รถม้าของสกุลลู่เดิมก็ไม่ได้ใหญ่มาก ยามนี้วางกล่องไม้สิบหกกล่องขนาดกล่องละหนึ่งฉื่อไว้ก็เกือบเต็มพื้นที่แล้ว
ผู้เฒ่าหยางและลู่อู่นั่งบังคับม้าอยู่ด้านนอก เหลือแค่เสี่ยวหมี่และเฝิงเจี่ยนนั่งอยู่ในรถม้า ช่างน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก
เสี่ยวหมี่ขยับตัวอย่างขัดเขิน เสเปิดกล่องไม้แต่ละใบเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด
เป็ครั้งแรกที่เฝิงเจี่ยนได้เห็นตุ๊กตากระต่ายที่แปลกประหลาดเช่นนี้ เขาขบคิดเล็กน้อยแล้วหยิบขึ้นมาตัวหนึ่ง ถามว่า “กระต่ายนี่ทำออกมาเหมือนจริงมาก เพียงแต่ท่าทางดูแปลกไปสักหน่อย”
เสี่ยวหมี่และพวกผู้หญิงในหมู่บ้านยุ่งอยู่เจ็ดแปดวัน แค่ต้นทุนก็ลงไปกว่ายี่สิบตำลึง นางย่อมไม่อาจยอมรับคำวิจารณ์นี้ได้
นางจึงโต้ตอบทันทีโดยไม่คิด “แปลกตรงไหนกัน น่ารักต่างหาก”
“ได้ น่ารัก” เฝิงเจี่ยนได้ยินเสียงนางก็ใจสั่นน้อยๆ จึงเสริมไปประโยคหนึ่งว่า “ในตัวกระต่ายนี่ยัดอะไรเข้าไปหรือ ไม่เหมือนฝ้าย?”
“ขนไก่ขนเป็ด เสื้อคลุมและกางเกงของท่านเองก็ยัดเ้าสิ่งนี้เข้าไป ทั้งนุ่มนิ่มและน้ำหนักเบา”
จากนั้นเสี่ยวหมี่ก็เอื้อมไปบีบๆ ตะกร้าไม้สานอันเล็กๆ แล้วแกว่งไปมาอย่างภาคภูมิใจ ยิ้มกล่าวว่า “ฝีมือของท่านลุงหลิวสุดยอดจริงๆ ท่านดูตะกร้านี้สิ เวลากระต่ายน้อยปี่เต๋อออกไปกินอาหารข้างนอกกลางสวนหย่อมก็จะเอาผลไม้และของว่างใส่ตะกร้าสานใบนี้ น่ารักเพียงใด ไม่ว่าแม่นางน้อยคนใดเห็นแล้วย่อมต้องถูกใจแน่นอน”
“เ้าเตรียมจะขายออกไปในราคาเท่าใด?”
“อืม ห้าตำลึง?”
เสี่ยวหมี่ยังลังเลใจอยู่ ถึงแม้นางจะมั่นใจในเส้นทางนี้มาก แต่ครั้นคิดถึงว่าในยุคนี้ยังมีคนที่กินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นอยู่มาก ตุ๊กตากระต่ายตัวเดียวหากราคาเท่ากับเสบียงอาหารเป็ร้อยจิน จะถูกฟ้าผ่าหรือไม่?...
“ห้าสิบตำลึง”
คิดไม่ถึงว่าเฝิงเจี่ยนจะเสนอราคาสูงกว่านั้นถึงสิบเท่า เสี่ยวหมี่โต้กลับว่า “แม้จะบอกว่าสองสามเมืองทางใต้ของแคว้นต้าหยวนล้วนร่ำรวย แต่ก็คงไม่มีใครยอมจ่ายเงินห้าสิบตำลึงซื้อตุ๊กตาของเล่นหรอกกระมัง หากว่าห้าตำลึงถูกเกินไป ไม่สู้ตั้งราคาไว้ที่สิบตำลึง ตุ๊กตานี้ต้นทุนรวมทั้งหมดแล้วยังไม่ถึงสองตำลึงเลย...”
“ไม่ได้ ในเมื่อจะส่งออกไปขายเมืองอื่น ไม่สู้ส่งไปที่เมืองหลวงเสียเลย ที่นั่นมีตระกูลร่ำรวยมากมาย ยิ่งแพงกลับจะยิ่งขายง่าย หากกำหนดราคาไว้ต่ำเกินไป กลับจะยิ่งขายไม่ออก”
ไม่รู้ว่าเฝิงเจี่ยนคิดถึงอะไรขึ้นมา สายตาเขาดูลึกลับ เสี่ยวหมี่กำลังพิจารณาคำที่เขาพูดจึงไม่ทันสังเกต สุดท้ายก็กัดฟัน “ได้ ตกลงตามนี้ หากว่าขายไม่ออก ก็ค่อยเอากลับมาแจกจ่ายพวกเอ้อยาก็แล้วกัน”
ไม่กี่คืนก่อนแม่นางน้อยในหมู่บ้านพากันติดตามมารดามาที่บ้านสกุลลู่ ได้เห็นกระต่ายน้อยปี่เต๋อที่ทำเสร็จแล้ว ยังงดงามกว่าตัวที่เอ้อยาได้ก่อนหน้านั้นอีก ทุกคนต่างอยากได้กันทั้งนั้น
ไม่ต้องเดาเลยว่ามารดาของพวกนางย่อมต้องดับฝันของลูกๆ แต่พวกแม่ๆ ก็ยังสงสารเอาเศษผ้าที่เหลือมาเย็บเป็กระต่ายตัวเล็กให้เด็กๆ เอาไปเล่นกันแทน
หากว่านางเอากระต่ายน้อยปี่เต๋อตัวขนาดมาตรฐานที่เย็บเสร็จแล้วไปให้พวกนาง คงจะดีใจจนหลับฝันหวานแน่นอน
คนทั้งสองสนทนากันอย่างสนุกสนานเช่นนี้ คล้ายว่าย้อนกลับไปยัง่ที่เพิ่งพบกันแรกๆ จนเมื่อเสี่ยวหมี่นึกขึ้นได้ว่าระหว่างพวกนางยังมีความกระอักกระอ่วนกันอยู่นั้น รถม้าก็มาถึงประตูเมืองแล้ว
ไม่รู้เพราะ์เป็ใจหรืออย่างไร จึงไม่มีพวกอันธพาลมาคอยเฝ้าประตูเมืองในยามนี้ มีแค่ทหารเฝ้าประตูทั่วไปที่สามารถจัดการได้ง่าย ผู้เฒ่าหยางยัดเงินไม่กี่สิบอีแปะให้ก็สามารถผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ไม่เช่นนั้นรถขนของกับคนอีกสี่คน อย่างน้อยก็ต้องมีร้อยสองร้อยอีแปะแล้ว
“ลางดีๆ ไม่แน่ กระต่ายน้อยปี่เต๋อของเราอาจจะขายได้อย่างราบรื่นก็เป็ได้”
เสี่ยวหมี่ยิ้มแย้มปิดกล่อง ท่าทางลุ่มหลงในเงินตราของนางช่างน่ารักจนเฝิงเจี่ยนมุมปากโค้งขึ้น
เสี่ยวหมี่หน้าแดง ดุเขาว่า “ยิ้มอะไรของท่าน ท่านเป็เ้าหนี้ ข้าเป็ลูกหนี้ การค้าไม่ทำกำไรแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาคืนท่านเล่า”
ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว คนบนถนนเดินกันขวักไขว่ ดูครึกครื้นยิ่งนัก ลู่อู่ะโลงจากรถแล้วเปลี่ยนมาลากสายจูงม้าไปยังร้านผ้าเฉินจี้
ยามปกติพวกเขาไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ครั้นเด็กรับใช้เห็นว่าเป็พวกเขาจึงรีบเปิดประตูให้
ยังไม่รอให้ลู่อู่ขนของลงมา เถ้าแก่เฉินก็เดินออกมาต้อนรับแล้ว
“แม่นางลู่ บังเอิญจริงๆ ที่วันนี้ท่านมา ข้ากำลังคิดว่าจะเอาเงินค่าผักไปให้ท่านพอดีขอรับ”
“ไม่ต้องรีบเ้าค่ะ เถ้าแก่เฉินเป็คนที่เชื่อใจได้ อีกสองสามวันค่อยชำระบัญชีกันก็ได้เ้าค่ะ”
เสี่ยวหมี่เรียกให้พี่รองยกกล่องหนึ่งกล่องเข้ามา จากนั้นนางและเฝิงเจี่ยนจึงเดินตามเถ้าแก่เฉินเข้าไปด้านใน
เถ้าแก่เฉินได้รับคำชมจากลู่เสี่ยวหมี่ก็รู้สึกพอใจเป็อย่างยิ่ง เขาลูบเคราตัวเองจากนั้นกล่าวว่า “แม่นางลู่อาจจะยังไม่ทราบ ผักสดพวกนี้ยามนี้เป็ของหายากที่ใครๆ ก็แย่งกันซื้อ หากไม่ใช่เพราะทุกครั้งที่ลูกน้องข้าเดินทางไปตัดผักที่หมู่บ้านล้วนปกปิดสายตาผู้อื่นอย่างดี เกรงว่าคงมีคนไปขอซื้อถึงหมู่บ้านแน่นอน หากข้ายังติดค้างค่าผักแม่นางลู่อีก ไม่เท่ากับว่าเป็การตัดหนทางทำมาหากินตัวเองหรือ”
“ดีแล้วเ้าค่ะ แต่น่าเสียดายที่ผักสดก็มีอยู่แค่นี้ ถึงข้าคิดจะขายให้ผู้อื่นก็คงไม่มีให้ขายหรอกเ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่ยังคงแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน
เดิมทีเถ้าแก่เฉินถามก็เพราะมีใจอยากจะหยั่งเชิงความคิดของนาง ยามนี้ได้รับคำตอบเช่นนี้เขาก็เบาใจลงมาก
ถึงแม้ระหว่างพวกเขาจะทำการตกลงกันไว้ก่อนแล้ว แต่หากลู่เสี่ยวหมี่คิดจะขายผักให้ผู้อื่นเพราะได้ราคาดีกว่า เขาก็ไร้หนทางจะคัดค้าน
ลู่เสี่ยวหมี่ถามเื่วันที่เขาจะเข้าไปตัดผักครั้งต่อไป จากนั้นก็ไม่เสียเวลาอีกเข้าเื่ทันที นางให้พี่รองนำกล่องตุ๊กตาเข้ามา
“เถ้าแก่เฉิน สองสามวันมานี้ข้าทำของเล่นใหม่ออกมา อยากให้ท่านช่วยนำไปขายที่ทางใต้ให้หน่อย”
“โอ้ อะไรหรือ ขอข้าดูหน่อย”
เถ้าแก่เฉินยามนี้ก็เหมือนคนอื่น เห็นเสี่ยวหมี่เป็ดังเทพธิดาเรียกทรัพย์
ได้ยินว่านางมีของใหม่ๆ มาขาย ก็ตื่นเต้นจนวางถ้วยชาในมือลงแล้วยืนขึ้น
ในตอนนี้เอง ม่านที่บังประตูไว้กลับถูกเลิกขึ้น
ชายอายุราวสามสิบคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีใบหน้าคล้ายกับเถ้าแก่เฉินอยู่ห้าส่วน แตกต่างที่สายตาเขาดูแวววาวกว่า
“ท่านพ่อ ข้ากลับมาได้ยินว่าบ้านเรามีแขก จึงเข้ามาทักทายขอรับ”
เมื่อชายคนนั้นเอ่ยปากทักเถ้าแก่เฉิน ก็เท่ากับเป็การยืนยันข้อสันนิษฐานของทุกคนในที่นี้
เถ้าแก่เฉินมีเพียงบุตรสาวหนึ่งคนบุตรชายหนึ่งคน บุตรชายคนนี้เรียกได้ว่าเขาฟูมฟักสั่งสอนกับมือมาั้แ่เด็ก เขาให้ความสำคัญและรักลูกชายคนนี้มาก
ตอนนี้จู่ๆ เขาก็บุกเข้ามาในห้อง เถ้าแก่เฉินไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังช่วยแนะนำด้วย
“แม่นางลู่ นี่คือลูกชายของข้าเฉินซิ่น เขาทำงานอยู่ที่เมืองหลวง พอดีสองสามวันนี้กลับมาเพราะมีงานแถวนี้ ก่อนหน้านี้ท่านไม่ใช่ว่าขอให้ข้าช่วยหาไข่ดินให้หรอกหรือ ครั้งนี้ก็เป็เขานี่แหละที่นำคนขนมันกลับมาให้”
“อ้อ เช่นนั้นต้องขอบคุณคุณชายเฉินมาก”
เสี่ยวหมี่ลุกขึ้นยอบกายคารวะ ท่าทางสง่างามใจกว้าง ไม่มีท่าทีเขินอายทำตัวไม่ถูกอย่างที่หญิงสาวคนอื่นมักเป็เมื่อพบชายแปลกหน้า
เฉินซิ่นได้ยินบิดาพูดถึงเสี่ยวหมี่บ่อยๆ เมื่อครู่ก็เป็เพราะเขาได้ยินพวกคนรับใช้พูดกัน รู้สึกสงสัยจึงเข้ามาดู คิดไม่ถึงว่าลู่เสี่ยวหมี่จะอายุน้อยขนาดนี้ เหมือนจะเด็กกว่าน้องสาวของเขาปีสองปีด้วยซ้ำ แต่นางกลับคิดวิธีปลูกผักในฤดูหนาวออกมาได้ ไม่น่าเชื่อจริงๆ
“แม่นางลู่เกรงใจแล้ว เป็เื่ที่สมควรทำอยู่แล้วขอรับ”
พูดไปพลางทุกคนก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เฉินซิ่นเอียงศีรษะไปสังเกตเห็นเฝิงเจี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ ลู่เสี่ยวหมี่ แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น
คนผู้นี้คือใคร?
เสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำตาลเข้มลายดอกเล็กๆ งานปักไม่ถือว่าเป็ฝีมือชั้นเลิศ แต่รูปแบบแลดูพิเศษไม่เหมือนใคร คอเสื้อยกสูงขึ้นครึ่งชุ่น กลับยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าของชายคนนี้ดูหล่อเหลา ที่สำคัญคือ มันไม่อาจกลบกลิ่นอายแห่งความสูงศักดิ์จากร่างเขาได้เลย แม้แต่นายน้อยที่เขาติดตามอยู่ตลอดก็ยังเทียบไม่ได้ หรือท่านผู้นี้จะเป็ลูกผู้ดีจากตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง?
เฝิงเจี่ยนเล่นถ้วยชาในมือ สายตาตวัดไปที่เฉินซิ่นคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ความเ็าห่างเหินจากสายตาคู่นั้นทำให้เฉินซิ่นกลืนคำถามกลับลงคอไป
อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวหมี่กำลังเล่าเื่ตุ๊กตากระต่ายแบบใหม่นี้ให้เถ้าแก่เฉินฟัง เถ้าแก่เฉินได้ยินเสี่ยวหมี่บอกว่าจะส่งกระต่ายพวกนี้ไปขายในเมืองหลวง เขาก็ดูลังเลมาก
ในสายตาของเขาตุ๊กตาพวกนี้น่ารักมากก็จริง แม่นางน้อยคนไหนได้เห็นล้วนต้องชอบใจ แต่หนึ่งชุดขายห้าสิบตำลึงก็ออกจะแพงไปสักหน่อย ต่อให้ในเมืองหลวงจะมีอ๋องมากเท่าสุนัข โยนอิฐก้อนหนึ่งเข้าไปกลางวงอาจจะทำขุนนางใหญ่สิบกว่าคนล้มเป็หน้ากระดานได้ แต่ก็ไม่มีใครเป็คนโง่หรอกนะ
ห้าสิบตำลึงคือเบี้ยหวัดเดือนหนึ่งของขุนนางขั้นสามเชียวนะ หากจะเอามาใช้ซื้อกระต่ายตัวหนึ่งก็ไม่น่าจะเป็ไปได้
แต่เสี่ยวหมี่เสนอกำไรให้สองส่วน ไม่ว่าอย่างไรเขาจึงคิดจะลองดู
“ได้ แม่นางลู่ การค้านี้ข้าจะรับไปทำดู ในเมื่อรับแล้วก็ย่อมทำอย่างเต็มที่ หากว่าไม่สำเร็จ ข้าจะรับผิดชอบต้นทุนครึ่งหนึ่ง”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” เสี่ยวหมี่โบกมือยิ้มเอ่ยว่า “ก็แค่ของเล่นที่ข้าทำขึ้นในยามว่างเท่านั้น หากไม่สำเร็จก็ไม่เป็ไร แค่ต้องให้เถ้าแก่เฉินมาหนักใจไปด้วยข้าก็รู้สึกผิดมากแล้วเ้าค่ะ จะยังมีหน้าให้ท่านช่วยออกต้นทุนให้ได้อย่างไร”
เถ้าแก่เฉินได้ยินดังนั้นก็ขบคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ดื้อดึงต่อไป
คนทั้งสองสนทนาสัพเพเหระกันไปอีกครู่หนึ่ง ตกลงกันแล้วว่าพรุ่งนี้จะให้เถ้าแก่เฉินจ้างรถสักสองคันช่วยขนไข่ดินไปยังหมู่บ้านเขาหมี จากนั้นพวกเสี่ยวหมี่จึงเอ่ยลา
เมื่อเถ้าแก่เฉินส่งแขกแล้ว เห็นว่าบุตรชายยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนจึงเข้าไปถามว่า “เป็อะไรไป เ้าใหญ่ หรือเ้าเห็นว่าแม่นางลู่มีอะไรผิดปกติหรือ?”
“ไม่ใช่ขอรับ” เฉินซิ่นส่ายหน้า ถามว่า “ท่านพ่อ แม่นางลู่คนนี้ดูเฉลียวฉลาดรู้ความ เป็แม่นางดีๆ ที่หาได้ยาก แต่ว่า...”
“แต่อะไร...”
เถ้าแก่เฉินถูกท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ของบุตรชายทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็ส่ำ อดเร่งรัดไม่ได้ “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
“คนที่อยู่ข้างกายแม่นางลู่นั่นเป็ใครกัน ข้าดูแล้วเหมือนไม่ใช่คนธรรมดา”
“เ้าหมายถึงคุณชายเฝิงหรือ” เถ้าแก่เฉินขมวดคิ้ว “คนผู้นี้ได้ยินว่าเป็ลูกชายผู้มีตระกูลออกมาทัศนาจร ก่อนหน้านี้ช่วยบุตรชายคนที่สามของสกุลลู่ไว้จากเงื้อมมือโจรป่าแล้วพักรักษาตัวอยู่ที่สกุลลู่มาตลอด ส่วนว่าเขามาจากไหนนั้น ไม่มีใครรู้”
พูดจบเถ้าแก่เฉินก็กังวลขึ้นมา กดเสียงต่ำถามว่า “เ้าใหญ่ เ้าหมายความว่าคนผู้นี้มิใช่คนดี? เช่นนั้นข้าควรจะเตือนแม่นางลู่สักหน่อยดีหรือไม่...”
“ไม่ใช่ขอรับ” เฉินซิ่นรีบห้ามบิดาของตนไว้ “ท่านพ่อคิดมากเกินไปแล้ว ข้าดูแล้วคนผู้นี้กลิ่นอายรอบกายแลดูไม่ธรรมดา คล้ายว่าจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์ วันหน้าท่านพ่ออย่าได้ไปล่วงเกินเขาเป็อันขาดขอรับ ต้องเคารพนอบน้อมให้มากหน่อย”
“อ้อ เป็เช่นนี้เอง...” เถ้าแก่เฉินเชื่อสายตาของบุตรชาย อย่างไรเสียลูกชายเขาก็อยู่ในเมืองหลวงมานาน หากความสามารถแค่นี้ยังไม่มีเกรงว่าคงต้องกลับบ้านมานานแล้ว
“ข้ารู้แล้ว เ้าวางใจเถิด”
เฉินซิ่นเห็นว่าบิดาเชื่อคำเขา ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหันไปมองตุ๊กตาที่อยู่บนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “กล่องพวกนี้ข้าจะเอากลับเมืองหลวง ลองหาวิธีดู หากสามารถขายได้ในราคาสูงก็นับว่าเป็การผูกวาสนากับสกุลลู่”
เถ้าแก่เฉินตอบรับอย่างพอใจ “ดีเลย ข้าเห็นแม่นางลู่คนนี้มีความสามารถที่พิเศษไม่เหมือนใคร ไม่แน่วันหน้าตระกูลลู่อาจไปได้ไกลก็เป็ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้