ที่ร้านเวินเซียงเก๋อ ในตอนที่ได้เห็นเสียวเสี่ยว เวินซีก็จำเขาได้ทันที เขาเป็เด็กชายที่ลงชื่อในสัญญาซื้อขายทาสกับนางเป็คนแรก
เสียวเสี่ยวนอนราบกับพื้นโดยมีเพียงเสื่อฟางปูอยู่ ที่ปากมีฟองขาวๆ ฟอดออกมาอยู่ตลอดเวลา สีหน้าม่วงเขียว เขาพึมพำอย่างทรมาน
“เสียวเสี่ยวเ้าอดทนไว้ก่อนนะ คุณหนูเวินซีมาแล้ว นางจะต้องรักษาเ้าได้แน่”
“เสียวเสี่ยว เ้าต้องอดทนนะ”
เมื่อเห็นว่าเสียวเสี่ยวยังคงแน่นิ่ง ขอทานที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงเรียกเป็กำลังใจ
ขณะนั้นเวินซีวางมือลงบนชีพจรของเสียวเสี่ยวแล้วขมวดคิ้ว อุณหภูมิร่างกายของเขาสูงจนแทบลุกเป็ไฟ ชีพจรก็อ่อนมากเสียจนแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
นางหยิบเข็มเงินออกมาจากหน้าอกพลันปักลงบนหลังมือของเขา “เขาอาหารเป็พิษ รีบนำน้ำมาสักสองสามถัง เร็วเข้า”
ในเวลาต่อมา ขอทานหลายคนก็ช่วยกันยกน้ำมาสามถัง
“พวกเ้าสองคนพยุงเขาขึ้นมา”
เวินซีรีบตักน้ำขึ้นมาหนึ่งกระบวย เมื่อเสียวเสี่ยวถูกพยุงขึ้นนั่งแล้ว นางจึงกรอกน้ำใส่ปากของเขา
แต่เขาไม่ได้สติจึงไม่สามารถดื่มน้ำได้ น้ำที่เทใส่ปากจึงไหลออกมาเยอะกว่าที่ไหลลงคอ ไม่มีทางอื่นใดนอกจากต้องกรอกน้ำให้เขาซ้ำๆ
“อั๊วะ...”
ในที่สุดเสียวเสี่ยวก็ตอบสนอง เขาอาเจียนออกมาแล้ว
“คุณหนูเวินซี...”
ขอทานที่พยุงเสียวเสี่ยวอยู่ขมวดคิ้วด้วยความกังวล
“ไม่เป็ไร อาเจียนออกมาก็ดีแล้ว”
จากนั้นเวินซีก็เห็นเสียวเสี่ยวลืมตาขึ้นเล็กน้อย แต่เป็เพียงแค่ชั่วครู่เขาก็ก้มหน้าลงอย่างหมดแรง
“...” เกิดอันใดขึ้น?
นางััชีพจรของเขา มันดีกว่าเดิมมาก แต่เหตุใดเขายังไม่ตื่นขึ้นมา?
“คุณหนูเวินซี เขาโดนอะไรน่ะขอรับ?”
ขอทานคนหนึ่งอุทาน เมื่อเวินซีมองไปตามสายตานั้นก็เห็นว่าที่แขนเสื้อของเสียวเสี่ยวมีรอยบวมแดง นางชะงักไปก่อนจะถกแขนเสื้อของเขาขึ้นทั้งหมด
ทั้งแขนมีแต่รอยฟกช้ำ ขอทานคนอื่นก็ถกเสื้อของเขาดู พบว่าที่หลังและท้องล้วนเป็รอยแผลใหม่และยังมีเืไหลอยู่
นอกจากจะอาหารเป็พิษแล้ว ยังถูกทุบตีและนำไปทิ้งที่ซอยตัน?
เวินซีพอจะเดาเื่ราวได้คร่าวๆ นางจึงหยิบยาทารอยฟกช้ำออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ
“พวกเ้าดูแลเขาให้ดี าแพวกนั้นไม่ทำให้ถึงตาย แต่เขาต้องพักผ่อนนานหน่อย เมื่อตื่นมาให้มาบอกข้า ข้ามีเื่จะถามเขา”
“ขอรับ คุณหนูเวินซี”
ในเวลาต่อมาขอทานหลายคนก็ช่วยกันหามเสียวเสี่ยวไปที่สวนด้านหลัง
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เวินซีก็เพิ่งจะสังเกตเห็นจ้าวต้าน เขายืนดูเหตุการณ์มาั้แ่แรก นางจึงเดินเข้าไปหา
“ไปกันเถิด”
“ร้านนี้...” เขากำลังจะอ้าปากถามด้วยความสงสัย
“ข้าซื้อเอง ยังไม่ทันมีเวลาได้บอกพวกเ้า”
ถึงแม้จ้าวต้านจะแปลกใจ แต่ก็วางใจลงมาก เพราะร้านค้าสองร้านนั้นเพียงพอที่จะให้เวินซีและเด็กๆ สามคนอยู่อย่างสุขสบายไปทั้งชีวิตแล้ว
“ไปกันเถิด”
เวลานี้ข้างนอกมืดสนิท ยามที่เหมันต์ใกล้เข้ามา ต้นไม้ที่อยู่ตามถนนก็เหลือเพียงกิ่งไม้ เมื่อลมพัดมา เวินซีตัวสั่นเล็กน้อยพลางเดินเข้าไปใกล้จ้าวต้าน
“อย่าลืมสวมเสื้อผ้าให้อุ่น ข้าเตรียมที่อุ่นมือกับเสื้อคลุมไว้ให้แล้ว หากหนาวก็อย่าลืมนำมาใช้”
จ้าวต้านถอดเสื้อของตนออกแล้วคลุมให้ น้อยครั้งนักที่เวินซีจะยอมเชื่อฟัง นี่เป็ครั้งแรกที่นางััได้ถึงความละเอียดอ่อนของบุรุษผู้นี้
“ไปกันเถิด”
เสียงไพเราะล่องลอยในยามค่ำคืน เงาที่ทอดยาวของทั้งสองประทับลงบนพื้นถนน แลดูเหมาะสมกันมาก
อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ทันทีที่กลับถึงบ้านเวินซีก็แทบทนไม่ไหวที่จะเอนกายลงบนเตียง
จ้าวต้านจุดตะเกียง นั่งลงบนโต๊ะเพื่อขัดถูคันธนูและเครื่องมือล่าสัตว์ของตน เขามองนางด้วยหางตาเพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ก่อนจะเอื้อมมือไปจุดธูปหอม
หลังจากที่ได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอดังขึ้นพักหนึ่ง เขาก็เข้าไปใกล้นาง ห่มผ้าให้อย่างมิดชิด เมื่อมั่นใจว่านางหลับสนิทแล้วจึงเปิดหน้าต่างออก
ในขณะนั้นเองจ้าวซานก็ตีลังกาเข้ามาพลันคุกเข่าลงกับพื้น “นายท่าน ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อขอรับ”
“หลังจากที่เราสลับตัวกันแล้วเ้าต้องคอยดูแลนางนะ จำไว้ว่าหากนางอยากจะจากไปก็ให้นางไป นางเป็คนฉลาด เ้าปิดบังนางได้ไม่นานหรอก”
เดิมทีจ้าวต้านคิดจะแกล้งตายเพื่อเป็การจากลา แต่ก็ไม่รู้ว่าหากเวินซีเห็นเขาตายจะเป็เช่นไร
อีกเื่หนึ่งที่ได้รับรู้มาใน่นี้คือท่านย่าจ้าวเริ่มสงสัยในตัวตนของเขาแล้ว หากตอนที่แกล้งตายนางมาหาเื่และพบว่าคนผู้นั้นมิใช่จ้าวต้าน เช่นนั้นแผนที่วางไว้ทั้งหมดจะสูญเปล่า เขาจะยอมให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมิได้
แววตาที่หนักแน่นของจ้าวต้านมิอาจจางหายไป ในใจของเขาเต็มไปด้วยความปวดร้าว ความรู้สึกที่ไม่อยากจากไปก็อัดแน่นขึ้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็แข็งใจเดินออกไป
เื่ในเมืองหลวงอยู่ในสถานการณ์คับขันนัก ขุนนางกังฉินแข็งข้อขึ้นทุกวัน ฮ่องเต้กำลังรอเขา จึงถึงเวลาที่เขาจำเป็ต้องกลับไปแล้ว
“ขอรับ นายท่าน”
จ้าวซานเปลี่ยนเป็ชุดจ้าวต้าน จากนั้นจ้าวต้านก็ออกจากหน้าต่างไปท่ามกลางความมืด
วันรุ่งขึ้นตอนที่เวินซีตื่นขึ้น จ้าวซานได้ต้มน้ำร้อนให้นางเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่านางลงจากเตียง เขาก็ส่งผ้าที่ชุบน้ำร้อนแล้วบิดหมาดๆ ไปให้นาง
“คุณ...คุณหนูเวินซี”
ด้วยคำเรียกที่แปลกไปทำให้เวินซีขมวดคิ้วมอง “เ้าเรียกข้าว่าอันใดนะ?”
“รีบตื่นเถิด” จ้าวซานรีบเปลี่ยนเื่พูด
ที่ร้านหม้อไฟยังมีเื่มากมายให้จัดการ แม้ในใจของเวินซีจะรู้สึกว่าเขาดูแปลกไป แต่สุดท้ายก็มิได้สังเกตอย่างละเอียด นางลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าฤดูหนาวที่เขาเตรียมไว้ให้ พลันออกจากบ้านไป
กิจการของเวินเซียงเก๋อยังคงซบเซา มีลูกค้าเพียงห้าหกคน พวกขอทานรู้สึกเบื่อ เมื่อเห็นนางเข้ามา พวกเขาก็ล้อมนางที่ประตูด้วยท่าทางเสียใจ พร้อมกับบ่นว่ากิจการไปได้ไม่ดี
ส่วนเสียวเสี่ยวยังคงาเ็หนัก หลังจากที่เปลี่ยนยาไปแล้วก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา
ในขณะเดียวกันร้านข้างๆ ก็ะโเรียกลูกค้าไม่หยุดหย่อน ในที่สุดเถ้าแก่ของร้านนั้นก็โผล่หน้าออกมา
ปรากฏว่าเป็อี๋เหนียงของตระกูลเวินจริงๆ นางกับเวินเยียนยืนอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้ามีความสุข มองลูกค้าเดินเข้าออก แต่เมื่อสายตามองเห็นเวินซีก็พากันเดินเข้าร้านไปอย่างเย่อหยิ่ง
“คุณหนูเวินซี ดูท่าทีของคนตระกูลเวินสิขอรับ”
ขอทานหลายคนทนไม่ไหว พากันถกแขนเสื้อจะเดินเข้าไปหาเื่
“รอดูก่อนเถิด” เวินซีเอื้อมมือไปหยุดพวกเขา หากนางคาดการณ์ถูกต้อง เช่นนั้นวันนี้จะต้องมีคนมาหาเื่ตระกูลเวิน
ในขณะนั้นเอง ภายในครัวของหลิวเซียงจวี เวินเยียนใช้ตะเกียบคนไปมาในหม้อ แต่มิได้นำอาหารใดออกมาจากหม้อไฟ
“เวินเยียน เมื่อวานเราขายได้ห้าสิบตำลึงเลยเชียวนะ”
ตระกูลเวินมิได้ทำเงินมากมายขนาดนี้มานานแล้ว ั์ตาของอี๋เหนียงตระกูลเวินเป็ประกาย เมื่อคิดถึงร้านที่ซบเซาของเวินซี นางก็รู้สึกสาแก่ใจนัก
“หม้อไฟเป็อาหารที่เยี่ยมยอดจริงๆ”
เวินเยียนมองดูหม้อไฟร้อนๆ ก็แสยะยิ้ม วันก่อนที่ไปเวินเซียงเก๋อ นางก็ใช้ความเ้าเล่ห์โดยการแอบตักเครื่องแกงกลับมานิดหน่อยแล้วให้คนแยกส่วนผสมทั้งคืน จนในที่สุดก็สำเร็จ เมื่อคิดถึงสีหน้าของเวินซีที่ได้เห็นวันนี้ก็รู้สึกขบขันนัก
สุดท้ายเวินซีก็เอาชนะนางมิได้
ในยามใกล้ค่ำ หลิวเซียงจวียังคงสว่างไสวและเต็มไปด้วยผู้คน เวินซียังรออยู่ด้านนอกประตู แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด จู่ๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา
ในที่สุดก็มาแล้วสินะ
แววตาของนางเต็มไปด้วยความดีใจ ก่อนจะเดินลงบันไดไปดูเหตุการณ์
มีสตรีผู้หนึ่งที่แต่งตัวธรรมดาวิ่งมาพร้อมกับเด็กน้อยที่น้ำลายฟูมปากในอ้อมอก เด็กน้อยมีใบหน้าสีม่วงเขียว อาการเดียวกับเสียวเสี่ยวทุกประการ
“ไอ้คนใจดำตระกูลเวิน เอาลูกข้าคืนมา!”
สตรีผู้นั้นคุกเข่าลงร้องเสียงดังที่หน้าประตูหลิวเซียงจวี เมื่อได้ยินเสียงที่ดังกึกก้อง คนที่อยู่ข้างในร้านก็พากันออกมาดู
“พอทานหม้อไฟที่ร้านของพวกเ้าแล้ว ลูกข้าก็อาเจียนไม่หยุด หมอบอกว่าเขาอาหารเป็พิษ สลบไปยังไม่ฟื้นเลย เอาลูกข้าคืนมานะ!”
“หากวันนี้พวกเ้าไม่รับผิดชอบ ข้าจะไปหาท่านเ้าอำเภอให้ทวงความยุติธรรม ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนตระกูลเวินอย่างพวกเ้าจะมีอำนาจล้นฟ้า”
สตรีผู้นั้นร้องไห้อย่างขมขื่น ในยามกลางคืนเสียงของนางพาให้ใจของผู้คนหวั่นไหว ลูกค้าหลายคนในหลิวเซียงจวีออกมามุงดู ต่างก็แสดงความคิดเห็นกับเหตุการณ์นี้
อี๋เหนียงของตระกูลเวินยกมือขึ้นเล็กน้อย เสี่ยวเอ้อของที่ร้านก็วิ่งออกมาแย่งเด็กในอ้อมอกของสตรีผู้นั้นแล้วคิดจะลากนางออกไป
เหตุการณ์นี้ทำให้เวินซีขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
ตระกูลเวินกล้าดีเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้