ในที่สุดสีหน้าของเฝิงเจี่ยนก็ผ่อนคลายลงบ้าง แต่ครั้นก้มหน้าลงกวาดตามองาแที่ขา ความหงุดหงิดก็ส่งผ่านสายตาขึ้นมาอีกครั้ง
“ในเมื่อต้องอยู่พักชั่วคราวที่แดนเหนือสักระยะ เช่นนั้นก็ให้เสวียนิสืบข่าวอื่นๆ ให้มากหน่อย”
“คุณชายวางใจ วันพรุ่งนี้จะให้เกาเหรินไปจัดการขอรับ”
เกาเหรินที่นอนอยู่บนเตียงเตาพลิกตัว จากนั้นเสียงกรนก็ดังตามมา ราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างนายบ่าวเมื่อครู่นี้แม้แต่น้อย แต่คนทั้งสองก็ไม่กังวล...
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่รู้เื่ที่สองนายบ่าวแห่งเรือนพักฝั่งตะวันออกกำลังเป็ห่วงเื่บ้านเมืองและราษฎรอยู่ ต่อให้รู้ก็ไม่มีเวลาไปสนใจอยู่ดี
ยามนี้ นางกำลังแยกเครื่องปรุงชนิดต่างๆ บรรจุเก็บไว้ในไหขนาดเล็ก ส่วนแป้งและข้าวสารจัดเก็บไว้ในถังขนาดใหญ่ เสร็จแล้วจึงปิดฝาให้มิดชิด แล้วยิ้มยิงฟันตาหยี
นี่สินะที่คนโบราณว่าไว้ ในถังมีข้าว จิตใจไม่ว้าวุ่น
วันนี้นางซื้อแป้งทำบะหมี่และข้าวสารมาจำนวนมาก ทั้งยังมีข้าวฟ่างและเฉียวม่ายที่เหลืออยู่อีกครึ่งถัง ฤดูหนาวปีนี้ คนทั้งครอบครัวในที่สุดก็ไม่ต้องกลัวอดตายอีกต่อไป
บิดาลู่และพี่ใหญ่ลู่คอยอยู่ช่วยเหลือ เห็นลูกสาวตัวน้อยของตนมองตรงนั้นตรงนี้อย่างยิ้มแย้มพอใจราวกับจะบินขึ้นฟ้าเสียให้ได้ สองพ่อลูกก็สบตากันไปทีหนึ่ง ลูบจมูกตัวเอง รู้สึกผิดมากขึ้นอีกสามส่วน
ในฐานะบุตรสาวสกุลลู่ มีบิดาและพี่ชายเช่นนี้ ช่างเป็โชคร้ายของนางจริงๆ วันหน้าจะต้องจดจำไว้ให้มั่น ต่อให้จะช่วยแบ่งเบาภาระอะไรไม่ได้ แต่จะเป็ตัวถ่วงต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่าพวกเขาตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ แต่มีคำโบราณที่กล่าวไว้ว่าสันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก...
ลู่เสี่ยวหมี่ ‘เสพสุขกับเสบียง’ ที่มีจนพอใจแล้ว ก็เร่งพี่ใหญ่ลู่ให้ขนผ้าทั้งหลายที่ซื้อมาในวันนี้ไปให้นางที่เรือนหลัง
ผ้าฝ้ายที่พ่อค้าหนังคนนั้นให้เป็สินน้ำใจ คุณภาพดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ เพียงแต่สีดูจะแก่ไปสักหน่อย เป็ผ้าสีกรมสี่ผืน สีควันหนึ่งผืน สีครามหนึ่งผืน และสีงาช้างอีกสองผืน
ไป๋ซื่อเพิ่งจะเสียไปได้สามเดือน สกุลลู่ยังต้องไว้ทุกข์ สีพวกนี้ก็เหมาะสมพอดี
ตอนที่ซื้อฝ้าย นางยังเลือกผ้ายกสีสันสดใสมาอีกสองสามผืน เตรียมจะเย็บเป็ผ้าห่มและเสื้อผ้าชุดใหม่ให้พวกเฝิงเจี่ยน
สุดท้ายผ้ามากมายที่ซื้อมาจึงวางสูงเต็มห้องของนาง
วุ่นวายมาทั้งวัน ยามนี้มีเงินอยู่ในมือ ข้าวของก็ซื้อหามาจนครบถ้วนแล้ว ลู่เสี่ยวหมี่นับว่าเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง ความเหนื่อยล้าพลันประดังประเดเข้ามาดั่งสายน้ำไหล
นางจึงตัดสินใจค่อยจัดเก็บของพวกนี้ทีหลัง ก่อนจะเอนตัวซุกผ้าห่มแล้วนอนไปบนเตียงเตาทันที อย่างไรเสียวันรุ่งขึ้นพวกป้าหลิวก็ต้องมาช่วยอยู่ดี หากจัดเก็บเสียตอนนี้พรุ่งนี้ก็ต้องรื้อออกมาใหม่
เป็จริงดังคาด เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ท่านป้าหลิวก็พาสตรีเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันมาหาถึงบ้านโดยไม่ต้องให้เสี่ยวหมี่ไปเชื้อเชิญ
ลู่เสี่ยวหมี่ยิ้มแย้มเดินเข้าไปต้อนรับ กล่าวหยอกล้อว่า “ท่านน้าท่านป้าทั้งหลายรู้หรือเ้าคะว่าวันนี้ข้าจะตุ๋นไก่กับเห็ด ถึงได้รีบร้อนมาหาข้ากันแต่เช้า”
ทุกคนพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน ท่านป้าหลิวจิ้มหน้าผากนางไปทีหนึ่งพลางกล่าวว่า “อุตส่าห์มีน้ำใจมาช่วยเ้าเย็บปัก ยังจะถูกเ้าเหน็บแนมอีก ครั้งหน้าเ้าทำเองก็แล้วกัน ดูสิใครจะร้องไห้จนตาบวมเป็ลูกท้อ”
“แหมๆ ท่านป้าหลิว ข้าผิดไปแล้วเ้าค่ะ”
ตอนเด็กๆ ลู่เสี่ยวหมี่เป็คนเถียงใครไม่เคยชนะ ตอนนี้ยิ่งเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปกอดป้าหลิวพลางออดอ้อนว่า “หากป้าหลิวไม่ช่วย ข้าก็จะไปร้องไห้ถึงบ้านท่านเลยคอยดู”
“ดี ดียิ่งนัก นี่ข้าถูกเ้าหมายหัวเสียแล้วหรือ”
ป้าหลิวไม่มีลูกสาว ยามนี้เห็นลู่เสี่ยวหมี่ออดอ้อนก็ชอบใจเป็ที่สุด
ทุกคนสรวลเสเฮฮากันอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าไปพลิกดูแพรพรรณทั้งหลาย ลู่เสี่ยวหมี่แยกผ้าที่จะใช้ตัดชุดและผ้าห่มให้พวกเฝิงเจี่ยนออกมาก่อน นางเอ่ยว่า “ท่านป้า ผ้าไหมลายสีน้ำตาลนี้จะใช้เย็บชุดใหม่ให้พี่ใหญ่เฝิง ่ข้อมือเย็บให้กระชับหน่อย เผื่อวันหน้าเขาลุกเดินได้แล้วจะได้ใช้ชีวิตสะดวก ผ้าฝ้ายสีควันนี้เย็บเป็เสื้อตัวกลางให้เขาสักสองตัว ส่วนผ้าฝ้ายสีงาช้างนี้บุฝ้ายสี่จินทำเสื้อกันหนาวให้เขา แล้วข้าตั้งใจว่าจะเย็บคลุมด้วยผ้าอีกชิ้น ใช้ผ้ายกสีน้ำเงินสดนี่ก็แล้วกัน ปักลายนกอินทรีกางปีกสักหนึ่งตัวจะต้องงามมากแน่ๆ ส่วนผ้าฝ้ายสีกรมนี้ เย็บเป็กางเกงให้ท่านพ่อของข้า ผ้าฝ้ายสีน้ำเงินแกมดำนี้ทำเป็เสื้อคลุมให้พี่รอง ส่วน...”
ลู่เสี่ยวหมี่ตื่นขึ้นมาวางแผนั้แ่เช้าแล้ว นางคิดเอาไว้แล้วว่าแพรพรรณชิ้นใดควรนำมาทำเป็อะไร จึงพูดคล่องแคล่วไม่ติดขัด อธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างชัดเจน
สตรีทั้งหลายเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งรู้สึกขบขันทั้งสงสาร เด็กสาวคนอื่นๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเสี่ยวหมี่ต่างเป็แก้วตาดวงใจของคนในครอบครัว ยามปกติแค่คอยอยู่กับมารดาเย็บชุดกระโปรงให้ตนเองก็นับว่ามีความสามารถมากแล้ว มีแต่เสี่ยวหมี่ที่ต้องลำบากวุ่นวายคอยดูแลคนทั้งครอบครัว ทั้งเื่ของกินของใช้ไม่เคยได้พัก
นี่แหละคือบุตรสาวที่ไม่มีแม่ จำต้องทนลำบากเช่นนี้
ท่านป้าหลิวเองก็ไม่มีแม่ั้แ่ยังเด็ก ยามนี้จึงปวดใจยิ่งนัก นางจับมือเสี่ยวหมี่ขึ้นมากล่าวว่า “เด็กคนนี้ ข้าฟังมาตั้งนาน เสื้อผ้าพวกนั้นคิดแต่จะทำให้คนอื่นอย่างเดียว ไม่มีของเ้าแม้แต่ชุดเดียว”
“นั่นนะสิ จะถึงวันปีใหม่แล้ว ต่อให้ตอนนี้เ้ายังไว้ทุกข์อยู่ แต่ก็ควรจะตัดกระโปรงใหม่สักชุด แม่นางน้อยที่กำลังเบ่งบานดั่งดอกไม้จะปล่อยให้ตนเองอยู่อย่างอัดอั้นตันใจไม่ได้”
สตรีคนอื่นๆ ก็โน้มน้าวนางเช่นกัน แต่หลายเดือนมานี้ลู่เสี่ยวหมี่ใช้ชีวิตอย่างอัตคัดจนเคยชิน เมื่อวานคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะต้องตัดชุดกระโปรงใหม่ให้ตนเอง อีกอย่างเงินที่ได้มาก็มาจากฝีมือการล่าสัตว์ของเกาเหริน ต่อให้เฝิงเจี่ยนจะบอกว่าให้อำนาจนางเป็คนตัดสินใจ นางก็ยังไม่หน้าด้านพอจะสิ้นเปลืองเงินทองไปกับเสื้อผ้าของตัวเอง
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ท่านป้า ชุดเดิมที่ข้ามีอยู่ก็ยังใหม่อยู่ถึงแปดส่วน อีกอย่างสองวันก่อนพี่รองข้าซื้อชุดกระโปรงใหม่มาให้ข้าด้วยนะเ้าคะ ข้าไม่ขาดแคลนอาภรณ์หรอกเ้าค่ะ”
น่าเสียดายนางพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็มีคนตาแหลมยื่นมือไปหยิบชุดประโปรงสีแดงดอกท้อออกมา ยิ้มพลางเอ่ยปากด่าว่า “พี่รองของเ้า หากพูดเื่ฝีมือหมัดมวยนับว่าไม่ธรรมดา แต่ไม่มีความละเอียดลออในจิตใจเอาเสียเลย”
“นั่นน่ะสิ ชุดกระโปรงนี้ต้องรอออกทุกข์เสียก่อนถึงจะใส่ได้ คงต้องรอไปอีกสองปี ถึงตอนนั้นคงจะเล็กไปแล้วด้วยซ้ำ”
ท่านป้าหลิวหยิบผ้าฝ้ายสีงาช้างขึ้นมาทาบ ก่อนปรบมืออย่างหมายมั่น “ข้าว่าผ้าส่วนนี้คงเอามาใช้ไม่ได้ ไม่สู้เอามาทำชุดกระโปรงให้เสี่ยวหมี่ ปักดอกไม้เล็กๆ ไม่กี่ดอกลงไปก็คงไม่ฉูดฉาดแต่อย่างใด หากว่าผ้าสีกรมและสีควันก็เหลือเศษด้วย เช่นนั้นค่อยเอามาเย็บผสมกันเป็ชุดกระโปรงให้เสี่ยวหมี่ ถ้ายังเหลือพอก็เอามาตัดหุ้มรองเท้าให้นางให้อีกคู่หนึ่ง”
“ความคิดนี้ดีมาก เรามาลองวัดขนาดกันก่อน”
บรรดาสตรีที่มาที่นี่ต่างเป็มือดีทั้งสิ้น สะใภ้อายุน้อยสองสามคนที่ติดตามมา พากันถอดรองเท้าขึ้นไปนั่งบนเตียงเตาทำหน้าที่ยัดฝ้าย ส่วนท่านป้าหวังทำหน้าที่ไปวัดตัวให้บิดาลู่และลูกชาย ส่วนเสี่ยวหมี่พาป้าหลิวไปที่เรือนพักฝั่งตะวันออก
“ท่านลุงหยาง พี่ใหญ่เฝิงตื่นอยู่หรือไม่ ข้าพาท่านป้าหลิวมาช่วยวัดตัว เตรียมทำอาภรณ์ชุดใหม่เ้าค่ะ”
เสี่ยวหมี่พูดจบไม่นานผู้เฒ่าหยางก็เดินมาเปิดประตูอย่างยิ้มแย้ม ในห้องยังมีกลิ่นยาหลงเหลืออยู่ แต่ก็เป็กลิ่นสะอาดสะอ้าน โต๊ะเล็กๆ ที่วางอยู่บนเตียงเตามีถ้วยชาสองใบที่มีควันลอยกรุ่น มือซีดขาวของเฝิงเจี่ยนจับถ้วยชา ครั้นได้ยินเสียงเปิดประตูจึงเงยหน้าไปมอง
ั้แ่ที่ท่านป้าหลิวรู้ว่าสกุลลู่มีแขกสูงศักดิ์มาพัก นางก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องมาดูให้เห็นกับตาให้ได้ ไม่ใช่เพื่อจะเอาไปสนทนาสนุกสนานตามประสาสตรีชาวบ้านคนอื่นๆ แต่นางสงสารลู่เสี่ยวหมี่ อย่างไรเสียตระกูลลู่ก็มีนางเป็แม่นางอยู่เพียงคนเดียว บิดาและพี่ชายต่างก็เป็พวกไม่ละเอียดอ่อนแม้แต่นิด หากต้องเผชิญหน้ากับคนชั่วที่จิตใจไม่บริสุทธิ์ แล้วทำให้ชื่อเสียงนางด่างพร้อยก็จบกัน
แต่ยามนี้ในที่สุดนางก็รู้สึกวางใจได้แล้วจริงๆ
ถึงแม้คำกล่าวที่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกมีผลมาจากความคิดและจิตใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีความคิดสกปรกจะต้องหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว แต่เฝิงเจี่ยนที่รูปลักษณ์หล่อเหลา หว่างคิ้วแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ออกมา ย่อมไม่มีทางเป็คนชั่วช้าเ้าเล่ห์ไปได้
“คุณชายเฝิง เสี่ยวหมี่ขอให้ข้ามาช่วยตัดอาภรณ์ให้ท่าน ต้องล่วงเกินวัดตัวท่านสักหน่อย”
“ไม่เลยขอรับ ลำบากท่านป้าหลิวแล้ว”
เฝิงเจี่ยนวางถ้วยชาลง น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกเหมือนถูกหมางเมินแม้แต่น้อย อากัปกิริยาของเขาดูเหมาะสมไปเสียทุกอย่าง
อีกด้านหนึ่งเสี่ยวหมี่เองก็กำลังวัดตัวให้ท่านลุงหยาง ทางหนึ่งยุ่งอยู่กับงานในมือ อีกทางหนึ่งกำชับว่า “ท่านลุงหยาง เสื้อของท่านข้าให้พวกพี่สะใภ้ใส่ฝ้ายเพิ่มเข้าไปอีกสองจิน ตกกลางคืนถึงท่านจะนอนอยู่ปลายเตียงเตาก็ไม่ต้องกลัวหนาว ส่วนรองเท้าหนังแกะยังต้องรออีกหลายวันถึงจะทำเสร็จ ท่านตื่นมาตอนเช้าก็ไม่ต้องไปกวาดลานบ้านหรอกเ้าค่ะ หากเท้าเย็นจะป่วยได้ง่าย ถึงอย่างไรพี่รองของข้าก็ต้องตื่นแต่เช้ามาฝึกหมัดมวย ให้เขากวาดไปเถอะเ้าค่ะ”
“ได้ ขอบคุณแม่นางลู่มาก”
ผู้เฒ่าหยางยิ้มตาหยี ชัดเจนว่าชอบลู่เสี่ยวหมี่ที่ใส่ใจเขาขนาดนี้เป็อย่างมาก
เฝิงเจี่ยนที่อยู่อีกด้านได้ยินเช่นนี้ก็หันมามองลู่เสี่ยวหมี่เช่นกัน เสี่ยวหมี่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ครั้นไม่เห็นเกาเหรินอยู่ในห้อง จึงสอบถามป้าหลิวว่า “ท่านป้า ท่านเองก็เคยเห็นเกาเหริน ท่านว่าขนาดตัวเขาพอๆ กับหนูน้อยที่บ้านเดิมของท่านป้าหวังหรือไม่เ้าคะ?”
“ข้าว่าก็พอๆ กัน เราตัดเย็บไปก่อน หากไม่ได้ค่อยแก้เอาทีหลัง”
คนทั้งสองปรึกษากันเสร็จก็เดินกลับเรือนหลัง
ในยุคสมัยนี้ คนไม่นิยมไปซื้ออาภรณ์สำเร็จรูปกันที่ร้าน หากที่บ้านมีสตรีอยู่ ส่วนมากล้วนตัดเย็บอาภรณ์ด้วยตนเอง
พวกท่านป้าหลิวมือไม้คล่องแคล่ว เพียงหนึ่งชั่วยามก็ตัดอาภรณ์และผ้าห่มไปได้เยอะแล้ว
เมื่อมีคนมาช่วยงาน ลู่เสี่ยวหมี่ก็ไม่คิดจะทำตัวน่าขายหน้า นางยกน้ำชาและของว่าง รวมถึงเมล็ดแตงโมและถั่วลิสงอย่างละหนึ่งจานเข้ามาให้ทุกคน
หลายวันก่อนไก่ป่าและกระต่ายที่เกาเหรินล่ามาได้ นางยังเก็บไว้ที่บ้านหกเจ็ดตัว ลู่อู่ที่รู้ตัวว่าทำผิดได้นำเนื้อสัตว์พวกนั้นไปจัดการจนสะอาดเอี่ยม ตอนนี้แช่แข็งไว้ในกองหิมะ
ก่อนหน้านี้ลู่เสี่ยวหมี่หยิบเอาไก่ป่าและกระต่ายอย่างละสองตัวออกมาละลาย ลู่เสี่ยวหมี่ใส่ไก่ทั้งตัวลงไปในน้ำเดือดเพื่อชำระล้างคาวเื จากนั้นเปลี่ยนเป็หม้อดินอีกใบเติมน้ำลงไป ใส่พุทราจีน เม็ดเก๋ากี้และโสมป่าที่ได้มาจากลุงสามปี้ ต้มด้วยไฟแรงเสร็จแล้วจึงตุ๋นต่อด้วยไฟเบา
ส่วนไก่ที่เหลืออีกตัวหนึ่งก็จัดการหั่นเป็ชิ้น แล้วใส่ลงหม้อไปพร้อมกับเห็ดที่ตากแห้งเอาไว้ั้แ่ฤดูใบไม้ร่วง
นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบมันฝรั่งขึ้นมาหั่นใส่ลงไปในหม้อ
ส่วนกระต่ายอีกสองตัว นางนำไปผัดกับพริกแดง ทำเป็เนื้อกระต่ายผัดหม่าล่า
นางเปิดฝาถังเก็บข้าวสาร แล้วเทออกมาล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นใส่ลงไปในหม้อดินเผาเหนือเตา ต้มจนน้ำเดือดพล่าน แล้วจึงเทใส่จานดินเผาอีกใบใส่ผสมกับเนื้อไก่ผัดเห็ด แล้วรอจนทั้งสองอย่างสุกได้ที่
มีกะหล่ำปลีแช่แข็งวางเรียงรายอยู่ข้างหน้าต่าง พวกมันถูกแช่แข็งไว้ั้แ่ฤดูใบไม้ร่วงตอนนี้ถูกแช่จนแข็งโป๊ก แต่ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นในใบผักเอาไว้ได้เป็อย่างดี นางเลือกมาจำนวนหนึ่งแล้วหั่นเป็ชิ้น ล้างให้สะอาดก่อนจะโยนลงไปในหม้อน้ำเดือด
จากนั้นจึงนำขึ้นมาผัดกับไข่ไก่ เป็อาหารเรียกน้ำย่อยชั้นดี
เกาเหรินวิ่งวุ่นอยู่ด้านนอกตลอดเช้า เมื่อเดินเข้ามาในบ้านก็ได้กลิ่นหอมลอยมาจากห้องครัวจึงเดินตามกลิ่นนั้นไป
เชิงอรรถ
[1] ซีอวี้(西域)หมายถึงดินแดนฝั่งตะวันตกของประเทศจีน อยู่ในเส้นทางสายไหมที่จางเชียนเคยเดินทางไป
[2] เค่อ(刻)หนึ่งเค่อเท่ากับประมาณสิบห้านาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้