บทที่ 32 สนามรบฝานเหรินที่วุ่นวาย
เจียงิ่เดินตามหลังลั่วถู ไม่มีใครสนใจคนธรรมดาสองคนนัก ไม่มีสิ่งใดดึงดูดให้พวกเขาต้องสนใจเป็พิเศษ ส่วนบทสนทนาระหว่างลั่วถูกับซ่งตงก็พูดคุยกันด้วยเสียงแ่เบา คนอื่นๆ ไม่มีใครรู้ว่าเป็เื่อะไร
ม้าเพียงไม่กี่ตัวที่มีเหลือถูกพวกศิษย์าขั้นสองขี่อยู่รับหน้าที่เป็หน่วยสอดแนม และแม่ทัพตงหลี่ถูกหามไว้บนเปลอย่างง่าย อย่างไรเสียเขาก็าเ็สาหัส าเ็ไปจนถึงอวัยวะภายใน ไม่สามารถรับแรงกระแทกบนหลังม้าได้ แต่ว่าเพราะการพยายามเร่งเดินทางให้ได้ไกลที่สุดก่อนฟ้ามืด กลุ่มศิษย์าจะผลัดเปลี่ยนกันวิ่งหามเป็ระยะ ตอนแรกเริ่มเจียงิ่ยังคงเดินตามทัน ทว่าต่อมาก็เริ่มตามจังหวะไม่ทันเสียแล้ว ทว่านางก็เป็เพียงคนธรรมดาที่ยังไม่เปิดิญญา ในด้านความอดทนก็ไม่อาจเทียบลั่วถูได้ มีแต่ต้องกัดฟันวิ่งตามไป สุดท้ายลั่วถูก็ทนดูไม่ไหว ลากนางไปวิ่งอยู่ท้ายขบวนแทน โชคยังดีที่หลังจากฟ้าเริ่มมืด ความเร็วของกองทัพก็เริ่มลดลง อีกทั้งทุกคนก็ท้องร้องแล้วด้วย ดังนั้นจึงตั้งค่ายเตรียมรับประทานอาหาร และพวกลั่วถูก็มาถึงก็ได้ทันเวลาพอดี
แน่นอนว่าด้วยความเร็วของลั่วถูไม่มีทางช้าจนตามไม่ทันอยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากทำตัวดึงดูดสายตาให้มากเกินไปนัก เขาเป็เพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง จะวิ่งตามกองทหารไม่ทันก็เป็เื่ปกติ ถ้าตามทันสิถึงจะแปลก เมื่อรอจนเขามาถึง ฉีหลางและคนอื่นๆ เพิ่งจะล่าหมีป่ากับแกะูเาได้อย่างละตัว นำมาย่างจนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว
ลั่วถูแทรกตัวเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ ใช้มีดสั้นตัดเนื้อออกมาสองก้อนโดยไม่สนใจใคร หลังจากนั้นภายใต้การจับจ้องของทุกคนก็โรยเครื่องเทศกับเกลือลงบนเนื้อที่ได้มา ทวีกลิ่นหอมอบอวลยิ่งขึ้นไปอีก
“เ้าหนุ่มน้อย ทำไมเ้าถึงมีเกลือกับเครื่องเทศได้ รีบเอามาแบ่งกันบ้างสิ... ” เมื่อเฉิงอิงเห็นลั่วถูหยิบเครื่องเทศออกมา มีหรือจะมัวเกรงใจอยู่อีก พวกเขาออกมาทำศึก ข้าวของที่ขนมานอกจากอาหารแห้งกับอาวุธ ก็แทบไม่มีอย่างอื่นแล้ว เื่เครื่องปรุงต้องเป็หน้าที่พ่อครัวถึงจะถูก ดังนั้นต่อให้ย่างเนื้อได้หอมขนาดไหน แต่หากไร้เกลือกับเครื่องเทศ รสชาติก็ด้อยกว่าหลายขุม มีแต่ต้องทนกินๆ ไปเท่านั้นเอง
“สิ่งนี้ ข้าเองก็ไม่พกมาเยอะนัก พวกเ้าเอาไปเลย... ” ลั่วถูกับเจียงิ่มีแค่เนื้อสองชิ้นโตก็พอแล้ว คะเนจากความเร็วของพวกเขา พรุ่งนี้น่าจะกลับไปถึงเมืองม่อหลานได้ ถึงตอนนั้นถ้าอยากได้เครื่องเทศกับเกลือก็ซื้อใหม่ได้อีกเยอะ
คนกลุ่มหนึ่งกินเร็วราวกับพายุพัดผ่าน แม้หมีป่าจะไม่ได้ตัวใหญ่เหมือนพวกหมีั์ แต่ก็หนักเกือบพันจิน มีพละกำลังมหาศาลแต่มีนิสัยเชื่องมาก นับเป็เหยื่อชั้นเลิศทีเดียว ทุกคนพักผ่อนกันเพียงหนึ่งชั่วยามกว่า ในตอนที่แสงจันทร์ส่องสว่างเต็มพื้นที่ ก็เริ่มออกเดินทางสู่เมืองม่อหลานอีกครั้ง าแบนร่างของแม่ทัพตงหลี่ถึงจะถูกปฐมพยาบาลไว้ชั่วคราว แต่ถ้ากลับถึงเมืองม่อหลานยิ่งเร็วเท่าไร ก็ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่านั้น ผลข้างเคียงที่ตามมาก็จะลดน้อยลงไปด้วย
ตลอดการเดินทางลั่วถูได้รู้จากปากของซ่งตงกับฉีหลางว่า่ไม่กี่วันมานี้ได้เกิดศึกใหญ่ระหว่างเผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจและเผ่ามารไม่หยุดไม่หย่อน เผ่ามนุษย์รวบรวมกองทัพจำนวนมากจากแผ่นดินต้นกำเนิดมายังสนามรบฝานเหริน บางทีอาจเป็เพราะเื่ของป้อมมู่สือที่ทำให้เผ่ามนุษย์ไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ ถึงกระทั่งมีบางคนบอกว่าหลังจากป้อมมู่สือถูกตีแตก เผ่ามนุษย์สูญเสียสมบัติสำคัญไปชิ้นหนึ่ง เผ่ามนุษย์ถึงได้เริ่มก่อาครั้งใหญ่ขึ้น ไม่เพียงรวบรวมกองทัพจำนวนมหาศาลเท่านั้น แต่ยังส่งสายลับเข้าไปในเผ่าปีศาจและเผ่ามารเป็จำนวนมากอีกด้วย ถึงขนาดมีการลอบสังหารเกิดขึ้นไม่น้อย บางทีอาจเป็เหตุผลนี้ด้วยที่ทำให้าทวีความดุเดือดยิ่งขึ้น ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ต้องปรากฏตัวในสนามรบฝานเหรินแห่งนี้
สถานการณ์ของาในบางพื้นที่เริ่มเสียการควบคุมแล้ว เผ่าิญญาและเผ่าเร้นลับก็มีาดุเดือดมรฝั่งของตนเช่นกัน กระทั่งเื่ที่ว่าเกิดอะไรขึ้นในสนามรบฝานเหรินแห่งนี้ นักรบมากมายเองก็ไม่เข้าใจสาเหตุเสียด้วยซ้ำ รู้แต่เพียงหน้าที่ของเหล่านักรบคือการทำตามคำสั่ง พวกเขาต้องทำผลงานในสนามรบ เพื่อนำไปแลกคะแนนให้พอ ต่อให้ยังไม่ถึงระดับปรมาจารย์ ก็อาจเข้าโลกชั้นสูงก่อนได้ ตำนานกล่าวไว้ว่าที่โลกแห่งนั้นเต็มไปด้วยพลังิญญา ต่อให้เป็เพียงหมูตัวหนึ่งก็สามารถยกระดับพลังได้ ดังนั้นหากเข้าไปสู่โลกชั้นสูงได้ เช่นนั้นการทะลวงสู่ระดับปรมาจารย์ก็ไม่ใช่เื่ยากอีกต่อไป
ในความเป็จริงครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงาระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ แต่ระหว่างเผ่าอสูรและเผ่าผีก็มีการทำาขึ้นเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียทรัพยากรไปมหาศาลเพียงเพื่อสมบัติชิ้นหนึ่งเท่านั้น จนทั้งสองกองทัพเกือบต้องล่มสลายเสียด้วยซ้ำ และในท้ายที่สุดสมบัติชิ้นนั้นก็ถูกเผ่าอสูรชิงไปได้ และรีบออกจากสนามรบฝานเหรินไปทันที ทำให้เผ่าผีถึงขนาดส่งผู้แข็งแกร่งไปยังที่อยู่ของเผ่าอสูรในแผ่นดินต้นกำเนิด าครั้งนี้ได้ขยายออกนอกสนามรบฝานเหรินแล้ว
แน่นอนว่าสมบัติพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับลั่วถู แต่ได้ยินเื่ที่ผู้คนสนทนากัน ก็ทำให้ในใจของเขาเพิ่มความระมัดระวังตัวขึ้น เขาเองก็ได้รับแหวนที่มีมิติขนาดั์มา ของเหล่านี้คุ้มค่าพอให้สองกองทัพต่อสู้แย่งกันสุดชีวิตแน่ เกรงว่า่นี้าระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจคงเกี่ยวกับของชิ้นนี้ ส่วนเื่ที่ว่ายังมีสมบัติชิ้นอื่นอีกหรือไม่ เขาก็ไม่แน่ใจนัก และเขาไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ความลับที่ว่าด้วย
สนามรบฝานเหรินในครั้งนี้ไม่ใช่แค่สัตว์อสูรที่มีจำนวนมากขึ้น แต่สมบัติมากมายก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน แถมสมบัติเหล่านี้ยังดูราวกับว่ามาจากโบราณสถานหรือไม่ก็จากซากศิลาเสียด้วย สถานที่แห่งนั้นมีความลับซ่อนอยู่มากมาย หลังจากป่าแห่งศิลาถูกพวกมหาอำนาจกวาดล้าง ที่แห่งนั้นก็กลายเป็สถานที่ต้องห้ามของผู้แข็งแกร่ง โลกซิงเหินได้บัญญัติกฎสูงสุดขึ้นว่าเหล่ามหาอำนาจที่ออกจากแผ่นดินต้นกำเนิดไปแล้ว และคิดจะกลับเข้าสู่แผ่นดินต้นกำเนิดมีกฎข้อห้ามอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็คือผู้มีระดับปรมาจารย์ขึ้นไปไม่สามารถกลับมาในแผ่นดินต้นกำเนิดได้ตามใจชอบ
ส่วนการเลื่อนระดับในแผ่นดินต้นกำเนิดก็ทำได้ตามอัธยาศัย ตอนที่ป่าแห่งศิลาถูกทำลายลงก็ส่งผลให้พลังิญญาของแผ่นดินผืนนี้ได้แผ่กระจายออกไปอย่างฉับพลัน ผู้ที่มีระดับสูงสามารถดูดกลืนพลังิญญาได้อย่างรวดเร็วและครั้งนี้พวกเขาก็ดูดกลืนพลังเร็วจนเกินไป ดังนั้นกฎระดับสูงสุดจึงเริ่มปกป้องสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์บนแผ่นดินบรรพบุรุษทันที ถึงขนาดกำหนดวันเวลาปล่อยสัตว์อสูรเข้าสู่แผ่นดินบรรพบุรุษเสียด้วยซ้ำ ถึงจะพอให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีแก่นอสูรและแก่นิญญาได้ เพื่อรักษาสมดุลและหล่อเลี้ยงแผ่นดินผืนนี้สืบต่อไป
แต่ว่าในปีนั้นถึงป่าศิลาเกือบจะถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว แต่ศิลาทุกก้อนล้วนมีเื่ราวและความลับของตัวเอง แม้ก่อนสิ้นชีพเหล่าผู้แข็งแกร่งจะสลักสิ่งที่พวกเขาได้รู้แจ้งมาตลอดชั่วชีวิตของพวกเขาลงบนศิลา ทว่าภูมิปัญญาที่พวกเขาสั่งสมมาทั้งชีวิต กลับกลายเป็เพียงปริศนาที่สาบสูญ
มีคนกล่าวว่า ที่ใจกลางของความว่างเปล่าในป่าศิลาแห่งนั้น แบ่งออกเป็ช่องว่างขนาดย่อมมากมาย หากเป็โลกที่ในช่องว่างเ่าั้ยังคงอัดแน่นไปด้วยพลังิญญาแห่งฟ้าดิน พวกมันคงถูกผู้คนพบเข้าอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่หลังจากพลังิญญาแห่งฟ้าดินลดลง ช่องว่างเหล่านี้ก็ปิดผนึกตัวมันเอง และแยกตัวออกจากมิติเวลาโดยสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นคงถูกพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้สูบเอาพลังิญญาอันน้อยนิดจากมิติเหล่านี้ไม่หยุด ท้ายที่สุดมิติเหล่านี้ก็จะจบลงด้วยการถูกทำลาย
หลังจากเร่งเดินทางมาทั้งคืน ในเช้าวันรุ่งขึ้นทหารที่เหนื่อยล้ากลุ่มหนึ่งก็มองเห็นถนนซีเสินกู่อยู่ลิบๆ แล้ว ทุกคนพากันโล่งอกขึ้นมาทันที
เมื่อผ่านถนนซีเสินกู่ไปก็เป็นอกเมืองม่อหลานแล้ว และพวกเขาก็จะปลอดภัยสักที
“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว... ” ซ่งตงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาออกรบอย่างโชคร้าย สุดท้ายก็พ่ายแพ้กลับมา ถึงเื่นี้จะมีเหตุผล ทว่าเื่ที่พวกเขากลายเป็ทหารพ่ายก็เป็เื่จริงอยู่ดี
และไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่มีชีวิตรอดกลับมาได้ นักรบทั้งหนึ่งหมื่นนายของพวกเขา แทบจะแตกกระเจิงทั้งหมด ทุกคนหนีไปตามทางของตน เป็ไปได้ว่าคนพวกนั้นคงเลือกกลับไปเป็คนธรรมดาและกลับมาในเมืองอย่างเงียบงัน และบางพวกอาจเลือกออกจากสนามรบฝานเหรินอย่างถาวร
“รอจนถึงเมืองม่อหลานก่อนเถอะเ้าค่อยดีใจ...” ลั่วถูถอนหายใจยาว ถ้าเป็เขาคนเดียว เดิมทีก็ไม่มีปัญหาแน่นอน เขาอาจกลับมาถึงเร็วกว่าคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ พลังของภาพเต่าลึกลับแบกหินที่โดดเด่นที่สุดคือความอดทน แต่เขากลับต้องลากเจียงิ่ไปด้วยเพื่อไม่ให้นางพลัดหลง โดยเฉพาะตอนกลางดึก เจียงิ่รีบเดินทางมาตลอดจนขาทั้งสองข้างขยับไม่ได้แล้ว... ทำได้เพียงปล่อยให้ลั่วถูทั้งลากทั้งพยุงตามหลังกลุ่มแทน ทำให้เขาเหนื่อยสายตัวแทบขาดจริงๆ
“ถนนซีเสินกู่ยาวแค่ไม่กี่สิบลี้ อีกสองสามชั่วยามก็จะถึงเมืองแล้ว ทันอาหารกลางวันพอดีเลย!” ซ่งตงอารมณ์ดีมาก เขายังมีชีวิตอยู่ แถมยังได้หูของเผ่ามารกลับมาแลกคะแนนอีกนิดหน่อยด้วย นับว่าเป็ผลงานสู้รบที่ไม่เลวทีเดียว สำหรับทหารใหม่ที่เข้าสนามรบเป็ครั้งแรก ต่อให้กองทัพจะพ่ายแพ้ แต่อย่างไรเสียเขาก็มีผลงานการคุ้มกัน พอจะนับว่าได้กำไรอยู่บ้าง ยิ่งกว่านั้นยังได้ใกล้ชิดกับทหารส่วนตัวของแม่ทัพตงหลื่อีกต่างหาก อย่างน้อยการอยู่ในกองทัพหลังจากนี้ก็มีอะไรให้อวดได้บ้าง
“ไปเถอะ กลับเมืองแล้วพวกเราก็ไปพักผ่อนกัน... ” องครักษ์ส่วนตัวผิวคล้ำกล่าวเสียงต่ำ จากนั้นรีบก้าวไปทางถนนซีเสินกู่ทันที
“พี่เหวิน ช้าก่อน... ”ในเวลานี้ลั่วถูกลับรีบเร่งฝีเท้าวิ่งไล่ตามองครักษ์ผิวคล้ำ และยืนขวางขบวนไว้
“สหายน้อย มีอะไรหรือ?” บนหน้าของหลิวฉงเหวินปรากฏสีหน้าไม่พอใจเพียงชั่วครู่ แต่อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็ช่วยชีวิตทุกคนและท่านแม่ทัพเอาไว้ เขาจึงถามกลับไปด้วยความเกรงใจ
“พี่เหวิน เื่นี้ไม่ปกติ พวกเราจะไปที่ถนนซีเสินกู่ตอนนี้ไม่ได้!” ลั่วถูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อืม... ” สายตาของหลิงฉงเหวินพลันเฉียบคมขึ้น เดิมทีพอคิดว่าจะได้กลับไปเมืองม่อหลานแล้ว เขาก็สบายใจขึ้นมาก จนไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเท่าไรนัก แต่เมื่อคำพูดของลั่วถูถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของเขาเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาจนได้ ราวกับฉุกใจนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงหันหน้าไปถามว่า “เฉิงอิง พวกหลิวหยวนออกไปนานเท่าไรแล้ว?”
“พวกเขาขี่ม้าเร็วไป จากความเร็วของพวกเขา ตอนนี้น่าจะตรวจถนนซีเสินกู่เสร็จ เกรงว่าคงเข้าเมืองไปแล้ว... ” พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเฉิงอิงก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“พวกเขาเป็หน่วยสอดแนม ไม่ใช่แค่ต้องกลับเมืองไปเชิญคนมารับ แต่ต้องกลับมารายงานพวกเราว่าบนถนนซีเสินกู่ปลอดภัยหรือไม่ หลิวหยวนออกไปกันถึงสี่คน ถ้าหลิวหยวนไปถึงเมืองม่อหลานแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็ควรให้สหายอีกสองคนมารอพวกเราที่ทางเข้าถนนซีเสินกู่ และรายงานพวกเราว่าที่นั่นปลอดภัยได้แล้ว!” ลั่วถูเอ่ยความคิดของตนออกไปอย่างเรียบเฉย
ชั่วขณะนั้นเองทุกคนกลับเงียบกริบ สีหน้าถมึงทึงขึ้นทันที หน่วยสอดแนมของกองทัพไม่มีทางไม่เข้าใจในสิ่งที่แม้แต่คนขนศพคนหนึ่งยังเข้าใจแน่นอน เป็เพราะเมื่อครู่ทุกคนมัวแต่ดีใจกันอยู่จึงมองข้ามปัญหานี้ไป แต่ตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกถึงความร้ายแรงของปัญหานี้เข้าแล้ว
“ถนนซีเสินกู่เกิดเื่แล้ว!” จิตสังหารอันเยือกเย็นกะพริบวาบในดวงตาของหลิวฉงเหวินทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้