“พี่ใหญ่เฝิงวางใจ ข้าคิดไว้แล้ว บิดาข้าพูดถูก ข้าเองก็คิดอยากจะสอนวิธีเพาะปลูกให้บรรดาชาวบ้าน รวมถึงคนทั้งเมืองอันโจว หรือกระทั่งทั้งแคว้นต้าหยวนแห่งนี้”
เสี่ยวหมี่พยายามอย่างยิ่งที่จะขจัดความน้อยเนื้อต่ำใจในจิตใจออกไป ยิ้มแย้มออกมาใหม่
“ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหลายวันมานี้คนในหมู่บ้านให้ความช่วยเหลือข้ามามาก แค่เื่ที่ว่ายามปกติก็ไปมาหาสู่สนิทสนมกันอย่างดี จะอย่างไรข้าก็ไม่อาจร่ำรวยอยู่เพียงผู้เดียวแล้วมองคนอื่นๆ ในหมู่บ้านกินไม่อิ่มสวมใส่ไม่อุ่นได้หรอก หากเป็เช่นนั้น นานไปจะเกิดความขัดแย้งได้ง่าย อีกอย่างแดนเหนือทุรกันดาร ใน่ฤดูหนาวราษฎรแทบไม่มีวิธีทำมาหากินได้เลย หากเรียนรู้วิธีเพาะปลูกได้สำเร็จ ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถทำให้ครอบครัวอยู่ดีกินดีขึ้นได้
เมื่อทุกคนกินอิ่มสวมใส่อบอุ่น ก็จะไม่เกิดความคิดร้ายๆ ขึ้น ใต้หล้าจะได้สงบสุข วันหน้าต่อให้ข้าจะหาเงินได้มหาศาลแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าใต้หล้าจะไม่สงบ แล้วกลายเป็ชักศึกเข้าบ้านเพราะความร่ำรวยของตน”
เฝิงเจี่ยนหูฟังตามองใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวหมี่ที่คล้ายว่าจะแดงขึ้นน้อยๆ เพราะยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ในใจพลันเกิดความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่คุ้นเคยขึ้นมา คล้ายว่าอยากจะไขว่คว้าบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็หวาดกลัว
ั้แ่เขาเกิดมาก็ใช้ชีวิตอย่างยุ่งวุ่นวายมาโดยตลอด เรียนหนังสือ เรียนมารยาท เรียนการบริหารจัดการ เรียนวรยุทธ์ยิงธนู ไม่ว่าใครก็ชมเชยว่าเขาโดดเด่นทั้งบุ๋นและบู๊
สตรี เขาเองก็พบมานับไม่ถ้วน ทั้งอวบอิ่มผอมบาง แต่ส่วนมากล้วนงดงามอ่อนโยน สุขุมไว้ตัว
หากพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อย ก็คล้ายกับแจกันดอกไม้ที่สวยงาม งดงามแต่ไร้ชีวิตชีวา
แต่แม่นางตรงหน้าผู้นี้แตกต่างออกไป นางมีชีวิตชีวาสดใส ไม่้าบุรุษมาปกป้อง ไม่ร้องไห้เพราะความยากลำบาก ไม่หดหู่ท้อใจเพียงเพราะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
คล้ายกับภูติตัวน้อยๆ ก็ไม่ปาน บางครั้งแลดูเกียจคร้านเหมือนแมวน้อย บางครั้งก็เฉลียวฉลาดเหมือนจิ้งจอก แต่ส่วนใหญ่แล้วนางคล้ายกับต้นหยางที่ยืนหยัดสูงชี้ฟ้า
สตรีเช่นนี้จะให้เขาไม่รักได้อย่างไร...
รัก?
เฝิงเจี่ยนตัวสั่นน้อยๆ นึกถึงบทสนทนาบางอย่าง สีหน้าพลันซับซ้อนขึ้นมา...
ลู่เสี่ยวหมี่เห็นเช่นนั้นยังนึกไปว่าเขาหนาวจึงรีบหยุดพูด แล้วยื่นมือไปจัดเสื้อคลุมให้เขา ก่อนจะลากเขากลับเรือนพักฝั่งตะวันออกไป
“พี่ใหญ่เฝิง ถึงแม้ขาท่านจะหายดีแล้ว แต่ลุงสามปี้บอกแล้วว่าอาการาเ็นี้ทำลายถึงภายใน ท่านต้องพักผ่อนให้มาก ตอนกลางคืนอากาศเย็น ท่านอย่าออกมาเลยเ้าค่ะ หากมีเื่อะไร ท่านก็ให้เกาเหรินไปเรียกข้าก็พอ เขายังเด็ก เข้าออกเรือนข้าก็ไม่มีปัญหาอะไร”
ขณะกำลังพูดอยู่เกาเหรินก็เปิดประตูออกมาพอดี ทำให้เสี่ยวหมี่ดีดหน้าผากเขาไปทีหนึ่ง
“คุณชายของเ้าออกไปข้างนอก เ้าก็ไม่รู้จักส่งเตาพกให้เขาถือไปด้วยหรือ วันพรุ่งข้าจะทำของอร่อยอีกแต่จะไม่แบ่งเ้าแล้ว”
เกาเหรินถูกดีดหน้าผากจนชินเสียแล้ว เขาลูบหน้าผากป้อยๆ จากนั้นก็กลอกตาวิ่งหนีไป
เสี่ยวหมี่จึงทำได้แค่หันมากำชับกับเฝิงเจี่ยน “พี่ใหญ่เฝิง ท่านรีบเข้านอนเถิด วันพรุ่งจะมีคนมาที่บ้านหลายคน เกรงว่าคงเอะอะมะเทิ่งไปทั้งวัน”
เฝิงเจี่ยนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เพียงพยักหน้าแล้วจึงเดินเข้าห้องไป
ลู่เสี่ยวหมี่กระพริบตาปริบๆ เหมือนจะรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้องสักแห่ง แต่เมื่อนึกถึงว่าวันพรุ่งนี้ยังมีเื่ยุ่งให้ต้องทำอีกมาก จึงไม่มีเวลาไปคิดอะไรอีกแล้วหมุนกายกลับไปยังเรือนหลังของตน
ทางด้านลุงสามปี้และนายท่านเฝิงจำเป็ต้องส่งของขวัญไป ส่วนทางท่านป้าหลิวเองนางก็ต้องให้ของขวัญเช่นเดียวกัน ยังมีอาหารที่จะจัดเลี้ยงในวันพรุ่งนี้จะอย่างไรก็ต้องมีหกอย่าง สุราก็ต้องซื้ออย่างน้อยยี่สิบไห...
เช้าวันรุ่งขึ้น พี่ใหญ่ลู่เตรียมเงินไปอย่างเพียงพอแล้วเข้าเมืองไปพร้อมพวกเสี่ยวเตา รวมถึงบิดาลู่ที่กำลังตื่นเต้นกับผู้เฒ่าหยางไปพร้อมกันด้วย
เดิมทีลู่อู่งอแงอยากจะไปด้วย แต่เสี่ยวหมี่ตื่นมาทอดลูกชิ้นเนื้อและย่างกระต่ายสองตัวใส่จนเต็มตะกร้าให้เขานำไปให้อาจารย์ที่เร้นกายอยู่บนูเา
ั้แ่หลังปีใหม่ที่บ้านลู่เริ่มปลูกผัก ลู่อู่ก็ขึ้นเขาน้อยลง เขาเป็คนไม่คิดอะไรมากจึงไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร แต่ลู่เสี่ยวหมี่กลับรู้สึกผิดไม่น้อย
ต่อให้อาจารย์ผู้นั้นจะชอบความสงบแค่ไหนก็คงเหงาบ้างกระมัง แต่กลับรับคนพึ่งพาไม่ได้อย่างลู่อู่เป็ลูกศิษย์ เกรงว่าคงถูกทำให้โมโหอยู่บ่อยๆ
ดังนั้น ขอแค่นางสามารถทำได้ นางจะพยายามส่งของกินของใช้ไปให้อาจารย์ท่านนั้นบ่อยๆ ถือเสียว่าเป็คำขอบคุณที่คอยดูแลพี่รองของนางที่ระดับสมองเท่าเด็กอนุบาล
เรือนกว้างใหญ่ที่ปกติมีคนอยู่มากมายยามนี้กลับเงียบเหงาลง เหลือเพียงลู่เสี่ยวหมี่คนเดียวก็ทำให้นางรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย
ไม่สิ ที่เรือนฝั่งตะวันออกยังมีเฝิงเจี่ยนอยู่ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้เฝิงเจี่ยนจึงไม่ยอมออกจากห้อง แม้แต่อาหารเช้าก็ให้ท่านลุงหยางยกเข้าไปให้
ตอนที่เสี่ยวหมี่คิดจะเข้าไปถาม ท่านป้าหลิวก็พาพี่สะใภ้จากบ้านอื่นๆ มาช่วยงานพอดี
สถานที่ที่มีสตรีอยู่เยอะมักจะครึกครื้น ไม่ว่าจะล้างผัก หั่นผัก ตุ๋นเนื้อ ล้างถ้วยล้างชาม ทุกคนทำกันอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ถึงแม้เสี่ยวหมี่จะทำหน้าที่เป็แค่ลูกมือแต่นางก็ยังยุ่งหัวหมุนอยู่ดี
จนถึง่สาย รถม้าที่เข้าเมืองไปซื้อวัตถุดิบก็กลับมา
เด็กๆ ที่ซุกซนตาวาวออกันอยู่ที่ประตูหมู่บ้าน คล้ายว่าเมื่อเห็นรถม้าอยู่ไกลๆ ก็จะวิ่งมารายงานทันที
บิดาลู่ยิ้มแย้มะโลงจากรถม้า ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย เขาไม่แวะสนทนากับบุตรสาวตัวเองด้วยซ้ำ เอาแต่กอดห่อผ้าแนบอกแล้วหายเงียบเข้าไปในห้องไม่ออกมาอีก
เสี่ยวหมี่เห็นแล้วทั้งฉิวทั้งขัน นางเอ่ยขอบคุณท่านลุงหยาง แล้วจึงรีบไปตรวจสอบว่าพวกเขาซื้อของมาครบหรือไม่
พี่ใหญ่ลู่และพวกเสี่ยวเตากำลังลำเลียงของออกมาจากตะกร้า ครั้นเห็นเสี่ยวหมี่ก็ยิ้มแย้มเรียกนาง “เสี่ยวหมี่ เ้ารีบมาดูว่าเราซื้ออะไรมาบ้าง”
เสี่ยวหมี่ได้กลิ่นคาวปลา นางเปิดฝาตะกร้าก้มลงมองแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ “ไปหาปลาตัวใหญ่ที่สดขนาดนี้มาจากไหน”
เสี่ยวเตายิ้มตาหยีจนเห็นฟันครบทุกซี่ ตอบว่า “เราเข้าตลาดไปเจอเข้ากับคนจากซานเหอจวงที่มาจากเมืองทางทิศเหนือ พวกเขาเจาะทะเลสาบน้่ำแข็งเป็หลุมแล้วตกปลาขึ้นมาได้หลายตัว เราจึงไปแย่งซื้อมาสิบตัว”
พูดจบเขาก็ชี้ไปที่ตะกร้าหวายข้างๆ “ในตลาดมีคนขายห่านด้วย อาจเพราะ่เวลานี้ที่บ้านไม่มีเศษอาหารจะเลี้ยงมันแล้ว ข้าคิดว่าพวกไก่เนื้อแห้งเหี่ยวเกินไป จึงตัดสินใจซื้อกลับมาสามตัว”
ท่านป้าหลิวได้ยินเช่นนี้ก็ยกมือขึ้นตบหลังศีรษะลูกชายตน “เสี่ยวหมี่หาเงินมาอย่างยากลำบาก แต่เ้ากลับมือเติบอย่างไม่เสียดายเลยนะ”
หลิวเสี่ยวเตายิ้มๆ ไม่ตอบอะไร กลับเป็พี่ใหญ่ลู่คนซื่อที่อยู่ข้างๆ แก้ต่างให้ “ข้าเป็คนบอกให้เสี่ยวเตาซื้อมาเองขอรับ”
เสี่ยวหมี่เองก็ยิ้มแย้มเข้าไปคล้องแขนท่านป้าหลิว เอ่ยออดอ้อนว่า “ท่านป้า ข้าต้องขอบคุณพี่เสี่ยวเตาที่คิดอย่างรอบคอบต่างหากเ้าคะ ท่านจะตีเขาไปทำไม ท่านทำเช่นนี้วันหน้าหากข้ามีเื่อะไรก็คงไม่กล้าเอ่ยปากกับพี่เสี่ยวเตาแล้ว”
“แหม ข้าก็แค่กลัวว่าเขาจะใช้เงินเกินตัว เ้าอย่าเกรงใจ มีเื่อะไรก็รีบเรียกเขาให้ไปช่วยได้เลย”
ท่านป้าหลิวอยากจะให้ลูกชายใกล้ชิดกับเสี่ยวหมี่แทบตาย ได้ยินเสี่ยวหมี่พูดเช่นนี้ก็รีบออกปากทันที ทำเอาทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เสี่ยวเตาเองก็หน้าแดง เขารีบดึงสาหร่ายทะเลแห้งสีเข้มออกมาแล้วพูดว่า “น้องเสี่ยวหมี่ ข้าซื้อสาหร่ายกลับมาแล้ว แต่พวกเขาบอกว่าของสิ่งนี้ไม่อร่อยนะ”
“ซื้อกลับมาก็ดีแล้ว สาหร่ายพวกนี้เอาไว้กินวันหลัง คนบ้านข้าเคยกินไปแล้ว เช้านี้ก็ยังแช่น้ำไว้หนึ่งกะละมัง อีกประเดี๋ยวข้าจะเข้าครัวทำให้ทุกท่านลองชิม หากรู้สึกว่าอร่อยวันหน้าที่บ้านพวกท่านก็ต้มกินกันบ่อยๆ สิ กินของพวกนี้แล้วจะได้ไม่เป็โรคคอพอก”
แคว้นอันโจวตั้งอยู่ค่อนมาทางฝั่งเหนือ ไม่รู้ว่าเกลือหยาบและเกลือละเอียดที่ใช้อยู่ขนส่งมาจากไหน ดูเหมือนไม่มีไอโอดีน ก่อนหน้านี้ตอนเข้าเมืองนางเห็นหลายคนมีลักษณะเหมือนเป็โรคคอพอก ยามนี้นางจึงหาโอกาสสอนคนในหมู่บ้านสักหน่อย
เมื่อพวกเขาได้ยินเสี่ยวหมี่พูดเช่นนี้ก็พากันจำใส่ใจไว้
พวกผู้ชายเข้าไปรวมตัวดื่มชาและของว่างที่โถงรับรอง ส่วนพวกผู้หญิงกรูกันเข้าไปในห้องครัว เร่งให้เสี่ยวหมี่รีบลงมือ
เสี่ยวหมี่ยิ้ม รีบเอาสาหร่ายที่ล้างสะอาดไว้ั้แ่เช้าใส่ลงไปในหม้อน้ำเดือดแล้วต้มอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อสาหร่ายเริ่มนิ่มจนกระจายตัวเป็เส้นๆ ก็ตักขึ้นมา นำไปใส่ในน้ำเย็นให้หายร้อน จากนั้นก็ตักขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำ แล้วจึงโรยเกลือ น้ำส้มสายชู กระเทียมสับ ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย ทั้งยังราดน้ำมันร้อนๆ ใส่พริกสับให้กลิ่นหอมกำจาย สุดท้ายหั่นผักชีโรยหน้าทับ
บรรดาสตรีทั้งหลายยังจำราคาของผักชีได้ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดปวดใจไม่ได้
เสี่ยวหมี่เองก็รู้ดี แต่สำหรับนางแล้ว ของพวกนี้ต่อให้จะแพงสักแค่ไหน ก็ปลูกไว้กิน หากนางยังตัดใจกินไม่ลงก็ไม่รู้จะปลูกไว้ทำอะไรแล้ว
เครื่องเคียงที่ทำง่ายเช่นนี้ กลับอร่อยเหนือความคาดหมาย ความเค็มอันเป็เอกลักษณ์ของสาหร่ายเมื่อนำมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงรสทั้งหลาย แล้วโรยผักชีปิดท้ายเช่นนี้ รสชาติช่างสดชื่นเหมาะจะกินในฤดูหนาวจริงๆ
เสี่ยวหมี่อาศัยโอกาสนี้สำทับเพิ่ม “ยำสาหร่ายหม้อใหญ่ขนาดนี้ ใช้สาหร่ายแห้งไปแค่เส้นเดียว แค่สิบอีแปะเท่านั้น คุ้มค่ายิ่งนัก”
“นั่นน่ะสิ พรุ่งนี้พวกเราจะซื้อมาลองดูบ้าง”
“แต่ถึงเราจะลองอย่างไรก็คงทำออกมาไม่อร่อยเท่าเสี่ยวหมี่แน่ ผักชีราคาแพงมาก วันนี้ข้าจะกินตุนไว้ให้เต็มท้อง”
ทุกคนพูดจาหยอกล้อกันไปครู่หนึ่งแล้วจึงแยกย้ายกันไปทำงาน
ส่วนห่านก็เชือดแล้วถอนขน หั่นเป็ชิ้นๆ เสี่ยวหมี่ตัดใจใช้มันฝรั่งไม่ได้ จึงตุ๋นมันพร้อมกับเห็ดป่าแทน
ปลาที่ซื้อกลับมา นำมาหั่นเป็ชิ้นใหญ่ ตุ๋นรวมกับเต้าหู้จนน้ำแกงเป็สีขาวขุ่น ทั้งอร่อยและมีสารอาหาร
ส่วนกระดูกหมูที่ตุ๋นไว้ั้แ่เมื่อคืนก็เทผักดองและเต้าหู้แช่แข็งลงไป
ตับหมูที่เหลือไว้ั้แ่่ก่อนปีใหม่ นำมาผัดกับพริกจนหอมฟุ้งไปทั้งห้องครัว
สุดท้ายเทลูกชิ้นเนื้อที่ทอดเสร็จั้แ่เช้าลงไปในกระทะและใส่ผักโขมลงไปผัดตาม เรียกได้ว่าเป็มื้ออาหารที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดั้แ่จัดงานเลี้ยงในหมู่บ้านเขาหมีมาเลยก็ว่าได้
ตอนแรกบรรดาสตรีทั้งหลายยังไม่ทันสังเกต แต่เมื่อยกกับข้าวขึ้นโต๊ะแล้วถึงเพิ่งเห็นว่าสิ่งที่อยู่คู่กับลูกชิ้นเนื้อก็คือผักโขม จึงพากันปวดใจอีกครั้ง ปากก็อดจะพร่ำบ่นไม่ได้ ผักโขมที่แพงขนาดนี้พวกนางจะไม่เสียดายได้อย่างไร หากเสี่ยวหมี่เป็ลูกของพวกนาง พวกนางจะต้องหยิกเสียให้หลาบจำว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าประหยัดมัธยัสถ์
แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวหมี่แซ่ลู่ พวกนางย่อมไม่กล้าว่าอะไรมากนัก
กลับเป็ท่านป้าหลิวที่ถือว่ายามปกติสนิทสนมกับลู่เสี่ยวหมี่ จึงเคาะหน้าผากลู่เสี่ยวหมี่เบาๆ
มีประสบการณ์จากงานรำลึกร้อยวันของไป๋ซื่อมาก่อนแล้ว โถงรับรองหลักของบ้านลู่จัดโต๊ะสามโต๊ะเช่นเดิม ซึ่งจัดให้เป็ที่นั่งของพวกบุรุษ ครอบครัวลู่และพวกเฝิงเจี่ยน
ส่วนเรือนหลังของลู่เสี่ยวหมี่ก็จัดสามโต๊ะรับรองแขกสตรีเช่นกัน ในห้องครัวพวกสะใภ้สาวๆ เองก็จัดโต๊ะอีกสองโต๊ะไว้ให้พวกเด็กๆ โดยมีพวกนางนั่งคุมอยู่ด้วย
จากนั้นทุกคนก็พากันแจกจ่ายไหสุรา
อาหารมื้อนี้อุดมสมบูรณ์ สุรารสชาติกลมกล่อม ทำให้ทุกคนมีชีวิตชีวากันมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้