี้ต้องเรียกว่าอย่างไร?
เจียงถิงคิดได้ดี ตระกูลมู่ไม่ยอมรับบุตรชายของเขาให้เป็ลูกเขย เป็พ่อของลูก เช่นนั้นคนที่เป็ปู่อย่างเขาย่อมต้องหาวิธี
ตาเฒ่ามู่เอ้าเทียน้าทวงบุญคุณเื่ช่วยชีวิตเจียงจื่อเฮ่าไม่ใช่หรือ?
เช่นนั้นก็ดี เงินนั้นไม่มี แต่หาก้าคนย่อมมีแล้วหนึ่งคน
โยนคนเข้าตระกูลมู่ อยากทำอันใดก็ย่อมได้ ให้เป็วัวเป็ม้าตราบใดที่ยังไม่ตายล้วนตกลงทั้งสิ้น อีกทั้งน้ำตาลยังใกล้มด หากได้ใจคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่คืน ก็สามารถพาลูกสะใภ้และหลานชายของเขากลับจวนได้
เจียงถิงดีดลูกคิดวางแผนได้ดี
ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ส่งคนมาติดตามเจียงจื่อเฮ่า เห็นเขาสับสนมึนงงเป็เวลาหนึ่งวัน ในเมื่อมิอาจหาทางเข้าจวนตระกูลมู่ได้ เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะให้เขาออกมา
“เ้าลุกขึ้นมา!”
มู่เอ้าเทียนตำหนิ
เจียงจื่อเฮ่านอนกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ในชีวิต
ไม่ลุก เช่นนั้นก็ไม่ต้องลุก
ฮวาเหยียนเองก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน นางเพียง้าเล่าเื่ต่างๆ ให้พี่หญิงมู่ฟัง สุดท้ายกลับต้องพบเจอฉากเลวร้ายเช่นนี้ ช่างทำให้อารมณ์ขุ่นมัวเหลือเกิน
“พี่ใหญ่ นี่เป็คราแรกที่พี่หญิงมาเยือนจวนของเรา พี่พานางไปเยี่ยมชมรอบๆ จวนเถิด เดินชมให้ทั่วเลยนะเ้าคะ”
ทันใดนั้น ฮวาเหยียนก็เอ่ยขึ้น
มู่เสวียนเย่รู้ว่าฮวาเหยียนกำลังคิดสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับ มู่เฉิงอิน้าจะกล่าวบางสิ่ง ทว่าฮวาเหยียนกลับตบมือของนางเสียก่อน “พี่หญิงมู่ ท่านไปเถิดเ้าค่ะ จวนของเรามีทิวทัศน์ที่งดงามหลายแห่งนัก รอให้เื่ราวตรงนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปหาพวกท่านเอง”
เมื่อฮวาเหยียนกล่าวเช่นนี้ มู่เฉิงอินจึงพยักหน้า นางโค้งคำนับให้มู่เอ้าเทียน จากนั้นก็ออกจากห้องโถงไปพร้อมกับมู่เสวียนเย่
ห้องโถงมีธรณีประตูเป็พื้นต่างระดับ เมื่อถึงธรณีประตู มู่เสวียนเย่ก็ยื่นมือมาจับพยุงมู่เฉิงอินอย่างเป็ธรรมชาติ
มู่ชิงอวิ้นเงยหน้าขึ้นและเห็นฉากนี้เข้าพอดี
พระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันร้อนอยู่บ้าง เมื่อสาดแสงลงมาพลันบังเกิดประกายสีรุ้ง ส่องกระทบลงบนร่างของคนทั้งสอง รู้สึกเพียงทั้งคู่เป็หนุ่มหล่อสาวงาม เหมาะสมดุจ์สรรสร้าง
มู่ชิงอวิ้นไม่อาจละสายตาออกไปได้ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา นางมองภาพที่ปรากฏนี้ แต่ในห้วงคิดกลับเห็นมู่เฉิงอินเป็ตัวนางเองและบุรุษที่พยุงนางไว้คือตี้หลิงหาน
จนกระทั่งเสียงก่นด่าของฮวาเหยียนดังขึ้น จึงดึงสติของนางกลับมา
“หยุดร้องได้แล้ว!”
ฮวาเหยียนถลึงตามองเขา
ทว่าเจียงจื่อเฮ่าราวกับไม่้ารักษาหน้าตาของตนเองอีกต่อไป เขานอนแผ่อยู่บนพื้น ใบหน้าท้อแท้ไร้ชีวิตชีวา “เ้าฆ่าข้าเถิด หากเ้าไม่ฆ่าข้า ข้าจะเอาหัวโขกรูปปั้นสิงโตหินหน้าประตูจวนของเ้าให้ตายไปเสีย”
เจียงจื่อเฮ่ากล่าว
ฮวาเหยียนและมู่เอ้าเทียนต่างไร้วาจาจะเอ่ย “...”
เช่นนี้นับว่าพวกเขาถูกหลอกใช้แล้วใช่หรือไม่?
มู่เอ้าเทียนโกรธจนใบหน้าดำคล้ำ ฮวาเหยียนเองก็เช่นกัน นางไม่กลัวอันธพาลที่มีอารยะ กลัวเพียงอันธพาลที่มีจิตใจกล้าหาญ
“ท่านลุงใหญ่ ตามความเห็นของอวิ้นเอ๋อร์ เช่นนั้นก็ให้คุณชายเจียงพักอยู่ที่นี่เถิด วันนี้ขาของเขาหัก ทั้งท่านแม่ทัพเจียงถิงยังกล่าวมาเยี่ยงนี้อีก หากพวกเราขับไล่เขาออกไปคงไม่ดีนัก รอให้เวลาผ่านไปสักหน่อย จนกระทั่งขาของคุณชายเจียงหายจากอาการาเ็แล้ว พวกเราค่อยไปเจรจากับทางจวนตระกูลเจียง ถึงยามนั้นจะเจรจาอันใดย่อมได้ทั้งสิ้นเ้าค่ะ”
ทันใดนั้น มู่ชิงอวิ้นพลันเอ่ยขึ้น
ก่อนนี้มู่เอ้าเทียนไปเยือนถิ่นของเจียงถิงเพื่อก่อเื่วุ่นวาย สุดท้ายกลับเกิดข่าวลือมากมายในเมืองหลวง ดังนั้นมู่ชิงอวิ้นจึงรู้ว่าเกิดเื่อันใดขึ้น ยามนี้นางจึงลุกออกมาช่วยพูด
สีหน้าของมู่เอ้าเทียนยังคงไม่ค่อยดีนัก แต่เนื่องจากคุณหนูของครอบครัวรองผู้ประพฤติตัวดีเป็คนร้องขอ เขาจึงไม่ได้กล่าวปฏิเสธ เพียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเจียงจื่อเฮ่าที่นอนอยู่บนพื้นได้ยินเสียงที่ราวกับสายลมบางเบาเคล้าละอองฝน เขาก็เงยหน้าขึ้นและเห็นรูปร่างหน้าตาของมู่ชิงอวิ้น สตรีผู้นี้ช่างเปล่งประกาย ทั้งบอบบางและอ่อนโยน เขากะพริบตาปริบ สตรีนางนี้เป็ผู้ใด?
นางเรียกมู่เอ้าเทียนว่าท่านลุงใหญ่ เช่นนั้นนางคือคุณหนูของครอบครัวรองใช่หรือไม่?
เจียงจื่อเฮ่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดในใจว่าคุณหนูจากตระกูลเดียวกัน เหตุใดจึงแตกต่างกันถึงเพียงนี้? ดูคุณหนูจากครอบครัวรองผู้นี้เถิด ทั้งอ่อนโยนและมีน้ำใจ แล้วดูมู่อันเหยียนสิ นางทั้งเ็าและดุร้าย!
ฮวาเหยียนไม่คิดว่ามู่ชิงอวิ้นจะก้าวออกมาพูดแทนเจียงจื่อเฮ่า
ลูกพี่ลูกน้องของนางคนนี้ทั้งอ่อนโยนและอ่อนแออยู่เสมอ หายากที่จะเป็ผู้ริเริ่มกล่าวสิ่งใดออกมา
ฮวาเหยียนหรี่ตามอง ไม่รู้ว่าเหตุใดลูกพี่ลูกน้องผู้นี้จึงลุกขึ้นมากล่าวถ้อยคำเ่าั้?
นับั้แ่ที่มู่ชิงอวิ้นเตะเสี่ยวไป๋โดยไม่ได้ตั้งใจ ทัศนคติของฮวาเหยียนที่มีต่ออีกฝ่ายก็บังเกิดความสงสัยถึงสามส่วน
และนางก็ไม่ชอบบุคลิกจำพวกบุปผาขาวแสนบอบบางเช่นนี้อยู่แล้ว จึงมิอาจเข้าใจและสนิทสนมด้วยได้จริงๆ
เมื่อมู่ชิงอวิ้นเอ่ยปาก รวมกับที่เจียงจื่อเฮ่าเอะอะโวยวายอย่างถึงที่สุดนั้น ฮวาเหยียนจึงคิดตรึกตรองดู หากเจียงจื่อเฮ่าถูกโยนออกไปตอนนี้ เื่ที่เขาจะเอาหัวโขกรูปปั้นสิงโตหน้าประตูจวนเพื่อฆ่าตัวตายนั้น ย่อมมิอาจเป็จริงได้ ทว่าหากกล่าวถึงเื่ที่เขาจะร้องไห้คร่ำครวญราวกับผีไร้ญาติ เขาสามารถทำได้แน่นอน
หากเป็เช่นนี้ ตระกูลมู่ของนางต้องกลับมาเด่นดังอีกเป็แน่ เช่นนั้นมิสู้ให้อยู่ต่อเสียดีกว่า
ฮวาเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “น้องรองจิตใจดียิ่ง ในเมื่อเ้าพูดออกมาขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นเ้าก็พาเจียงจื่อเฮ่ากลับไปยังจวนของครอบครัวรอง หาที่พักอาศัยให้เขาสักหน่อยเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวาเหยียน ดวงตาของเจียงจื่อเฮ่าก็สว่างวาบขึ้น เขาสามารถอยู่ที่นี่ได้แล้วใช่หรือไม่?
ไอ้หยา ต้องขอบคุณคุณหนูรองยิ่งนักที่ช่วยพูดแทนเขา นางเป็สาวงามที่จิตใจดีจริงๆ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้