หน้าผากของเจียงถิงราวกับมีะเิที่เดือดปุดๆ กำลังจะปะทุ ยิ่งเมื่อเขาเห็นสัญญาหนี้ที่ยื่นมาตรงหน้า เนื้อหาในนั้นถูกเขียนอย่างชัดเจน และลายมือเองก็สามารถดูออกอย่างแจ่มชัดเช่นกันว่ามันคือลายมือบุตรชายของเขาจริงๆ
เจียงถิงยัดลมหายใจเข้ารวดเดียวเฮือกหนึ่งลงไปในลำคอของเขา เขา้าคว้าสัญญาหนี้มาเพื่อดูให้ชัดเจน ทว่ามู่เอ้าเทียนกลับม้วนมือเก็บมันกลับไป "ทำไมหรือ ยังดูไม่ชัดเจนพออีกหรือ? หรือเ้า้าทำลายศพไม่ให้เหลือร่องรอย [1] ? ”
คำพูดปรักปรำนี้ทำให้เจียงถิงโมโหจนแทบจะอาเจียนเป็เื
“มู่เอ้าเทียน เ้าอย่ามาอมเืพ่นใส่ผู้อื่น [2] เช่นนี้”
ทั้งสองคนนี้ั้แ่ยังเยาว์ก็หาเื่ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน ต่างคนต่างะโชื่อใส่กันพร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
บรรยากาศของทั้งสองคนนี้ผิดกันอย่างเห็นได้ชัด คนหนึ่งเ็า ส่วนอีกคนโมโหจนแทบะเิ
“หืม? ยังดูไม่ชัดเจนอีก? นี่มิใช่ลายมือของบุตรชายเ้าหรือ? ”
ใบหน้าของมู่เอ้าเทียนทั้งเ็าและเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาแ่เบา ทว่าทำให้คนโมโหยิ่งนัก
ใบหน้าของเจียงถิงเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ
ในเวลานี้สายตาของผู้ชมโดยรอบเบิกกว้างขึ้นแล้ว หืม มารดามันเถิด มัดเื่ราวที่เกิดขึ้นตลอดร้อยปีนี้มีเื่ใดบ้างที่ท่านแม่ทัพเจียงถิงและท่านอ๋องหลู่หนานแห่งตระกูลมู่จะไม่ทะเลาะกัน ปวงประชาล้วนทราบกันดี ต่างคนต่างเป็เสี้ยนหนามในสายตากันและกัน ทว่าต่างยึดหลักน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมายุ่งซึ่งกันและกัน ทว่าบัดนี้ท่านอ๋องมู่กลับมาเยือนถึงหน้าประตู นี่คงเป็ข่าวแห่งศตวรรษเลยทีเดียว
ดวงตาเบิกโตของแต่ละคนพุ่งมองไปที่ลูกพี่เป็ตาเดียว
มีแม้กระทั่งคนที่มีร่างกายแข็งแกร่งบางคน ยังยอมปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่หน้าประตูจวนตระกูลเจียงเพียงเพื่อให้ได้ทำเลที่เอื้อประโยชน์ที่สุด
ฟังแล้วฟังอีก ได้ความว่าบุตรชายของท่านแม่ทัพเจียงติดหนี้บุตรสาวตระกูลมู่ถึงสองหมื่นตำลึง
เงินสองหมื่นตำลึงเชียวนะ
นี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่?
“แม่ทัพเช่นข้ามองเห็นไม่ชัดเจนนัก ข้างนอกแสงแดดแผดจ้าเกินไป เข้าไปข้างในกันเถิด”
เจียงถิงเคี้ยวฟันตัวเอง ใบหน้าของเขาอย่างเ็า ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็ง สุดท้ายก็กัดฟันและยอมเปิดปากกล่าว
ที่หน้าประตูมีคนอยู่เยอะแยะมากมาย พวกเขาทั้งหมดต่างมาเพื่อชมเื่สนุกสนาน เขาสามารถเป็ถึงท่านแม่ทัพได้ ดังนั้นสมองของเขาเดิมทีจึงไม่ได้โง่ อีกทั้งไอ้ลูกไม่รักดีของเขาก็ไม่รู้ว่าไปทำอันใดมา คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขากลายเป็หนี้บุตรสาวของมู่เอ้าเทียนถึงสองหมื่นตำลึง
ทั้งสองต่างเป็ไม้ไผ่แปดกระบอกที่ตีไม่เข้า [3]
สองหมื่นตำลึง จะติดหนี้ถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
หรือว่า...
เจียงถิงกลอกตา สักพักก็พาสายตาจรดลงบนเ้าตัวน้อยที่มู่เอ้าเทียนจับจูงไว้ข้างกายเช่นหยวนเป่า ความจริงบางอย่างที่มิอาจคาดถึงตีแสกหน้าจนเขาตัวสั่นเทา เป็ไปได้หรือไม่ว่ามีบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างไอ้ลูกชายบ้านั่นกับบุตรสาวคนโตของตระกูลมู่? ก่อนจะคลอดบุตรออกมาคนหนึ่ง?
หลังจากนั้น บุตรชายของเขาก็ปัดความรับผิดชอบ วิ่งหนีไป?
มิฉะนั้นจะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดมู่เอ้าเทียนถึงพาเด็กคนหนึ่งมาเยือนถึงหน้าประตูจวนเพื่อทวงหนี้?
หนี้จำนวนสองหมื่นตำลึง เกรงว่าจะเป็ค่าเลี้ยงดูบุตรแล้ว
ต้องบอกก่อนว่าวงจรความคิดและสมองของเจียงถิงแตกต่างจากผู้อื่นเล็กน้อย
ในตอนนั้นเขาจ้องมองไปที่หยวนเป่า เพียงเพื่อคิดว่าเด็กคนนี้หน้าตาดีจริงๆ เหมือนตุ๊กตาตัวน้อยในภาพวาด ท่าทางน่ารักสุภาพเรียบร้อย ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเอ็นดู ยิ่งพินิจให้ละเอียด ทั้งคิ้ว ทั้งดวงตานั่น มีส่วนที่เหมือนไอ้ลูกชายสารเลวของเขาอยู่หลายส่วน...
หน้าอกของเจียงถิงเต้นแรงอย่างรุนแรง เขากลืนน้ำลายเข้าไปหนึ่งอึกดังเอื้อก เพียงรู้สึกว่าการคาดเดานั้นคงมีส่วนถูกแปดเก้าไม่พ้นสิบ [4]
ไอ้ลูกสารเลวคนนี้ ทำให้เขาโกรธแทบตาย ไม่พูดไม่จาก็กลายเป็พ่อคนหนึ่งไปแล้ว อีกทั้งทำให้เขากลายเป็ปู่อีก
ในขณะนี้อารมณ์ของเจียงถิงอยู่ในระดับที่ซับซ้อนเหลือเกิน เขาเม้มริมฝีปากและเบิกตาจ้องเขม็ง รู้สึกหมดหนทางอยู่บ้าง
เพราะอันใดน่ะหรือ? เพราะเขากลายเป็ทองแผ่นเดียวกันกับศัตรูคู่แค้นของตนเองน่ะสิ
“เข้าไปคุยกันด้านใน อย่าอยู่ด้านนอก”
มู่เอ้าเทียนรู้สึกว่าสมองของเจียงถิงผิดปกติเล็กน้อย เขาหาเหตุผลบ้าบอตูดสุนัขอันใดกัน เดี๋ยวก็แดดจ้าบ้าง แสบตาบ้าง มองไม่ชัดบ้าง เหอะ มีข้อแก้ตัวอันใดที่แย่กว่านี้อีกหรือไม่?
อีกทั้งตอนนี้ใบหน้านั้นก็พันพับกันยู่ยี้ สักพักก็จ้องไปที่หยวนเป่าน้อยของเขา ไม่รู้ว่ากำลังอดกลั้นอะไรอยู่กันแน่
ใบหน้าของเขาจึงมืดครึ้มลงทันที “ให้เื่ราวคลี่คลายกันตรงนี้ เ้าแค่เอาเงินมาให้ข้าก็พอ อย่าพูดพร่ำทำเพลง นำเงินสองหมื่นตำลึงออกมาก่อนค่อยพูดถึงเื่ต่อไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เอ้าเทียน ในใจของเจียงถิงก็รู้สึกร้อนใจ เื่ราวหลังจากนี้คืออันใด? ต้องเป็เื่ที่ให้เด็กน้อยคนนี้เข้ากราบบรรพบุรุษตระกูลเขาเป็แน่ เจียงถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหน้ามู่เอ้าเทียน ทว่าเด็กที่ตาแก่นั่นจับจูงอยู่ในมือก็ทำให้เขารู้สึกเอ็นดูเป็อย่างยิ่ง เขารู้ว่าหน้าตาของเขาไม่ดีนัก แต่ว่าบุตรชายของเขาหน้าตาเหมือนมารดา ดังนั้นจึงหล่อเหลาเอาการ เมื่อครั้งยังเป็เด็กก็หน้าตางดงามเหมือนตุ๊กตานำโชค ดังนั้นพอพินิจมองดูเด็กที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกรักใคร่เอ็นดูมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาละม้ายคล้ายบุตรชายที่งดงามของเขาจริงๆ โตมาน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน
"เ้ามีนามว่ากระไร? "
เจียงถิงไม่สนใจมู่เอ้าเทียน เขาค้อมเอวลงตรงหน้าหยวนเป่าน้อย เปิดปากถามด้วยน้ำเสียงที่เขาคิดว่า 'ใจดี' จนมิอาจเทียบได้
หัวข้อเปลี่ยนไปอย่างตรงไปตรงมา และความแปลกประหลาดของของเสียงก็ทำให้มู่เอ้าเทียนใจนสะดุ้ง
“เจียงถิง เ้ากำลังคิดอันใดอยู่? ”
ใบหน้าของมู่เอ้าเทียนมืดมนลง
ทว่าเจียงถิงกลับเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองมาที่เขา "มีเื่อันใดที่พวกเราไม่สามารถเข้าไปพูดคุยด้านในได้ ต้องอยู่เจรจากันที่นี่ เพื่อทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะหรือ? มู่เอ้าเทียน เ้ายังคงไร้เดียงสาแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปหลายปีแล้ว"
ไร้เดียงสา? หมายถึงเขาหรือ?
มู่เอ้าเทียนเปล่งเสียงหัวเราะ เขาเริ่มโกรธเคืองกับปฏิกิริยาตอบกลับและบทสนทนาประสาทของเจียงถิงแล้ว
เกรงว่าเ้ากระทิงหัวแข็งตัวนี้คงไม่ได้ถูกกระตุ้นมากเกินไปจนประสาทเสียไปแล้วกระมัง
มู่เอ้าเทียนที่อยู่อีกด้านกำลังใก็เห็นเจียงถิงก้มลงไปหาหยวนเป่าน้อยอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า "สหายตัวน้อย เ้ามีนามว่ากระไร ไม่ต้องกลัว ข้าคือเ้าปู่เจียงของเ้า"
มู่เอ้าเทียน "...! "
ฮวาเหยียน "...! "
นางรีบพุ่งตัวมาที่นี้ ในใจเพียงคิดว่าหากท่านพ่อมู่มาทวงเงิน จะโดนเอารัดเอาเปรียบได้ แต่เมื่อเห็นบรรยากาศการต่อสู้ที่วุ่นวายและยโสโอหังของคู่หมาป่าเฒ่าเ้าของสถานที่แห่งนี้หลังจากที่นางมาถึง นางคงคิดมากเกินไปจริงๆ
นางยืนอยู่ด้านหลังสุด ไม่ผลักดันเพื่อให้ตนเข้าไปยืนอยู่ข้างหน้า แต่ล้อตามฝูงชนไปเพื่อชมความสนุก
แต่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น บรรยากาศพลันเริ่มเปลี่ยนไป ทว่าอีกฝ่ายจู่ๆ กลับหยุดลั่นกลองรบ [5] ขึ้นมากะทันหัน
ท่านปู่เจียง? นี่มันสถานการณ์อันใดกัน? !
“กราบทักทายท่านปู่เจียง ข้ามีนามว่าหยวนเป่า”
หากสุดท้ายมือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ [6] ท่าทีของผู้ชมยังคงดีอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยวนเป่าน้อยที่เป็เด็กสุภาพ แม้เขาจะเปิดปากกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพรา
เสียงเ้าหอมกลิ่นนมตัวน้อยที่ประพฤติดีจับหัวใจของเจียงถิงได้อยู่หมัด หัวใจของชายที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าพลันอ่อนยวบลงในทันที
ร่างกายฟูเหรินของเขาได้รับาเ็เมื่อนางให้กำเนิดเจียงจื่อเฮ่า มิอาจให้กำเนิดบุตรคนใดได้อีก เขาจึงหมดปัญญาจะหาทางออก เขาเคยอิจฉาที่รอบตัวของมู่เอ้าเทียนห้อมล้อมไปด้วยเด็กเล็กๆ มากมาย ทว่าเขารักฟูเหรินของเขามากจนไม่เคยรับอนุคนใดเข้ามาเพิ่ม เมื่อเจียงจื่อเฮ่าโตขึ้นจนสามารถส่งไปที่ค่ายทหารได้แล้ว บ้านก็รู้สึกอ้างว้างเงียบเหงาขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นตอนนี้จู่ๆ ก็มีหลานชายโผล่ขึ้นมา อีกทั้งยังเป็เ้าตัวน้อยที่น่ารัก หัวใจของเจียงถิงจึงอบอุ่นร้อนแรงเป็อย่างยิ่ง
“หยวนเป่าน้อย มานี่เถิด ปู่ขออุ้มเ้าหน่อย”
เจียงถิงยิ้มกว้าง ก้มลงและสวมกอดหยวนเป่าน้อยไว้แน่น
มู่เอ้าเทียนถูกการเปลี่ยนแปลงของเจียงถิงจัดการจนร่างกายไม่อาจขยับได้ หยวนเป่าน้อยจึงถูกอุ้มเข้าสู่อ้อมแขนของเขา
ใบหน้าของมู่เอ้าเทียนเปลี่ยนเป็สีดำมืดทันที
สมองของเจียงถิงคงใช้การไม่ได้แล้วจริงๆ ผู้ใดจะให้เขาเป็ท่านปู่กัน!
เขาคว้าตัวหยวนเป่าน้อยกลับมาอย่างไม่เกรงใจ "เจียงถิง เ้าอย่าพยายามติดสินบนหลานชายของเปิ่นหวาง รีบไปนำเงินสองหมื่นตำลึงออกมา กระดาษขาวหมึกดำ [7] เขียนไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นอย่าคิดที่จะโกง"
หยวนเป่าน้อยถูกมู่เอ้าเทียนคว้าออกไปจากอก เจียงถิงพลันรู้สึกว่าแขนของเขาว่างเปล่าและหัวใจของเขาก็อ้างว้างเป็อย่างยิ่ง เขาจ้องไปที่มู่เอ้าเทียนเขม็ง "มู่เอ้าเทียน เหตุใดเ้าถึงคว้าตัวหยวนเป่าไปอย่างหยาบคายเช่นนั้น เ้าตัวเล็กยังเด็กมาก ไม่กลัวเขาได้รับาเ็หรืออย่างไร? ผ่านมาหลายปีแล้ว หัวใจศิลาของเ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย! ”
มู่เอ้าเทียน "...! "
เจียงถิง มารดามันเถิด เ้าถูกผีร้ายเข้าสิงหรืออย่างไร?
เชิงอรรถ
[1] ทำลายศพไม่ให้เหลือร่องรอย 毁尸灭迹 Huǐ shī mièjī หมายถึง การลบหรือทำลายหลักฐาน
[2] อมเืพ่นใส่ผู้อื่น 血口喷人 Xuè kǒu pēn rén อุปมาว่า โจมตีใส่ร้าย(คนอื่น) อย่างชั่วช้าสามานย์
[3] ไม้ไผ่แปดกระบอกที่ตีไม่เข้า 八竿子打不着 bāgānzi dǎbùzháo ใช้บรรยายความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนว่าห่างกันไม่สนิทกันหรือไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย
[4] แปดเก้าไม่พ้นสิบ 八九不离十 Bā jiǔ bù lí shí หมายถึง ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง, ใกล้เคียง (สภาพความเป็จริง) ห่างกันไม่มาก
[5] หยุดลั่นกลองรบ 偃旗息鼓 Yǎn qí xī gǔ ยุติการวิพากษ์วิจารณ์ ยุติการโจมตี หยุดลั่นกลองรบ (ที่ใช้ในความหมายว่า ยุติการวิพากษ์วิจารณ์หรือยุติการรบหรือการโจมตี)
[6] มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ 伸手不打笑脸人 Shēnshǒu bù dǎ xiàoliǎn rén หมายถึง หากทำผิดแล้วยอมรับผิดแต่โดยดี อีกฝ่ายย่อมไม่อาจแข็งใจทำอะไรรุนแรง
[7] กระดาษขาวหมึกดำ白纸黑字 bái zhǐ hēi zì ตัวหนังสือดำกระดาษขาว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้