ในที่สุดมู่จื่อหลิงก็จัดการหนอนกู่ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย ยามที่ทำทีจะตื่นขึ้นมา นางรู้สึกว่าตนเองใกล้ทรุดตัวลงอยู่รอมร่อ บัดนี้ทั้งเหนื่อยทั้งง่วงทั้งหิว ไม่อยากขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
นางไม่รู้ว่าอยู่ในระบบซิงเฉินมานานเท่าใดแล้ว อย่างไรเสียยามนี้นางก็เหนื่อยจนไม่อยากตื่น เดิมนางอยากนอนสักงีบ หล่อเลี้ยงกำลังวังชาให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าใน่เวลาสะลึมสะลือนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ขอร้องของเสี่ยวหาน ทำนางตกอกใ เป็ใครที่รังแกเสี่ยวหาน นางเด้งตัวลุกมาจากเตียงโดยพลัน
มู่จื่อหลิงนวดคลึงดวงตางัวเงีย นางมองเห็นผ่านผ้าม่านว่าเสี่ยวหานกำลังคุกเข่าให้ชายผู้หนึ่งที่อาภรณ์ตัวในหลุดลุ่ยย่อตัวอยู่ตรงหน้านางไม่ไกล
ชายผู้นั้นคือผู้ใด เขากำลังรังแกเสี่ยวหานหรือ เสี่ยวหานกำลังคุกเข่าขอร้องเขา?
“เสี่ยวหาน เ้าทำอะไรอยู่” น้ำเสียงใสเย็นของมู่จื่อหลิงดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เสียงร้องไห้ของเสี่ยวหานก็หยุดชะงักลงทันที นิ่งค้างอยู่สามวินาทีถึงหันศีรษะไป เพียงแวบแรกที่เห็นนางก็ยินดีจนร้องไห้ขึ้นมาโดยพลัน และไม่สนใจว่าในห้องจะมีใครอยู่บ้าง
นางพลันโซซัดโซเซลุกขึ้นมาจากพื้น วิ่งพุ่งไปหามู่จื่อหลิง หมอบร้องไห้โฮอยู่บนตัวนางอีกครั้ง
“ฮือๆ นายน้อยในที่สุดท่านก็ฟื้น บ่าวกังวลเหลือเกิน” เสี่ยวหานร้องไห้จนน้ำตานองหน้า
“เกิดอันใดขึ้น มีคนรังแกเ้าใช่หรือไม่?” มู่จื่อหลิงก้มหน้ามองเสี่ยวหานที่ร่ำไห้จนไม่เป็ภาษา ถามอย่างปวดใจ
“ไม่มี ไม่มีใครรังแกบ่าวเ้าค่ะ” เสี่ยวหานเงยศีรษะขึ้นจึงรู้ว่าตนเสียมารยาทแล้ว พลันลุกขึ้นยืน ปาดรอยน้ำตา ส่ายศีรษะพูดออกมา
“ไม่มีใครรังแกเ้า แล้วเมื่อครู่เ้าคุกเข่าให้ใคร?” มู่จื่อหลิงถามอีก
“นายน้อยนอนหมดสติไปสามวัน บ่าวเป็ห่วงนายน้อย เมื่อครู่จึงขอร้องท่านหมอเล่อเทียนให้ช่วยชีวิตนายน้อยเ้าค่ะ” เสี่ยวหานกล่าวพลางสะอึกสะอื้น
สามวัน? มู่จื่อหลิงตกตะลึงไป นางอยู่ในระบบซิงเฉินถึงสามวัน ไม่น่าแปลกที่นางถึงรู้สึกทั้งหิวทั้งเหนื่อยปานนั้น และไม่น่าแปลกที่เสี่ยวหานกังวลใจ
แต่เสี่ยวหานพูดว่านางกำลังขอร้องเล่อเทียนให้ช่วยตน เล่อเทียนมาได้อย่างไร? คนที่เหมือนขอทานเมื่อครู่นั่นคือเล่อเทียนผู้สุภาพอ่อนโยนเ้าของอาภรณ์ขาวราวหิมะหรือ?
มู่จื่อหลิงมองออกไปนอกม่านตามสัญชาตญาณ บัดนี้เล่อเทียนยืนขึ้นมาแล้ว มองมู่จื่อหลิงที่นั่งอยู่ด้านในม่านด้วยความยินดี
มู่จื่อหลิงมองอย่างไรก็ไม่คิดเลยว่า บุรุษที่มอมแมมยุ่งเหยิงตรงหน้าจะเป็ชายหนุ่มรูปงามที่ละมุนราวกับหยกเช่นเล่อเทียน
กระทั่ง...
“หวางเฟย ท่านฟื้นแล้ว” เล่อเทียนยิ้มอย่างสบายใจพลางพูด
เขาชำเลืองมองหลงเซี่ยวอวี่ที่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเยือกเย็น เขารับรู้ได้อย่างเลือนรางว่าหลงเซี่ยวอวี่เริ่มใส่ใจหวางเฟยผู้นี้เสียแล้ว
แต่ว่าบัดนี้หวางเฟยฟื้นขึ้นมาแล้ว หลงเซี่ยวอวี่ยังสามารถนั่งได้อย่างสงบนิ่งเพียงนั้น นิสัยเ็าไร้ความรู้สึกของฉีอ๋องผู้นี้ยังเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ดูท่าทางฉีอ๋องแล้วคงไม่คิดจะออกหน้าถามเื่ราวเหล่านี้ในเร็วๆ นี้แน่ เช่นนั้นเขาจึงเป็ผู้ถามแทน
เขาไม่ได้เสียกิริยาเช่นเสี่ยวหาน รีบร้อนเดินไปดูมู่จื่อหลิง
เพราะฉีอ๋องยังนั่งอยู่ตรงนี้ จะอย่างไรเขาก็ไม่กล้ารีบร้อนอีก
ยามนี้ในมุมมองของมู่จื่อหลิงที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นมองไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่ที่นั่งอยู่บนตั่งนุ่มอย่างสิ้นเชิง มิเช่นนั้นนางคงไม่สงบเยือกเย็นเช่นนี้
“ท่านคือเล่อเทียน?” มู่จื่อหลิงถามอย่างไม่แน่ใจ
เสียงนี้เหมือนเล่อเทียนอย่างยิ่ง ทว่านางก็ยังไม่เชื่อ เล่อเทียนจะกลายมาเป็สภาพนี้ได้อย่างไร
“ทำไมกัน ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน หวางเฟยก็ลืมข้าน้อยเสียแล้ว” เล่อเทียนแกล้งพูดอย่างผิดหวัง
“ไม่...ไม่ใช่ ท่านมาได้อย่างไรกัน” มู่จื่อหลิงรู้สึกผิดขึ้นมา
บัดนี้นางแน่ใจแล้ว คนผู้นี้คือเล่อเทียนจริงๆ นางสังเกตเล่อเทียนขึ้นลงอีกครั้ง แตกต่างกับตอนที่นางเจอสองครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง เป็คนละคนโดยสมบูรณ์แบบ
เล่อเทียนมองตามสายตาของมู่จื่อหลิงที่มองมายังร่างตน ชุดชั้นเดียวสกปรกหลุดลุ่ย ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเหงื่อโชยออกมา เขาถึงได้ค้นพบว่าตัวเองนั้นหมดสภาพยิ่งนัก
เขาสวมอาภรณ์น้อยชิ้นเพียงนี้ เมื่อถูกฉีหวางเฟยมองอย่างโจ่งแจ้ง ใบหน้าจึงแดงเรื่อ และปรากฏความกระอักกระอ่วน
เขาเช็ดน้ำตาเงียบๆ กลายเป็เช่นนี้ยังมิใช่พระกรุณาธิคุณของฉีอ๋องกับท่านอีกหรือ เพราะรังนกถ้วยเดียวสองสามวันนี้ทรมานเขาเสียจนแทบไม่เป็ผู้เป็คน
ทว่าเล่อเทียนได้แต่คิดกับตนเองเงียบๆ เท่านั้น เขาไม่กล้าพูดออกมา
“เดิมทีข้าน้อยจะมาขอคำชี้แนะวิชาแพทย์จากหวางเฟย แต่ไม่นึกว่าหวางเฟยจะนอนหมดสติบนเตียงไปสามวันสามคืน ผู้น้อยจึงรอมาสามวันเช่นกัน” เล่อเทียนแสร้งทำหน้านิ่งใจสงบพลางพูดออกมา
เขาไม่ได้พูดว่าหลงเซี่ยวอวี่ให้เขามา หลงเซี่ยวอวี่ไม่รีบร้อนเผยโฉมหน้า ต้องคิดให้เขาสืบอะไรบางอย่างก่อนเป็แน่ เขาจึงกล่าวเหตุผลที่มาอย่างอ้อมๆ
เสี่ยวหานได้ยินวาจาของเล่อเทียนก็คิดกับตนเองเงียบๆ เล่อเทียนโกหกตาใสเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ท่านอ๋องให้กุ่ยหยิ่งไปพาเขามาชัดๆ เหตุใดจึงกลายเป็เขา้าคำชี้แนะวิชาแพทย์กับนายน้อยไปเสียเล่า
แต่ว่ายามนี้นางไม่กล้าเสียมารยาทสอดปากขึ้นไป ฉีอ๋องยังนั่งอยู่ข้างนอก เขาได้ยินคำพูดของท่านหมอเล่อเทียนก็ยังมิได้กล่าวอันใด นางไหนเลยจะกล้าพูด
มู่จื่อหลิงไม่ได้สงสัยคำพูดของเล่อเทียน ครั้งก่อนเล่อเทียนเคยพูดว่าจะมาแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์กับนาง ตอนนั้นนางยังคิดว่าเป็คำพูดตามมารยาทเท่านั้น จึงมิได้สนใจมาก ไม่คิดว่าเล่อเทียนจะจริงจัง
ทว่าการแต่งกายของเล่อเทียนก็แปลกนัก แล้วเหตุใดเขาจึงอยู่ถึงสามวัน เห็นนางนอนไม่ได้สติ จึงตรวจอาการนางหรือ?
“เหตุใดท่านจึงแต่งกายเช่นนี้เล่า?” มู่จื่อหลิงถามข้อสงสัยในใจออกมา
แล้วจะให้เล่อเทียนพูดอย่างไร ตนเองถูกกุ่ยหยิ่งหิ้วมากลางดึกกลางดื่น มิทันได้สวมเสื้อผ้า ไม่ใช่เื่ดีอันใดเลยสักนิด
“ร่างกายหวางเฟยไม่สบายตรงใดหรือไม่ เหตุใดจึงหมดสติไปนานเช่นนี้” เล่อเทียนยิ้มแย้มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
ยามนี้เขาเพียงอยากรู้ว่าเหตุใดมู่จื่อหลิงจึงหลับไม่ได้สติไปถึงสามวัน
ยามนี้มาถึงคราวของมู่จื่อหลิงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีบ้างแล้ว
นางสามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้ร่างกายนางไม่สบายจริงๆ แล้ว บัดนี้นางทั้งเหนื่อยทั้งหิวทั้งง่วง แล้วนางจะพูดได้อย่างไรว่าที่นางหลับไปนานเพียงนี้ เป็เพราะนางมัวแยกหนอนกู่ในระบบซิงเฉินเพลินจนลืมตัว
“ไม่มีอันใด อาจจะเป็เพราะ่นี้พักผ่อนไม่เพียงพอ จึงหลับไปไม่กี่วันเท่านั้น”มู่จื่อหลิงแย้มยิ้มปลอมๆ กล่าวเฉไฉ
วาจานี้แม้แต่มู่จื่อหลิงเองยังไม่เชื่อ แต่นอกจากพูดอย่างนี้แล้วจะพูดเช่นใดได้อีก
มู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเล่อเทียนไม่เชื่อ ทว่าเห็นนางพูดอย่างลำบากใจ เล่อเทียนจึงได้แต่แย้มยิ้ม ไม่ซักไซ้ต่อ
ยามที่เขาจับชีพจร เขากล้ารับรองได้ว่ามู่จื่อหลิงไม่มีความผิดปกติอันใด อีกทั้งร่างกายยังแข็งแรงดี ส่วนเหตุใดนางถึงหลับใหลไปนานเพียงนั้น เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
“หวางเฟยได้กินรังนกนี้หรือไม่?” เล่อเทียนชี้ไปยังรังนกเ้าปัญหาบนโต๊ะ
สายตามู่จื่อหลิงทอดไปที่โต๊ะ นี่ไม่ใช่รังนกใส่กู่ที่นางนำมาจากในวังหรือ นางเทออกไปหมดแล้ว เล่อเทียนรู้ได้อย่างไรว่านี่คือรังนก
“ไม่ เหตุใดคุณชายเล่อจึงถามเช่นนี้?” มู่จื่อหลิงตอบตามจริง
ได้ยินมู่จื่อหลิงตอบเช่นนี้ เล่อเทียนพลันวางใจลง
“ข้าน้อยว่างไม่มีอันใดทำ จึงเปิดออกดูเล่นๆ พบว่ารังนกนี้ผิดปกติอยู่เล็กน้อย ทว่าดูไม่ออกว่าผิดปกติเช่นใด” เล่อเทียนเองก็เรียนรู้ที่จะหาข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นมู่จื่อหลิง
เขาไม่ได้พูดไปทันทีว่าในรังนกมีกู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็อยากรู้ว่าฉีหวางเฟยจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคือสิ่งใด
แม้นางไม่รู้ว่าฝีมือการรักษาของเล่อเทียนจะสูงเพียงใด แต่นางก็เชื่อว่ากู่ควบคุมใจนี้นอกจากผู้มีประสบการณ์ที่ดูออกแล้ว ต่อให้ผู้อื่นที่มีฝีมือการรักษาสูงส่งก็ดูไม่ออก
แต่ว่ารังนกมีความผิดปกติ การค้นพบของเล่อเทียนทำให้นางนับถือนัก กู่ควบคุมจิตใจด้านในที่เล่อเทียนดูไม่ออก นางไม่แปลกใจเลย
“ข้างในมีบางสิ่งจริงๆ” มู่จื่อหลิงพูดยืนยัน
เล่อเทียนดูออกแล้ว ทั้งยังพูดกับนางได้ นางไม่รู้ว่าเล่อเทียนจะทราบหรือไม่ว่ารังนกนี้เป็ฮองเฮาประทานให้ แต่ว่าเล่อเทียนสามารถพูดกับนางอย่างเปิดเผยได้เช่นนี้ ต้องไม่คิดร้ายกับนางแน่ นางก็ไม่จำเป็ต้องแกล้งโง่งมต่อไปอีก
“หวางเฟยกล่าวเช่นนี้ เพราะรู้แล้วหรือว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคือสิ่งใด?” เล่อเทียนถามอย่างใ
เดิมเขาคิดว่ามู่จื่อหลิงจะถามเขากลับว่าเขาดูออกได้อย่างไรว่ารังนกผิดปกติ ไม่นึกว่านางจะไม่ถาม พูดออกมาอย่างมั่นใจทันทีว่าข้างในมีสิ่งใดอยู่ นางรู้หรือว่าข้างในรังนกมีกู่อยู่
ั์ตาลุ่มลึกของหลงเซี่ยวอวี่ที่นั่งอยู่บนตั่งนุ่มอย่างเงียบเชียบ หรี่ลงน้อยๆ อย่างไตร่ตรอง ที่แท้สตรีผู้นี้รู้ว่าในรังนกมีสิ่งของอยู่ เช่นนั้นเหตุใดนางต้องนำรังนกกลับมาด้วย นอกจากนางจะรู้แล้วนางยังมองสิ่งใดออกอีกใช่หรือไม่?
มู่จื่อหลิงไม่ได้ตอบทันที แต่พูดกับเสี่ยวหาน “เสี่ยวหาน ท้องข้าหิวนัก เ้าไปทำอาหารมาเสียหน่อย”
“เ้าค่ะ” เสี่ยวหานตอบรับพลางขอตัวออกไป นางมิได้คิดสิ่งใด เพราะนายน้อยหลับมาสามวันไม่ได้กินข้าวกินปลา ต้องหิวเป็แน่
หลังเสี่ยวหานจากไป มู่จื่อหลิงจึงพูดอย่างราบเรียบ “เป็หนอนกู่”
เหตุที่มู่จื่อหลิงสั่งให้เสี่ยวหานออกไปเพราะไม่อยากให้นางรับรู้คำพูดต่อไป เสี่ยวหานพบเจอโลกมาน้อยนัก บางเื่นางจึงไม่อยากพูดต่อหน้าเสี่ยวหาน หลีกเลี่ยงไม่ให้เสี่ยวหานกังวลใจ
“หนอนกู่” เล่อเทียนแสร้งเป็ตกอกใ
แม้จะมีลางสังหรณ์ไว้อยู่แล้วว่ามู่จื่อหลิงจะรู้ แต่ได้ยินนางตอบอย่างเรียบเฉยเช่นนี้ ในใจเขาก็ยังคงตกตะลึงอยู่ดี เขาไม่ได้มองผิดจริงๆ หวางเฟยผู้นี้ไม่ง่ายดาย
หากที่มู่จื่อหลิงรู้ว่ารังนกมีหนอนกู่มากพอจะทำให้เล่อเทียนตกตะลึงแล้ว เช่นนั้นคำพูดต่อมาของนางกลับทำให้เล่อเทียนมิอาจเยือกเย็นต่อไปได้ จนเกือบจะเหาะเข้าไปกอดขา [1] นางแล้ว
“ใช่ เป็หนอนกู่ กู่ควบคุมใจที่ยังไม่เปลี่ยนรูปร่าง เป็หนอนกู่ควบคุมจิตใจความคิดมนุษย์” มู่จื่อหลิงกล่าวขึ้นอีกอย่างใจเย็น
ยามที่ควรตกตะลึงนางก็ตกตะลึงไปแล้ว ไม่มีอันใดน่าตกตะลึงอีก
หลงเซี่ยวอวี่ได้ยินวาจาของมู่จื่อหลิงก็ตะลึงน้อยๆ หญิงผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงด้วยๆ ฉลาดยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก ทันใดนั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกสนใจความลับที่ซ่อนอยู่มากมายในตัวมู่จื่อหลิง
เล่อเทียนได้ยินคำพูดนี้ก็เริ่มไม่สงบขึ้นมาทันที กล่าวติดๆ ขัดๆ “กู่...กู่ควบคุมใจ”
ฉีหวางเฟยเป็คนเช่นใดกันแน่ เหตุใดจึงรู้มากมายนัก หวางเฟยมีความรู้ด้านยาพิษ การแพทย์ เขาก็ยังไม่แปลกใจอะไรนัก บัดนี้ยังรู้เื่กู่ แม้แต่เป็กู่พันธุ์ใด หรือรูปร่างกู่ นางก็ล้วนล่วงรู้ทั้งหมด หวางเฟยผู้นี้ทำให้เขายอมแพ้จริงๆ
เล่อเทียนไม่เคยได้ยินกู่ควบคุมใจอะไรนี่มาก่อน แต่ฉีหวางเฟยอธิบายมาเช่นนี้เขาก็เข้าใจได้ ควบคุมความคิดจิตใจของมนุษย์ คงใช้มนุษย์มาเป็หุ่นเชิดไว้ใช้งาน ฮองเฮาผู้นี้้าใช้งานฉีหวางเฟยนี่เอง
ยามนี้เขาก็ยินดีนักที่ฉีหวางเฟยไม่ใช่คนธรรมดา มองแผนการร้ายของฮองเฮาออกได้อย่างง่ายดาย แม้นางจะแข็งแกร่ง นางก็มิได้มีสามเศียรหกกร อยู่เพียงคนเดียวคงมิได้ปลอดภัยเพียงนั้น ยากรับประกันว่าต่อไปจะมีเื่อะไรเกิดขึ้นหรือไม่
เล่อเทียนมองหลงเซี่ยวอวี่อย่างเงียบๆ หลงเซี่ยวอวี่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเยือกเย็น ดูเหมือนไม่ใส่ใจคำพูดของมู่จื่อหลิงอย่างสิ้นเชิง แม้เขาจะมองหลงเซี่ยวอวี่ไม่ออก แต่วาจาของมู่จื่อหลิงต้องมีผลต่อเขาไม่มากก็น้อยเป็แน่
มุมปากของเขายกขึ้นน้อยๆ ฉีหวางเฟยไม่ได้มีสามเศียรหกกร แต่ฉีอ๋องมีนี่นา เขามีมากกว่าสามเศียรหกกรเสียอีก
----------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กอดขา ประจบประแจงหรือเกาะผู้มีเส้นสายประสบการณ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้