“ลำบากเถ้าแก่แล้ว” ก่อนหน้านี้ลู่เสี่ยวหมี่เคยซื้อผ้าฝ้ายจากร้านนี้ไป จึงนับว่ารู้จักเถ้าแก่ผู้นี้อยู่
“แม่นางลู่เกรงใจเกินไปแล้ว” เถ้าแก่เฉินยิ้มตาหยีเชิญทุกคนเข้าไปด้านใน เป็ดังคำที่เขาว่าไว้ ของพวกนี้เพิ่งมาถึง บางส่วนเพิ่งเปิดฝาหีบออก บางส่วนเด็กรับใช้กำลังลำเลียงไปยังห้องเก็บของ
ในบรรดาของเหล่านี้มีหีบขนาดใหญ่ที่ถูกใส่กุญแจไว้แ่า เถ้าแก่เฉินรับหน้าที่เป็คนเปิดด้วยตนเอง เผยให้เห็นผ้าสีงาช้างที่อยู่ด้านใน
ลู่เสี่ยวหมี่เดินขึ้นหน้าไปหยิบขึ้นมาดูพับหนึ่ง
ในชาติก่อนนางไม่ค่อยได้คลุกคลีกับพวกเสื้อผ้ามากนัก แต่ั้แ่ที่มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินต้าหยวนแห่งนี้ ได้มาเดินดูร้านขายผ้าอยู่หลายครั้งก็นับว่ามีความเข้าใจมากขึ้น แต่ผ้าที่อยู่ในมือพับนี้นับว่าพิเศษยิ่งนัก ตัวเนื้อผ้าคล้ายกับผ้าไหมทั่วไป แต่เส้นใยเหมือนมีอะไรบางอย่างแทรกอยู่ด้วย คล้ายน้ำมันแต่ก็ไม่ใช่น้ำมัน คล้ายกาวแต่ก็มิใช่กาว ครั้นก้มหน้าดมก็ได้กลิ่นทะเลค่อนข้างรุนแรง
เมื่อดึงออกมาส่องกับแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์ก็ลอดผ่านเข้ามาได้อย่างคาดไม่ถึง น้ำหนักดี ถึงลมจะพัดมาก็ยังไม่พลิ้วไหวอย่างที่คิด
เป็ของดีจริงๆ
เถ้าแก่เฉินเป็คนฉลาด กวาดสายตามองสีหน้าลู่เสี่ยวหมี่ปราดหนึ่งก็เดาได้ว่านางถูกใจผ้าพับนี้เป็อย่างยิ่ง
เขาจึงยิ้มแย้มรีบเติมเชื้อไฟ “แม่นางลู่อาจไม่รู้ความเป็มาของผ้าทะเลนี้ ผ้าชนิดนี้ผลิตอยู่ที่ริมทะเลพระจันทร์เสี้ยวที่ทางใต้เท่านั้น สตรีในหมู่บ้านชาวประมงแถบนั้นมือหนึ่งล้างกระเพาะปลามือหนึ่งทอผ้า ว่ากันว่าผ้าที่ทอออกมาได้จะมีกลิ่นอายของทะเลเต็มเปี่ยม หากบุรุษสวมใส่ไปออกทะเล จะได้รับการคุ้มครองจากเทพเ้าแห่งท้องทะเลให้กลับมาอย่างปลอดภัย ยามปกติไม่ได้ของพิสดารเช่นนี้มาง่ายๆ หรอก แต่ลูกชายข้าเป็คนดูแลร้านให้ตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเมืองหลวง เขาเดินทางลงใต้อยู่บ่อยๆ ครั้งนี้บังเอิญไปเจอเข้าจึงแบ่งมาให้ข้าไม่กี่พับ แม่นางโชคดี หากผ่านไปอีกสักสองสามวัน เกรงว่าคงไม่ได้เห็นผ้าชนิดนี้แล้ว”
เหตุใดลู่เสี่ยวหมี่จะไม่รู้ว่าที่เถ้าแก่พูดเช่นนี้ก็เพื่อเพิ่มราคาให้กับผ้าในหีบ แต่จะทำอย่างไรได้ มันเป็ของดีจริงๆ ผ้าชนิดนี้ตรงใจนางพอดี และนางก็รีบร้อนต้องใช้ด้วย ต่อให้รู้ว่าเถ้าแก่เฉินกำลังวางกับดักนาง นางก็เต็มใจะโลงไปอยู่ดี
“เถ้าแก่เฉิน ข้าชอบผ้าทะเลพวกนี้มาก ท่านบอกราคามาเถอะ”
“ได้ แม่นางลู่อายุยังน้อย แต่ทำอะไรเด็ดขาดตรงไปตรงมา” เถ้าแก่เฉินคลี่ยิ้มพลางลูบเคราแพะของเขา ไม่ลืมเอ่ยชมไปประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงเสนอราคาไป
“ผ้าพวกนี้ราคาซื้อมาก็ไม่ถูกอยู่แล้ว ขนจากหาดจันทร์เสี้ยวมาถึงที่นี่ ทั้งคนทั้งม้าต้องกินต้องนอนไม่ใช่เงินน้อยๆ ...เช่นนี้แล้วกัน ผ้าหนึ่งพับ ข้าขายให้แม่นางราคาสิบเอ็ดตำลึง ท่านเห็นเป็อย่างไร?”
ลู่เสี่ยวหมี่เลิกคิ้ว ราคานี้ออกจะสูงไปสักหน่อย เทียบกันแล้วไหมเสฉวนพับหนึ่งราคาแค่แปดเก้าตำลึงเท่านั้น แต่ว่ากันว่าต่อให้มีเงินก็ยังยากจะซื้อของถูกใจได้ ไหมเสฉวนนำมาทำหลังคาโรงเรือนทรงโค้งไม่ได้ แต่ผ้าทะเลนี่ทำได้ ดังนั้นต่อให้แพงแค่ไหนก็ต้องซื้อไว้
“เถ้าแก่เฉิน ในหีบนี้มีผ้าทะเลทั้งหมดกี่พับ แต่ละพับยาวเท่าใด?”
“ในหีบนี้มีทั้งหมดสิบพับ หน้ากว้างสี่ฉื่อ [1] ยาวสามจั้ง [2]”
ลู่เสี่ยวหมี่ลองคำนวณดู ความกว้างความยาวเหมาะจะนำไปทำหลังคาโรงเรือนพอดี นางจึงกัดฟันกล่าวว่า “ผ้าทะเลพวกนี้ ข้า้าทั้งหมด และหากในอนาคตเถ้าแก่ได้ผ้าเช่นนี้มาอีก ท่านช่วยเก็บไว้ให้ข้าสักหน่อย ไม่จำเป็ต้องมากนัก”
“ได้ ได้” เดิมทีเถ้าแก่คิดไว้ว่าลู่เสี่ยวหมี่จะต้องต่อราคาแน่ คิดไม่ถึงว่านางจะใจกว้างขนาดนี้ จึงกลอกตาไปมารอบหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “แม่นางลู่เด็ดขาดชัดเจนเช่นนี้ ข้าผู้เฒ่าคนนี้จะไม่ยอมถอยให้เลยก็คงไม่ได้ เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะมอบผ้าฝ้ายเนื้อดีให้เปล่าๆ สักพับหนึ่ง ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว ถึงเวลาที่แม่นางลู่จะตัดชุดใหม่ได้แล้ว”
คนขายใจกว้าง คนซื้อก็ใจกว้าง การค้าในครั้งนี้ไม่ว่าฝ่ายใดล้วนพออกพอใจ ลู่เสี่ยวหมี่ตรวจสอบผ้าแต่ละพับจนครบแล้วจึงจ่ายเงิน
ก่อนหน้านี้เงินที่ยืมมาจากเฝิงเจี่ยนใช้ไปเกือบหมดแล้ว ยามนี้มีเหลืออยู่เพียงหนึ่งร้อยหกสิบตำลึง จ่ายค่าผ้าไปอีกกว่าครึ่ง นางปวดใจจนแทบหลั่งเื
แต่เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ในอนาคต นางก็ได้แต่กัดฟันทน
พี่รองลู่เป็คนแรงเยอะอยู่แล้ว เดิมทีเขาจึงคิดจะแบกผ้าพวกนี้กลับร้านน้ำชาด้วยตัวเอง แต่เถ้าแก่เฉินเป็คนฉลาด เขาให้เด็กรับใช้ช่วยนำไปส่งให้ ทำเอาพี่รองลู่พอใจจนพูดกับน้องสาวว่าเถ้าแก่เฉินคนนี้ช่างรู้จักทำการค้าจริงๆ
ลู่เสี่ยวหมี่เองก็ตอบรับไปสองประโยค ถึงจะบอกว่าพ่อค้าโดยมากมักเ้าเล่ห์ แต่เถ้าแก่ที่คุยง่ายทั้งยังมีไหวพริบเช่นนี้ก็ทำให้คนเกลียดไม่ลง
ไม่รู้ว่าเฝิงเจี่ยนไปจัดการเื่อะไรมา สีหน้าจึงไม่ดีนัก เห็นสองพี่น้องสกุลลู่กลับมาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปพร้อมกัน
ไม่รู้เกาเหรินไปเอาเงินมาจากไหน เขาซื้อของกินมาเยอะแยะ มือซ้ายถือไก่ย่าง มือขวาถือขนม กำลังนั่งกินอยู่บนรถม้าอย่างเอร็ดอร่อย
ลู่อู่สนิทสนมกับเกาเหรินเป็อย่างดีเพราะลงไม้ลงมือกันอยู่บ่อยๆ เห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปแย่งน่องไก่มาจากเขาทันที แล้วส่งให้ลู่เสี่ยวหมี่
แต่ลู่เสี่ยวหมี่ไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเพราะบทสนทนาก่อนหน้านี้ จึงส่งคืนให้เกาเหริน
เกาเหรินปฏิเสธอย่างยากจะมีสักครั้ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างเขินอายเล็กน้อยว่า “เ้ากินเถอะ ข้าอิ่มแล้ว”
เสี่ยวหมี่กลับยื่นไปให้ลู่อู่ “ข้าก็ไม่หิว กลับถึงบ้านแล้วค่อยกินพร้อมกันเถอะ”
ถึงตอนนี้อย่าว่าแต่เกาเหรินเลย แม้แต่เฝิงเจี่ยนและผู้เฒ่าหยางเองก็มองออกแล้วว่าลู่เสี่ยวหมี่มีเื่ในใจ
เฝิงเจี่ยนส่งสายตาไปทางผู้เฒ่าหยางทีหนึ่ง เขาเข้าใจในทันที รีบขึ้นหน้าไปเดินขนาบลู่อู่แล้วถามว่า “ซื้อของที่้าได้สำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดแม่นางลู่ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่อีก”
“งั้นหรือ?” ลู่อู่ที่สมองช้าได้ยินคำของผู้เฒ่าหยางแล้วจึงหันไปมองน้องสาว ก่อนจะนึกได้ถึงสาเหตุ “อา ไม่มีอะไรหรอก นางคงกำลังคิดว่าจะเตรียมของกินของใช้อะไรให้พวกท่านดี เกาเหรินบอกว่าพวกท่านจะจากไปแล้ว”
ผู้เฒ่าหยางหรี่ตาลงน้อยๆ จากนั้นก็ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ขาของคุณชายยังไม่หายสนิท อีกทั้งแม่นางเสี่ยวหมี่ก็กำลังเพาะเลี้ยงต้นกล้า เป็่เวลาที่กำลัง้าคนช่วยเหลือ เกรงว่าพวกเราคงจะอยู่ต่ออีกสักพัก”
“จริงหรือ?” ลู่อู่ไม่ใช่คนตระหนี่ ที่บ้านครึกครื้นเขาเองก็ชอบใจ ครั้นได้ยินประโยคนี้ก็หันไปะโบอกน้องสาว “น้องพี่ เ้าอย่าเคร่งเครียดไปเลย พวกพี่ใหญ่เฝิงยังไม่จากไปไหนในตอนนี้”
“จริงหรือ?” ลู่เสี่ยวหมี่ขึ้นนั่งบนรถม้า นางกำลังนั่งพลิกผ้าทะเลดูอย่างไม่มีชีวิตชีวา ครั้นได้ยินประโยคนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าประหลาดใจระคนยินดี
เฝิงเจี่ยนเดิมทีก็กำลังมองผ้าทะเลพวกนั้นอยู่ เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน คนทั้งสองสบตากัน ลู่เสี่ยวหมี่หน้าแดงทันที ตอนที่กำลังทำตัวไม่ถูกอยู่นั้นก็รีบคิดจะหาข้ออ้างมาปกปิด แต่สมองกลับไม่ทำงาน
ใบหน้าของนางจึงเห่อร้อนขึ้นสีดุจอาทิตย์อัสดงในฤดูร้อน ยิ่งดูเปล่งปลั่ง งดงาม...
เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังเป็จังหวะ เส้นทางกลับบ้านคราวนี้เต็มไปด้วยความสุขที่อบอวล...
เหมือนฟ้าจะเป็ใจ ลู่เสี่ยวหมี่ตั้งใจจะย้ายต้นกล้าจากเรือนกระจกมาที่โรงเพาะชำ สองสามวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสยิ่งนัก ลู่เสี่ยวหมี่นำทุกคนช่วยกันเอาผ้าทะเลมากางออก เตรียมตัดแบ่งเพื่อคลุมดิน
พี่ใหญ่ลู่ถึงแม้จะใจอ่อนและดูไม่เอาไหนสักเท่าไร แต่เขาทำงานละเอียดรอบคอบ ฝีมือไม่เป็รองใคร
หมู่บ้านเขาหมีมีขนาดไม่ใหญ่นัก และเนื่องจากแรกเริ่มท่านปู่ลู่เป็ผู้สร้างคุณูปการแก่หมู่บ้านแห่งนี้ ครอบครัวอื่นที่ย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเขาหมี ยามปลูกเรือนที่ทำจากไม้หรือฟาง พวกเขาก็สร้างขึ้นมาในลักษณะล้อมรอบเรือนขนาดใหญ่ของสกุลลู่
ตอนนี้เมื่อลู่เสี่ยวหมี่นำผ้าทะเลสีขาวมากางไว้กลางเรือน บรรดาชาวบ้านที่อยู่โดยรอบก็เข้ามามุงดูกันอย่างครื้นเครง
กล่องไม้ที่อยู่ในปีกตะวันออกและตะวันตกของเรือนหลังสกุลลู่ถูกย้ายออกมา นำต้นกล้าที่เริ่มหยั่งรากแล้วแยกกันลงดินรดน้ำ คลุมทับด้วยผ้าทะเลหนึ่งชั้น จากนั้นก็กลบขอบด้วยดินดำเพื่อรักษาความอบอุ่น
ทุกคนในหมู่บ้านเห็นว่าไม่ยากจึงเข้ามาช่วยกันคนละไม้ละมือ
พี่รองลู่มือหนัก มักจะสาดดินดำกลบขึ้นไปบนผ้าทะเลอยู่หลายครั้ง
ผ้าสะอาดๆ ถูกทำให้สกปรกเช่นนี้ คนในหมู่บ้านเห็นแล้วปวดใจจนอยากจะตบลู่อู่สักทีสองที
ควรรู้ก่อนว่าผ้าลักษณะงดงามเหมือนผ้าไหมเช่นนี้ บ้านคนยากจนไม่ใช่จะพบเห็นกันได้ง่ายๆ ต่อให้โชคดีได้มาสักผืน ส่วนมากก็นำไปตัดเป็อาภรณ์ให้กับเด็กแรกเกิดหรือบุตรสาวที่กำลังจะแต่งออกไป การเอามาฝังดินเช่นนี้ ช่างเป็การเหยียบย่ำของดีจริงๆ
คนอื่นได้แต่คิด แต่บรรดาสตรีสาวๆ และท่านป้าหลิวนั้นเห็นว่าตัวเองสนิทสนมกับเสี่ยวหมี่จึงลากนางมาตำหนิ
“เสี่ยวหมี่ เ้าเอาผ้าไหมชั้นดีเช่นนี้มาฝังลงดินได้อย่างไร เป็การเหยียบย่ำของดีจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ มีแต่ตอนแต่งออกมาเท่านั้นที่แม่ข้าใจดีใส่ผ้าไหมหนึ่งพับมาในหีบสินเดิมของข้า แต่นี่ตั้งหลายสิบพับเชียวนะ เหตุใดเ้า...”
สตรีทั้งหลายส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนใจ
ลู่เสี่ยวหมี่รู้ว่าพวกนางหวังดี ถูกตำหนิเช่นนี้นางกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับยิ้มอย่างอารมณ์ดีตอบว่า “ท่านป้า พี่สะใภ้ พวกท่านไม่เชื่อข้าหรือ ข้าเคยเอาของดีๆ มาทำให้เสียหายั้แ่เมื่อใดกัน อีกอย่างผ้าชนิดนี้ก็ไม่ใช่ผ้าไหม เป็ผ้าชนิดพิเศษ เหมาะจะนำมาใช้คลุมต้นอ่อนเป็ที่สุด ทั้งรักษาความอบอุ่นและแสงยังลอดผ่านลงมาได้อีก กว่าข้าจะหามาได้ไม่ง่ายเลย”
ท่านป้าหลิวลูบผ้าทะเลนั้นอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังขมวดคิ้วไม่คลาย “ต่อให้จะไม่ใช่ผ้าไหม แต่ราคาก็คงไม่ถูกกระมัง”
“ฮ่าฮ่า ท่านป้าเดาถูกจริงๆ เพราะฉะนั้นท่านก็ช่วยข้าจับตาดูหน่อยนะเ้าคะ หายไปสักพับคงเสียดายแย่”
ลู่เสี่ยวหมี่พูดเช่นนี้ทำเอาบรรดาสตรีทั้งหลายพากันคาดเดาไปว่าผ้าชนิดนี้พับหนึ่งคงจะหลายตำลึง ก็ให้รู้สึกปวดใจไปตามๆ กันไม่ได้
แต่จะอย่างไร เสี่ยวหมี่ก็ไม่ได้คลานออกมาจากท้องพวกนาง จะสงสารแค่ไหนก็ทำอะไรมากไม่ได้ จึงได้แต่กลับไปกำชับบุรุษที่บ้านว่าหากว่างไม่มีอะไรทำก็ให้แวะเวียนมาดูเพิงเพาะชำของสกุลลู่บ่อยๆ
เพราะทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือ เพียงชั่วเวลาสองก้านธูปก็ขึงคลุมเพิงเพาะเลี้ยงไปได้เป็สิบแถวแล้ว
ผักโขม ผักชี ผักกาดขาว และต้นหอม พืชสี่ชนิดนี้ปลูกรวมคละกันสามแถว ส่วนแตงกวา มะเขือม่วง และถั่วลันเตานั้นนำมาปลูกคละกันในแถวเดียว ที่เหลืออีกหกแถวเป็ที่ของต้นอ่อนข้าวโพด
เนื่องจากเพิ่งถูกย้ายออกมาจากเรือนกระจก ต้นอ่อนจึงยังเล็กอยู่มาก ทุกคนเห็นแล้วก็เป็กังวลว่ามันจะฝ่าความหนาวเติบโตขึ้นมาได้หรือไม่
ดีที่ลู่เสี่ยวหมี่เตรียมการไว้แล้ว พอพระอาทิตย์ตกดิน นางก็นำฟางข้าวมาคลุมบางๆ ไว้อีกชั้นหนึ่ง ทุกคนเห็นแล้วจึงพอจะวางใจลงได้บ้าง
เชิงอรรถ
[1] ฉื่อ(尺)1 ฉื่อ ยาวประมาณ 3.33 เดซิเมตร
[2] จั้ง(丈)1 จั้ง ยาวประมาณ 3.33 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้