บทที่ 2 : ภาพเต่าลึกลับแบกหิน
ที่ใดมีา ที่นั่นย่อมมีคนขนศพ และที่แห่งนี้ก็คือาระหว่างชนเผ่า อำนาจของชนเผ่าต่างๆบนแผ่นดินต้นกำเนิดนั้นช่างซับซ้อน ไม่มีพันธมิตรที่ยั่งยืนและไม่มีศัตรูตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็เผ่ามืดทั้งห้าหรือเผ่าแสงทั้งห้า ก็มีเพียงตาชั่งแห่งผลประโยชน์เท่านั้นที่จะวัดความสัมพันธ์ที่แท้จริงของพวกเขาได้
ทว่าต้นกำเนิดของาครั้งนี้ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน หากว่าด้วยเื่ของการแบ่งทรัพยากรบนแผ่นดินต้นกำเนิด ขอเพียงบรรดาเผ่าใหญ่มานั่งจับเข่าคุยอย่างตรงไปตรงมาเสียก็เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่ว่าใครหน้าไหนก็ล้วนทราบดี ไม่มีฝ่ายไหนได้ประโยชน์จากการก่อาไม่รู้จบเช่นนี้ทั้งนั้น ต่อให้แข็งแกร่งดั่งเผ่าปีศาจ ทรงพลังดั่งเผ่าเร้นลับ อย่างไรเสียในการรบย่อมมีการาเ็ล้มตายเป็แน่ ยิ่งเป็ชนเผ่าที่แข็งแกร่ง ยิ่งง่ายต่อการถูกผู้คนเพ่งเล็ง เพราะจะใครก็ไม่อยากทำลายดุลอำนาจของความแข็งแกร่งระหว่างชนเผ่าอยู่แล้ว หากสมดุลนี้ถูกทำลายลงเมื่อใด ผู้ที่โชคร้ายที่สุด ก็คือผู้ที่อ่อนแอที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในาครั้งนี้เผ่ามนุษย์เรียกได้ว่าเป็พวกที่แสนอ่อนแอ แต่เผ่ามนุษย์นั้นกลับมีความทนทานมากที่สุด ภูมิปัญญาของเผ่ามนุษย์ก็ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน เมื่อรวมทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันก็ทำให้ในาครั้งนี้เผ่ามนุษย์เป็ฝ่ายที่สูญเสียน้อยที่สุด แต่ถึงจะเป็แบบนั้น ในสนามรบนี้เผ่ามนุษย์ก็ยังคงมีศพนับหมื่นที่ต้องจัดการอยู่ดี ด้วยเหตุนี้คนขนศพจึงเริ่มงานยุ่งขึ้นมาจนได้ เผ่ามนุษย์ให้ความสำคัญกับร่างของคนในเผ่าเป็อย่างยิ่ง โดยส่วนมากผู้เสียชีวิตจะถูกเพื่อนร่วมเผ่าเก็บไปด้วยตอนถอยทัพ ทว่าศัตรูไม่ได้ให้เวลาเก็บกวาดสนามรบสักเท่าไรนัก อีกทั้งอาณาเขตของสนามรบยังกว้างใหญ่เกินไป ศพของผู้เสียชีวิตมากมายจึงถูกทิ้งอยู่ในแดนของศัตรู ในเวลาแบบนี้มีเพียงคนขนศพเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ เพราะพวกเขาเป็แค่คนธรรมดา หรือไม่ก็คนที่ยังไม่เปิดิญญา การเข้าไปในเขตของศัตรูเพื่อหาศพของคนในเผ่าจึงจะไม่เกิดความขัดแย้งกับทั้งสองฝ่าย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนขนศพจะปลอดภัยไร้กังวลแต่อย่างใด ใครจะรู้ว่าอยู่ๆ นักรบเผ่าปีศาจตนไหนจะเกิดอยากระบายอารมณ์เอาคนขนศพมาเป็เป้าธนู หรือบางทีปีศาจที่ง่วนอยู่กับสังหารจนเป็บ้าก็เกิดอยากจะทดลองพิษปีศาจของมันขึ้นมาเสียอย่างนั้น หรือเผ่าผีก็อาจจะลองความรู้สึกอันยอดเยี่ยมตอนที่ได้กระชากกลืนกินดวงิญญา ส่วนเผ่ากระดูกก็ชอบรวบรวมกระดูกมนุษย์เสียยิ่งกว่าอะไรดี มีเพียงเผ่าอสูรจากในห้าเผ่ามืดเท่านั้นที่ปฏิบัติค่อนข้างดีต่อคนขนศพเผ่ามนุษย์ เพราะเผ่าอสูรเองก็ให้ความสำคัญกับศพเหมือนกันกับเผ่ามนุษย์...
ทว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่เพียงการลอบโจมตีจากพวกชอบไล่ฆ่ากับงานอดิเรกแสนวิปริตแต่อย่างใด ยังมีสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือกับดักที่ออกมาจากซากศพ
นักรบเผ่ามืดมากมายมีความชอบที่แปลกประหลาด เช่นพวกเขารู้ว่าคนขนศพเผ่ามนุษย์จะไม่ทิ้งศพไว้ในสนามรบ ฉะนั้นพวกเขาจึงวางกับดักต่างๆ ไว้ในศพ จากนั้นเฝ้าดูตอนที่คนขนศพตกไปในกับดักของพวกเขา ฟังเสียงคร่ำครวญของคนขนศพ สำหรับพวกเขามันช่างเป็ความสุขสำราญอย่างหนึ่ง อีกทั้งการทำแบบนี้ยังไม่ผิดกฎสนามรบอีกด้วย แม้แต่สัญญาระดับสูงของโลกซิงเหินก็ไม่อาจจัดการเื่นี้ได้ อย่างไรเสียพวกเขาก็อ้างได้อยู่ดีว่าเป็กับดักที่วางไว้ก่อนคนพวกนั้นจะออกรบเสียอีก และพวกเขาก็ไม่เคยสังหารคนขนศพด้วยตัวเอง… ส่วนศพที่ลั่วถูกำลังแบกอยู่นั้นเป็ศิษย์าขั้นสองที่ถูกเผ่ามารสังหาร สำหรับคนที่ยังเปิดิญญาไม่สำเร็จอย่างลั่วถู แค่ศิษย์าขั้นหนึ่งก็เป็คู่ต่อสู้ที่ไม่อาจก้าวข้ามได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงศิษย์าขั้นสองเลย พวกนั้นสังหารเขาให้ตายได้ง่ายดายไม่ต่างกับมดปลวกสักตัว
ต้องไม่ลืมว่าผู้ที่จะเปิดิญญาได้สำเร็จ จำเป็ต้องรวบรวมปราณและเป็ศิษย์าระดับหนึ่งให้ได้เสียก่อน แถมยังเป็ศิษย์าขั้นหนึ่งที่ธรรมดาที่สุด พวกเขามีพละกำลังเทียบเท่ากับวัวหนึ่งตัว ศิษย์าขั้นสองจะมีพละกำลังเท่าวัวสองตัว เมื่อไปถึงศิษย์าขั้นเก้าพวกเขาจะมีกำลังเท่าวัวเก้าตัว เมื่อทะลวงจากระดับศิษย์าขึ้นสู่ระดับนักรบจะมีพละกำลังเท่าช้างหนึ่งเชือก ระดับของนักรบเองก็มีทั้งหมดเก้าขั้นเช่นกัน และทุกขั้นที่เพิ่มขึ้นจะมีพละกำลังของช้างเพิ่มขึ้นหนึ่งเชือก เมื่อทะลวงจากระดับนักรบขั้นเก้าสำเร็จ ก็จะก้าวขึ้นสู่ระดับปรมาจารย์ ปรมาจารย์ขั้นที่หนึ่งมีพละกำลังเท่ากับเจียว[1]หนึ่งตัว พลังของเจียวหนึ่งตัวเท่ากับช้างสิบเชือก… และนี่คือมาตรฐานผู้ฝึกตนของโลกซิงเหิน สำหรับระดับขุนพลมีพลังเท่ากับเจียวสิบตัว หรือัหนึ่งตัว และเมื่อถึงระดับจอมทัพจะก้าวข้ามความเป็มนุษย์ ทำได้กระทั่งถล่มดาวทลายจันทร์ จอมทัพขั้นที่หนึ่งมีพลังเท่าดาวหนึ่งดวง พลังของจอมทัพช่างมากมายเสียจนต้องใช้พลังทั้งดวงดาวถึงจะวัดระดับพลังได้ และบรรพบุรุษของลั่วถูเป็ถึงจอมทัพขั้นที่ห้า ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษนี่เองที่ทำให้ตระกูลของเขามีที่ยืนในโลกชั้นสูง
แต่ลั่วถูเป็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ถึงแม้ร่างกายของเขาถูกทางตระกูลขัดเกลามาั้แ่เด็ก กินยาิญญามากมาย ฝึกฝนอย่างหนักหน่วง ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งไม่แพ้ใคร แต่ถึงจะเป็อย่างนั้นก็มีพลังเท่ากับคนไม่กี่คน ผู้ที่ยังไม่เปิดิญญาที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีพลังเทียบเท่ากับคนเก้าคนเท่านั้น หาก้าทะลวงไปสู่ระดับพลังที่สูงกว่านี้ก็ต้องเปิดิญญาให้สำเร็จ แน่นอนว่าผู้ที่เปิดิญญาไม่ได้ยังมีวิธีได้รับเกียรติยศบนโลกซิงเหินเช่นกัน นั่นก็คือทักษะศิลป์
แม้รากิญญาของลั่วถูจะไร้ค่าเกินทน แต่พลังิญญาของเขากลับแข็งแกร่ง อย่างน้อยก็มากพอจะทำให้ตระกูลระดับห้ายอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อทำการเปิดิญญาถึงห้าครั้ง ต้องเป็คนที่ถูกมองว่าเป็บุคลากรชั้นเลิศของตระกูลเป็แน่ เพียงแต่น่าเสียดายว่านอกจากฉลาดแล้ว รากิญญาของเขากลับถูกมองว่าเป็โคลนตมไร้ค่าที่ไม่อาจขึ้นรูปเป็สิ่งใดได้ สุดท้ายก็ถูกตระกูลทอดทิ้ง ไม่ว่าจะมีทักษะศิลป์ดีเลิศเพียงไร ก็ไม่อาจสู้คนที่เปิดิญญาสำเร็จและบรรลุเป็ศิษย์าขั้นต้นได้ อย่างน้อยศิษย์ายังมีลู่ทางให้เติบโตมากมาย แต่ศิลปะทำได้เพียงหาข้าวกิน มีเพียงต้องเปิดิญญาสำเร็จและมีความสามารถทางศิลปะที่ล้ำเลิศควบคู่กันไปเท่านั้น ถึงจะก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้นได้ และสร้างเกียรติยศมากมายแก่ตระกูล
ลั่วถูในตอนนี้ไม่ได้คิดถึงวิธีที่จะสร้างเกียรติสักนิด เขาคิดเพียงต้องมีชีวิตรอดให้ได้เท่านั้นเอง พิษมารแล่นเข้าสู่หัวใจ แม้จะกินยาต้านมารทั้งหมดที่มีไปแล้ว ทว่าพลังสีเทายังคงแผลงฤทธิ์ทำให้ิัเขาให้กลายเป็สีเทาอยู่ดี เขาขอเพียงยืดเวลาออกไปได้อีกสักหน่อย ถ้าสามารถไปฐานที่พักของเผ่ามนุษย์ได้ อาจซื้อยาต้านพิษมารระดับสูงได้ หรือไม่ก็เชิญผู้เชี่ยวชาญมาถอนพิษให้ได้
“ข้าจะตายจริงๆอย่างนั้นหรือ?” ข้างหน้าของลั่วถูพลันมืดมิด ศิลาั์ตรงหน้าราวกับจะสั่นไหวไปด้วย ศพบนหลังก็หนักอึ้งราวูเา เขาอยากจะวางมันลงเหลือเกิน แต่ก็ไม่อยากยอมแพ้... ทันใดนั้นเอง! รูปภาพแปลกประหลาดที่สร้างขึ้นจากลายเส้นง่ายๆ ถักสานขึ้นเป็ภาพก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา!
“รูปเต่าลึกลับแบกหิน...” ลั่วถูรู้สึกว่ามันพิลึกพิลั่นสิ้นดี ตอนที่เขาเห็นเส้นสายเชื่อมโยงกันเป็ภาพ ในหัวก็ราวกับได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก สายตาพร่ามัว ทิวทัศน์ตรงหน้าวูบไหว ทำให้ภาพเต่าลึกลับแบกหินดูคล้ายจะขยับได้
“ข้าตาฝาดหรือ?” ลั่วถูขยี้ตา เขารู้สึกว่าพิษเริ่มส่งผลต่อจิตใจของเขา ทำให้สายตาพร่ามัว หลังจากขยี้ตา เมื่อมองอีกทีภาพเต่าลึกลับแบกหินกลับกลายเป็เพียงรอยตัดง่ายๆ ไม่กี่รอย ซ้ำยังแข็งทื่อไม่ขยับ เขาเองก็ไม่ต่างอะไรกับสรรพชีวิตมากมายที่ต้องผิดหวังมาหลายพันปี เพราะศิลากำเนิดเทพได้สูญเสียจิติญญาไปแล้ว ไม่อาจทำให้ใครรู้แจ้งได้อีก ทั้งหมดที่เห็นเมื่อครู่เป็เพียงภาพหลอนเท่านั้นเอง
ผลจากการโจมตีของหมื่นดวงดาวในครั้งนั้น ทำให้ศิลากำเนิดเทพได้ใช้พลังทั้งหมดของมันไปแล้ว ถึงขนาดที่ว่าพลังิญญาของแผ่นดินต้นกำเนิดในบริเวณนี้ถูกสูบไปจนเกลี้ยง แม้จะปกป้องต้นกำเนิดของโลกซิงเหินไว้ได้ ทว่ามันกลับทำให้แผ่นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ไร้ใครเทียม ต้องกลายเป็เพียงแผ่นดินธรรมดาไปกว่าร้อยปี สุดท้ายแผ่นดินต้นกำเนิดก็ถูกชนเผ่าต่างๆ ทอดทิ้ง พวกเขาย้ายไปดินแดนและดวงดาวรอบข้างที่เต็มไปด้วยพลังิญญา แถมพวกเขายังนำศิลาาของตนไปด้วย แต่ยังคงส่งคนที่ระดับฝึกตนต่ำมาเฝ้าศิลากำเนิดเทพไว้ เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานที่นี่ก็กลายเป็โลกชั้นล่าง หลงเหลือไว้เพียงความทรงจำของศิลากำเนิดเทพ
“แปลกจริง...” เมื่อลั่วถูคิดว่าตัวเองตาฝาด ภาพเต่าลึกลับแบกหินกลับขยับขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังมีแสงกะพริบเคลื่นที่วูบไหวราวกับพายุหมุนอยู่บนเต่าลึกลับอีกด้วย... มันช่างเป็ความรู้สึกที่แปลกเหลือเกิน พิษมารทำให้เขาตาพร่ามัวจนทำให้เขาเห็นเป็เงาประหลาด ที่มองแล้วชวนให้นึกถึงถุงศพที่เขาแบกอยู่ ท่าทางที่คุกเข่าข้างหนึ่งและเงยหน้าขึ้น เหมือนกับเต่าลึกลับที่ถูกทับเงยหน้าขึ้นและแบกหินอย่างยากลำบาก... ชั่วขณะนั้นเองราวกับชะตาบันดาล พลังในร่างขับเคลื่อนจุดแสงให้โคจรอย่างไม่อาจห้ามได้ จนกระทั่งรู้สึกว่าจู่ๆ เส้นลมปราณในร่างก็เกินการเคลื่อนไหวขึ้น
ถึงแม้ลั่วถูจะยังไม่ได้เปิดิญญา แต่การอยู่ที่สำนักจ๋าเสวียและได้เรียนรู้มาหลายปี ตำแหน่งของจุดลมปราณในร่างย่อมไม่ใช่ความรู้ไกลตัวสักนิด แน่นอนว่าเหตุผลบางส่วนเป็เพราะเขามาจากตระกูลที่ได้รับการศึกษามาอย่างดี ตอนที่เขาเคลื่อนลมปราณที่แสนอ่อนแอไปในร่างกายให้ไหลตามทิศทางของจุดแสง กลับรู้สึกว่าใต้พื้นดินมีแหล่งน้ำเย็นขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ เมื่อมันไหลผ่านระหว่างฝ่ามือที่ัักับพื้นดินเข้าสู่ร่างกาย ถุงศพที่แบกไว้พลันรู้สึกเบาขึ้นเล็กน้อย...
ถุงศพที่เบาขึ้นเป็ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายและหาที่เปรียบได้ ทั้งยังทำให้ความคาดหวังในใจของลั่วถูถูกเติมเต็มอีกด้วย ลมปราณในร่างไหลเวียนอย่างรวดเร็ว แผ่นดินที่หนักแน่นหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายในพริบตา จากร่างกายที่อ่อนแอในคราแรกราวกับถูกเปลี่ยนเป็พลังอันยิ่งใหญ่ที่กระทั่งพิษมารก็ไม่อาจกล้ำกรายได้
“อั่ก!” ลั่วถูกระอักเืสีเทาเข้มออกมาอึกใหญ่พร้อมกลิ่นคาวคลุ้ง แต่เมื่อได้กระอักเลือกออกมาก็รู้สึกสบายตัวขึ้นในทันที ถึงขนาดกลับมาแบกถุงศพได้อีกครั้งในพริบตา เพียงแค่นึกถึงภาพเต่าลึกลับแบกหิน ลั่วถูในตอนนี้ก็ไร้ซึ่งความลังเลอีกต่อไป เขาแบกศพมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่ใกล้ที่สุด ท่าทางพิษมารจะถูกสะกดเอาไว้ในเวลาอันสั้น และมีแต่์เท่านั้นที่รู้ว่าจะสะกดพิษมารไปได้อีกนานแค่ไหน ดังนั้นยิ่งไปให้ถึงค่ายทหารได้เร็วเท่าไร ความหวังที่จะรอดชีวิตก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แถมหลังจากได้ขับเคลื่อนลมปราณไปเมื่อครู่ แรงกดดันที่ทับอยู่บนร่างกายเองก็ดูเหมือนจะเริ่มเบาลงทุกทีเช่นกัน
________________________________________________________________________________________
[1] เจียว คือ สัตว์อสูรรูปร่างคล้ายัอาศัยอยู่ในน้ำ เจียวเป็สัตว์เทพที่มีศักดิ์ต่ำกว่าัอยู่ขั้นหนึ่ง ในตำนานจีนโบราณกล่าวว่า งูบำเพ็ญ 500 ปีจะกลายเป็เจียว เจียวบำเพ็ญ 1000 ปีถึงจะกลายเป็ั
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้