แต่เดิมลู่เสี่ยวหมี่คิดเพียงว่าจะเข้าไปถามหาผู้ซื้อจากโรงเตี๊ยมทีละแห่งๆ แต่นางกลับไม่เคยคิดถึงเื่ที่จะถูกบังคับแย่งชิงไปเลย อย่างไรเสียสังคมที่นางเคยอยู่มาในชาติก่อนเื่การบังคับแย่งชิงของของคนอื่นไม่ใช่เื่ที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆ
คำพูดของเถ้าแก่ตีนางเข้าอย่างจังจนตาสว่าง และรู้สึกโชคดีที่สุดท้ายนางตัดสินใจใช้ทางลัดเอาผักมาหาเถ้าแก่เฉินก่อนเพราะความี้เี
“เถ้าแก่เฉินพูดมีเหตุผล เช่นนั้นเรามาคุยกันเื่การค้าในครั้งนี้เถอะเ้าค่ะ”
เสี่ยวหมี่ตอบรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้เถ้าแก่เฉินรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก เขาอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงปรบมืออย่างยินดี
“ดี ดี แม่นางลู่ตรงไปตรงมายิ่งนัก”
ในเมื่อตัดสินใจว่าจะร่วมมือกัน คนทั้งสองก็นั่งลงเจรจากันอย่างจริงจัง
เสี่ยวหมี่บอกเล่าถึงปริมาณผักในสวน รวมถึง่เวลาการเก็บเกี่ยว เถ้าแก่เฉินไล่เรียงชื่อโรงเตี๊ยมและตระกูลใหญ่ที่เขาพอจะสนิทสนมออกมา จากนั้นก็บอกให้เสี่ยวหมี่ฟังว่าท่านเ้าเมืองจะจัดงานชุมนุมกวีต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ หากว่าส่งผักสดพวกนี้ไป จะต้องเป็ที่นิยมมากแน่ ไม่จำเป็ต้องหนักใจเื่ผู้ซื้ออีกต่อไป
เสี่ยวหมี่ยิ่งฟังยิ่งพอใจ เลือกคนไม่ผิดจริงๆ เถ้าแก่เฉินดูแลร้านค้ามาหลายปี ย่อมมีประสบการณ์กว่าแม่ค้าปลอมๆ อย่างนางมากนัก
คนทั้งสองปรึกษากันอยู่ทั้งเช้า จากนั้นเถ้าแก่เฉินก็ตัดสินใจทิ้งร้านผ้าของตนเองตามลู่เสี่ยวหมี่กลับไปที่หมู่บ้านเขาหมี
เมื่อช่วยเก็บเกี่ยวพืชผักใส่จนเต็มตะกร้าแล้ว เถ้าแก่เฉินก็รีบนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง
เขามาไวไปไว นอกจากคนสกุลลู่แล้ว คนอื่นๆ ในหมู่บ้านไม่มีใครได้ข่าวคราวเลย
ยามรับประทานอาหารเย็น เสี่ยวหมี่เล่าเื่ที่นางร่วมมือขายผักกับเถ้าแก่เฉินให้บิดาลู่และเฝิงเจี่ยนฟัง คนทั้งสองฟังแล้วก็เห็นดีเห็นงามด้วย บิดาลู่เป็บัณฑิตย่อมไม่ยินดีให้บุตรสาวของตนออกไปบากหน้าค้าขาย ครั้งก่อนที่ขายถังหูลู่ หากไม่ใช่เพราะบรรดาพรานหนุ่มน้อยทั้งหลายเป็คนออกหน้าไปขายให้ เกรงว่าเขาก็คงห้ามไม่ให้ทำ ส่วนเื่เงินทองนั้นไม่เคยมีอยู่ในความคิดเขาอยู่แล้ว
แต่สำหรับเฝิงเจี่ยนนั้น เขารู้สึกผิดมากกว่า
เมื่อเห็นว่าลู่เสี่ยวหมี่รีบกินข้าวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปจัดแบ่งผ้าและฝ้าย เตรียมแจกจ่ายให้กับแต่ละครอบครัว เขาก้มหน้าลงน้อยๆ ลอบตัดสินใจแน่วแน่ว่าวันหน้าเมื่อเสี่ยวหมี่เข้าเมืองเขาจะต้องติดตามอยู่ข้างๆ ให้ได้
แค่คิดว่านางต้องร้องไห้ตาแดงเพราะผลผลิตที่ลำบากมานานกว่าจะได้เก็บเกี่ยวถูกคนแย่งชิงไป ใจเขาก็รู้สึกบีบรัดจนเ็ป ทั้งโกรธจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้
ใต้หล้านี้ ที่แท้ก็เป็ดังที่บิดาว่าไว้จริงๆ มันไม่ได้สงบสุขอย่างที่เขาเห็น ใต้ท้องนภาผืนนี้ไม่ใช่ว่าจะไร้ตำหนิเอาเสียเลย...
บนเขาสูง ยามค่ำคืนมักมาถึงเร็วกว่าที่อื่น เพื่อประหยัดตะเกียงน้ำมัน แต่ละบ้านหากว่าไม่มีเื่สำคัญอะไรก็มักจะเข้านอนแต่หัวค่ำ แต่ค่ำคืนยาวนาน จะเอาแต่หลบอยู่ในบ้านทำเื่ผสานหยินหยางสืบทอดเชื้อสายอย่างเดียวก็น่าเบื่อเกินไป ดังนั้นบ้านที่สนิทสนมกันจึงมักมารวมตัวกันเพื่อเป็การประหยัดตะเกียงน้ำมัน พวกผู้ชายรวมตัวกันสนทนาโอ้อวดไปเรื่อย ส่วนพวกผู้หญิงก็นั่งล้ะเกียงทำงานเย็บปักในมือ
เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของทั้งครอบครัวส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีเย็บปักกันขึ้นมาเองเช่นนี้แหละ
เวลานี้หลายบ้านเพิ่งจะทานข้าวเย็นกันเสร็จ บรรดาสตรีเก็บชามและตะเกียบกลับมาที่ห้องครัว ยังไม่ทันได้โผล่หน้าออกมา ลูกๆ ที่ซุกซนก็วิ่งเข้ามาแล้วะโว่า “ท่านแม่ ท่านแม่ พี่เสี่ยวหมี่บอกให้ท่านไปเอาฝ้าย”
“ฝ้าย?” พวกผู้หญิงได้ยินแล้วก็งุนงง หรือว่าเสื้อคลุมและผ้าห่มที่เอาไปใช้คลุมเพิงผักรอบที่แล้วจะไม่พอ เสี่ยวหมี่จึงคิดจะทำของแปลกใหม่อะไรอีก?
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ว่างอยู่ พวกผู้หญิงจึงหยิบตะกร้าใส่เข็มกับด้ายแล้วไปรวมตัวกันที่บ้านสกุลลู่ ต่างคิดกันว่ามีเื่อะไรก็ออกแรงช่วยสกุลลู่สักหน่อย หากไม่มีเื่อะไรก็เอางานเย็บปักของตนไปทำต่อ สกุลลู่มีเตาไฟหลายเตาให้ความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ตะเกียงน้ำมันก็จุดไว้ไม่ขาด
เพียงไม่นานเรือนหลังสกุลลู่ก็มีสตรีสิบกว่าคนมารวมตัวกัน ยังมีพวกเด็กเล็กๆ ที่แอบตามมารดามาด้วย
ชาติที่แล้วลู่เสี่ยวหมี่เลี้ยงน้องสาวน้องชายหลายคน ชาตินี้ยังได้มีโอกาสเป็ครูเด็กเล็กอยู่อีกหนึ่งเดือน แน่นอนว่าย่อมมีความอดทนกับเด็กเป็พิเศษ
นางเอาขนมน้ำตาลโรยงาดำแบ่งให้พวกเด็กๆ แล้วถึงได้ยกผ้ากับฝ้ายที่ซื้อมาใหม่ออกมา
ท่านป้าหลิวเป็คนแรกที่หยิบผ้าในกองนั้นไปดู นางชอบมาก ลวดลายสีสันก็งดงามดี ลูบแล้วทั้งนุ่มทั้งหนา
เสร็จแล้วก็ถามว่า “เสี่ยวหมี่ เ้าคงไม่ได้คิดจะเอาผ้าดีๆ เช่นนี้ไปคลุมเพิงผักอีกหรอกกระมัง?”
“ใช่แล้ว ทำของดีๆ เสียหมด”
ทุกคนพากันส่งเสียงวิจารณ์ ทำสีหน้าสงสารผ้าฝ้ายกันเป็แถวๆ หากในฤดูใบไม้ร่วงล่าสัตว์ได้เยอะ ขายได้ราคาดี พอถึง่ปีใหม่แต่ละบ้านถึงจะตัดใจซื้อผ้ามาทำอาภรณ์ชุดใหม่ ต้องกตัญญูกับคนชรา ต้องรักใคร่เอ็นดูเด็กๆ บุรุษออกนอกบ้านบ่อยๆ ก็ต้องสวมใส่อาภรณ์ที่ดูดีมีหน้ามีตา สตรีเหล่านี้จึงไม่ค่อยได้สวมอาภรณ์ดีๆ มากนัก สวมกันแต่ชุดเก่าๆ ทั้งยังเต็มไปด้วยร่องรอยการปะชุน โดยการปักดอกไม้ใบหญ้าทับลงไป
ตอนนี้เห็นผ้าดีๆ มากมายต้องถูกเอาไปทำผ้าห่ม แล้วโยนไปคลุกดินในแปลงผัก พวกนางก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก
เสี่ยวหมี่เอาแต่ยิ้มแย้ม แม้ต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์มากมายนางก็ไม่โกรธสักนิด “ผ้าฝ้ายและฝ้ายพวกนี้เอามาทำผ้าห่มจริงๆ เ้าค่ะ แต่ว่า...ไม่ได้เอาไว้คลุมแปลงผัก ฝ้ายพวกนี้ข้าตั้งใจจะแบ่งให้ท่านป้าและพี่สะใภ้ทั้งหลาย ผ้าห่มที่พวกท่านให้ยืมมาคลุมเพิงผักก่อนหน้านี้เหมาะกับสวนผักของข้าเป็อย่างดี ข้าตั้งใจจะไม่คืนมันให้พวกท่านแล้ว
ผ้าฝ้ายและฝ้ายพวกนี้พวกท่านแบ่งกันเอาไปทำผ้าห่มผืนใหม่ อย่าคิดจะเอาผ้าห่มพวกนั้นกลับไปเชียว คนอย่างข้าตระหนี่ยิ่ง ไม่ยอมคืนให้พวกท่านหรอก”
“อะไรนะ ให้...ให้พวกเราหรือ?”
ทุกคนต่างตกตะลึง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็ตื่นเต้น “ผ้าดีๆ และฝ้ายพวกนี้ จะมอบให้เราหมดเลยหรือ?”
เสี่ยวหมี่พยักหน้า “พวกท่านลองดูก่อน หากว่าไม่พอ วันพรุ่งนี้ค่อยให้พี่รองข้าเข้าเมืองไปซื้อมาเพิ่ม”
“แหม พอแล้วๆ”
“ใช่แล้ว พอแล้วล่ะ แค่นึกถึงตอนได้ห่มผ้านี้ก็อบอุ่นไปทั้งร่างแล้ว”
กลับเป็ท่านป้าหลิวที่กวาดสายตามองทุกคน จากนั้นก็กระแอมออกมาสองเสียง ทำให้พวกสาวๆ เงียบเสียงลง ก่อนจะจับมือลู่เสี่ยวหมี่โน้มน้าวนางว่า “เสี่ยวหมี่ ป้ารู้ว่าเ้ารู้ความทั้งยังใจกว้าง ไม่อยากเอาเปรียบคนในหมู่บ้าน แต่ผ้าห่มและเสื้อคลุมที่ก่อนหน้านี้ทุกคนมอบให้ ปกติก็ถูกกองไว้ในห้องเก็บของเท่านั้น แทนที่จะปล่อยให้ย่อยสลายไปเช่นนั้นเอาออกมาคลุมแปลงผักย่อมจะดีกว่า แต่ตอนนี้เ้าจะเอาผ้าฝ้ายและฝ้ายที่ซื้อมาใหม่พวกนี้มาแลกกับของเก่าๆ ขาดๆ พวกนั้น ไม่เท่ากับว่าเป็ทุกคนเอาเปรียบเ้าหรอกหรือ”
พวกสะใภ้ทั้งหลายเองย่อมทราบดีว่าตนกำลังเอาเปรียบสกุลลู่อยู่ แต่สตรีที่ไหนบ้างจะไม่รักสวยรักงาม เมื่อผ้างามๆ เหล่านี้มาอยู่ในมือ พวกนางก็พากันจินตนาการไปมากมายว่าจะเอาไปทำอะไรบ้าง ทั้งผ้าห่ม ทั้งเสื้อผ้าของลูกๆ หากเหลือยังอาจจะเอามาเย็บชุดกระโปรงตัวใหม่ให้ตัวเองได้ด้วย พวกนางอยากได้ผ้าเหล่านี้เหลือเกิน จึงไม่มีใครยอมปฏิเสธ
ตอนนี้เมื่อได้ยินท่านป้าหลิวพูดออกมา จึงพากันเอ่ยขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วนว่า “นั่นน่ะสิ เมื่อครู่เอาแต่ดีอกดีใจกัน ผ้าพวกนี้...คงรับไว้ไม่ได้ บ้านข้าให้แค่เสื้อคลุมหนังแพะขาดๆ เท่านั้น ยังขาดเป็รูเพราะถูกแมลงชอนไชแล้วด้วยซ้ำ...”
“บ้านข้าก็เหมือนกัน ขาดวิ่นจนแทบไม่เป็ทรงแล้ว”
เสี่ยวหมี่รีบโบกมือยิ้มๆ กล่าวว่า “ท่านป้า พี่สะใภ้ทั้งหลาย ฟังข้านะเ้าคะ ก่อนหน้านี้ใน่เวลาเร่งด่วนเช่นนั้น เป็เพราะพวกท่านป้าและพี่สะใภ้ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล ของจะดีหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญที่น้ำใจ ยามนี้ของที่ข้าซื้อมาตอบแทนพวกท่านจะเป็ของใหม่ของเก่าก็ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คำขอบคุณที่ข้าอยากมอบให้กับท่านป้าและพี่สะใภ้ทุกคน”
นางพูดอย่างจริงใจ ไม่มีท่าทีเกรงอกเกรงใจแบบผิวเผิน ทำเอาพวกสะใภ้ทั้งหลายได้ยินแล้วรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม
ท่านป้าหลิวรู้สึกอบอุ่นหัวใจ นางจับมือเสี่ยวหมี่แล้วลูบหลังเบาๆ “เด็กคนนี้ เหตุใดถึงรู้ความเช่นนี้นะ หากแม่ของเ้ายังอยู่คงจะดีใจมากเป็แน่”
“ท่านแม่ข้าไม่อยู่แล้วก็ไม่ใช่ว่ายังมีท่านป้าและพวกพี่สะใภ้คอยรักเอ็นดูข้าหรือเ้าคะ”
ลู่เสี่ยวหมี่ไม่กล้าพูดถึงความหลังมากนักเพราะสมองของนางว่างเปล่า นางกลัวทุกคนจะจับได้ว่านางเป็แค่ตัวแทนที่มาอาศัยอยู่ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พวกพี่สะใภ้ทั้งหลายก็รู้ว่างานเย็บปักข้าไม่ดี ยังต้องให้พวกท่านมาช่วยเย็บผ้าห่มให้บ้านข้าด้วยนะเ้าคะ”
“ได้ เป็เื่สมควรอยู่แล้ว ยกให้เป็หน้าที่ของพวกเราเถอะ”
เื่เล็กๆ เช่นนี้พวกนางจะปฏิเสธได้อย่างไร เริ่มด้วยการเลือกลายผ้าให้พวกเฝิงเจี่ยนนายบ่าว จากนั้นถึงเป็ของพวกลู่เสี่ยวหมี่ทั้งห้าคน
เสร็จแล้วทุกคนถึงได้แบ่งผ้าฝ้ายและฝ้ายกัน
บางคนผ้าห่มที่บ้านมีมากพอแล้ว จึงเลือกผ้าสีสว่างสักหน่อยไปทำอาภรณ์สวมใส่ บางคนถึงกับหอบเอาเศษผ้ากลับไปทำผ้าหุ้มรองเท้าให้ลูกๆ
สุดท้ายทั้งผ้าฝ้ายและฝ้ายก็ถูกแบ่งไปจนหมดไม่มีเหลือ
เสี่ยวหมี่จุดตะเกียงสว่างไสวทั้งบ้าน
บรรดาสะใภ้ทั้งหลายต่างเอากรรไกรออกมาตัดแบ่งผ้าเป็ส่วนๆ สำหรับตัดเย็บตามที่คิด เมื่อกลับไปถึงบ้าน ต่อให้แม่สามีไม่เห็นด้วยก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
พระจันทร์ในฤดูหนาวไม่นับว่าสว่างไสวนัก แต่เมื่อส่องกระทบลงบนหิมะที่กำลังค่อยๆ ละลายแล้วกลับสะท้อนแสงแวววาวยิ่ง ทว่าตอนนี้บรรดาสะใภ้ทั้งหลายกลับไม่มีเวลามาชื่นชมธรรมชาติ ต่างคนต่างขยับมือไม้อย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น
เมื่อกลับไปถึงบ้าน คนที่บ้านก็หลับกันเกือบหมดแล้ว ได้แต่เล่าให้บุรุษข้างกายที่นอนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันฟัง
เมื่อพวกผู้ชายได้ยินว่าเสี่ยวหมี่ตอบแทนผ้าห่มขาดๆ ของพวกเขาด้วยผ้าฝ้ายและฝ้ายที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ก็พากันทอดถอนใจ
“สกุลลู่ช่างใจกว้างและมีคุณธรรมยิ่งนัก วันหน้าหากอีกฝ่ายมีเื่อะไรพวกเราก็ต้องช่วยเหลือให้เต็มที่ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะอย่างไรก็เป็คนในหมู่บ้านเดียวกัน เอาแค่เื่ที่พวกเขาปฏิบัติกับนายพรานอย่างพวกเราเป็อย่างดี แค่นี้พวกเราก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อน้ำใจของพวกเขาได้แล้ว พวกเ้าก็จริงๆ เลย เสี่ยวหมี่อายุยังน้อย ยามปกติก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หน่อย มีอะไรก็ช่วยเหลือนางบ้าง”
“ดูเ้าพูดเข้าสิ” ภรรยาหยิกเอวสามีเสียเต็มแรง กล่าววาจาน้อยอกน้อยใจ “พูดราวกับว่าพวกผู้ชายมีน้ำใจกว้างใหญ่แต่พวกผู้หญิงอย่างเราใจแคบอย่างไรอย่างนั้น เสี่ยวหมี่ดีกับเราเช่นนี้ ใครบางจะไม่จำใส่ใจ ผ้าปูเตียงแปดผืนของสกุลลู่ข้ารับกลับมาทำถึงสองผืนเชียวนะ”
“หึ พวกเราสตรีน่ะมีน้ำใจที่สุด”
พวกผู้ชายถูกหยิกจนรู้สึกคันยุบยิบในใจ อดใจไม่ไหวเขยิบเข้าไปอยากจะชิดใกล้
น่าเสียดาย มือซุกซนของเขาถูกปัดทิ้งทันที
“ฟังข้านะ ผ้าที่เสี่ยวหมี่ให้มา ข้านำมาตัดเป็ชุดกระโปรงให้ตัวเองชุดหนึ่ง และตัดกระโปรงใหม่ให้ลูกสาวเราอีกตัวหนึ่ง วันพรุ่งนี้หากท่านแม่ถามท่านจะต้องช่วยพูดให้ข้านะ แม่นางน้อยต้องสะสมสินเดิมเตรียมออกเรือนนั้นก็จริงอยู่ แต่จะให้ท่านแม่เอาไปเก็บไว้อย่างเดียวก็คงไม่ดี เพราะจะอย่างไรเสี่ยวหมี่ก็พูดออกมาแล้วว่าผ้าพวกนี้ยกให้ข้าเป็คำขอบคุณ จะไม่ให้ข้าทำอาภรณ์สักชุดให้ตัวเองเลยก็เกินไปหน่อย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้