“ไอ้เพี้ยน หลงทางหรือไง มา เดี๋ยวข้าดูเอง”
หลินฟู่อินได้ยินเสียงนั้นแล้วจึงเปิดตาขึ้นทันที
“โอ้ โอ้… แม่นางหลินฟื้นแล้ว!” ชายที่โดนด่าว่าไอ้เพี้ยนส่งเสียงร้องดังขึ้นด้ายความยินดี
หลินฟู่อินััได้ถึงความกังวลถึงผู้เป็นายในน้ำเสียงของเขา หากนี่เป็เื่คอขาดบาดตายจริงๆ นางในฐานะแพทย์ก็มีหน้าที่ต้องลุกขึ้นมาตรวจ
นางรู้แล้วว่าคนกลุ่มนี้คงไม่ปฏิบัติต่อนางแย่นัก หากพวกเขา้าจะช่วยคน ในตอนที่นางลืมตาขึ้นมา นางก็ได้เห็นบุรุษมีหนวดที่ดวงตากำลังบวมแดง
เมื่อเขาเห็นว่านางลืมตาขึ้นมาแล้ว เขาก็ตาเบิกกว้างแล้วลุกขึ้น ท่าทางลิงโลดราวกับเด็กเล็ก
หลินฟู่อินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ตอนนี้นางต้องทำทีเป็สับสน เพราะหมดสติจนถึงเมื่อครู่ไปก่อน
ชายที่เป็คนส่งเสียงด่ารีบรุดมาในทันทีที่ได้ยิน และตอนที่นางได้เห็นหน้าเขา ฉับพลันร่างกายก็สั่นสะท้านขึ้นมา
ชายคนนี้คือลูกน้องของผู้ชายคนที่จับนางมัด แล้วลักพาตัวนางไปในวันนั้นไม่ใช่หรือ?
“แม่นางหลิน ขออภัยในความหยาบคาย! ข้าตวนมู่เฉิงและนี่เ้าหก น้องชายของข้า!”
ตวนมู่เฉิง? แซ่ผสมหรือ?
ในตอนที่ฉู่ซื่อยังมีชีวิตอยู่ นางเคยบอกเ้าของร่างนี้เกี่ยวกับเื่แซ่ผสม บอกว่าขุนนางส่วนใหญ่ในแคว้นเป่ยหรงนั้นมีแซ่ผสม…
แต่คำถามนี้ก็ผุดขึ้นมาแค่ครู่เดียว เพราะตวนมู่เฉิงที่อยู่ตรงหน้านางแผ่กระจายจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นเส้นเืที่ปูดโปนบนหน้าผาก ทั้งสองแขนที่คำนับให้นางดูแข็งแรง เช่นนั้นแล้วจะยังเหลืออะไรให้สงสัยอีก?
ชายผู้นี้คือยอดวรยุทธ์!
คิดได้ดังนี้แล้ว นางจึงลุกขึ้นจากเตียงไม้ที่นอนอยู่ แล้วคำนับให้ตวนมู่เฉิง “ปรมาจารย์ตวนมู่ ไม่ต้องสุภาพมากก็ได้เ้าค่ะ นี่ก็เป็การพบกันครั้งที่สองแล้ว ไม่ทราบว่าครั้งนี้มีปัญหาอันใดหรือ?”
ตวนมู่เฉิงเห็นนางลุกขึ้นอย่างเลื่อนลอย แล้วทักทายเขาอย่างสงบนิ่งเช่นนี้ ก็รู้สึกราวได้ยกูเาออกจากอก
แต่เมื่อฟังคำพูดของนางแล้วก็นับว่าน่าทึ่ง เมื่อครู่แม่นางผู้นี้จัดการข้อมูลต่างๆ ในหัว แล้วถามคำถามออกมาได้เหมาะสมกับสถานการณ์ การทำเช่นนี้ไม่ใช่เื่ง่าย
ไม่แปลกใจเลยที่นายท่านจะเรียกหานาง ก่อนจะหมดสติไป…
“ครั้งนี้เป็นายท่านของข้า เขาได้รับาเ็สาหัส ทั้งยังถูกพิษ…”
“นำทางข้าไปเลย แล้วว่ารายละเอียดมาระหว่างเดิน” หลินฟู่อินเอ่ยขัด สีหน้าฉายความจริงจังขึ้นมาทันที
ตวนมู่เฉิงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงไม่คิดดูแคลนนางอีก นำนางไปยังห้องข้างๆ พลางเล่ารายละเอียดาแของนายท่านไปด้วย
หลินฟู่อินยังถามถึงระยะเวลานับั้แ่ตอนที่ได้แผล ทั้งเวลาที่โดนพิษ และเื่ที่ว่าได้ทำการรับมือไปอย่างไรแล้วบ้าง
แม้ตวนมู่เฉิงจะประหลาดใจ แต่เขาก็ตอบนางไปทีละข้อ ทีละข้อ
หลินฟู่อินเข้าใจในที่สุด
น่องขาข้างขวาของชายผู้นี้มีรอยถูกฟัน และดาบที่ใช้ฟันนั้นมีพิษเคลือบไว้
ไม่รู้ว่าเป็พิษชนิดใด แต่พวกเขาเตรียมการกันไว้อย่างดี จึงดูพิษบนดาบ แล้วให้เขาดื่มยาแก้พิษที่เตรียมไว้ั้แ่แรกทันที
แต่เพราะที่ปากแผลยังมีพิษตกค้าง เืจึงไหลไม่หยุด ยังดีที่ผูกผ้าไว้เหนือ้าของแผลแล้ว ทำให้แม้เืจะไหลไม่หยุด แต่ก็ไม่เป็อันตรายถึงชีวิต
แต่นางไม่ถนัดเื่พิษ
หลินฟู่อินขมวดคิ้ว ตวนมู่เฉิงพลันหน้าซีดลง
หลังจากมองสำรวจแผลอยู่พักหนึ่ง นางจึงเงยหน้าขึ้นมองชายผู้นั้น
เป็คนที่มาลักพาตัวนางเมื่อคราวก่อนตามที่คิดไว้
ชอบลักพาตัวคนเสียจริงนะ ติดเป็นิสัยแล้วหรืออย่างไร
“แม่นางหลิน ท่านผู้นี้คือนายท่านของข้าเอง ครั้งก่อนก็คงได้พบกันแล้ว…”
นี่มันบ้าบอมากเลยไม่ใช่หรือ?
หลินฟู่อินมองโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เขาเอนร่างอยู่บนเตียงไม้ชั่วคราวที่ใช้ใบไม้ปูแทนเสื่อ ถุงใต้ตาสีออกน้ำเงินดำ หน้าตาซีดเซียวแบบคนขาดเื ริมฝีปากมีรอยแดงปนกับสีน้ำเงินซีด
หลินฟู่อินรู้ว่าสภาพเช่นนี้เป็ผลจากพิษและอาการขาดเื
แต่เหตุใดเขาถึงได้รับพิษกัน?
“ปรมาจารย์ตวนมู่ รู้ประเภทพิษที่นายท่านของท่านได้รับหรือไม่?” หลินฟู่อินขมวดคิ้ว หันมองตวนมู่เฉิง
การเสียเืไม่ใช่เื่ใหญ่ เพราะคนในกลุ่มลงมือรักษาเบื้องต้นได้ทันท่วงที
ปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือยาแก้พิษ
แม้จะทานยาแก้พิษไปแล้ว แต่กลับยังมีอาการของการโดนพิษอยู่ แปลว่ายาที่ทานไปมันแก้พิษไม่ได้ ได้แค่บรรเทาอาการ
“พวกข้าเองก็ไม่รู้ว่าบนดาบนั่นมันเป็พิษประเภทไหน แต่หลังจากที่นายท่านถูกโจมตีแล้ว พวกข้าก็พยายามเต็มที่เพื่อพานายท่านกลับมา แต่ไม่มีใครเก็บดาบเล่มนั้นมาเลย!” ตวนมู่เฉิงฟังคำถามของหลินฟู่อิน ตอบกลับด้วยใบหน้าหม่นหมอง พลางทุบกำปั้นกับเสาไม้ข้างเตียง
เมื่อฟาดหมัดนั้นไปแล้ว บ้านทั้งหลังพลันสั่นะเื
“ใจเย็นๆ ก่อน ข้าจะลองหาทางดู” หลินฟู่อินเลิกเรียวคิ้วขึ้น
แม้ในใจจะผิดหวัง แต่นางก็ยังเลือกปลอบโยนเขา
นางเดินไปนั่งตรงขอบเตียง แล้วจึงตรวจชีพจร ก่อนจะดูเปลือกตาต่อ
นางพบอาการที่แปลกประหลาด กล้ามเนื้อของชายผู้นี้มีอาการอ่อนล้า โดยเฉพาะตรงบริเวณลูกตา
“ปรมาจารย์ตวนมู่ นายท่านของท่านได้บอกอาการที่เขาไม่มีในตอนปกติ ก่อนจะถูกพิษบ้างหรือไม่?” หลินฟู่อินถามขึ้นกะทันหัน
ตวนมู่เฉิงนิ่งไป เ้านายของพวกเขาบอกให้ไปตามเด็กคนนี้มารักษา แต่นี่นางกลับเอาแต่ถามโดยไม่ลงมือรักษาเลยไม่ใช่หรือ?
“แม่นางหลิน… นายท่านเป็อันตรายหรือไม่?” เขาถามด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อใจนาง หลินฟู่อินจึงมองเขาอย่างเ็า “ปรมาจารย์ตวนมู่ หากอยากช่วยนายท่านของท่าน ก็ให้ความร่วมมือแล้วตอบในสิ่งที่ข้าถามมาเสีย! ถ้าไม่ได้อยากช่วยคนแล้วจะลักพาตัวข้ามาทำไมกัน?”
ตวนมู่เฉิงตะลึงไป สายตาพลันคมปลาบขึ้น
“รีบๆ พูดมา ข้าน่ะรอได้ แต่เ้านายของพวกท่านน่ะรอไม่ได้หรอกนะ”
หลินฟู่อินมีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่ยังไม่มั่นใจเต็มร้อย
ตวนมู่เฉิงถูกนางกดดัน จึงคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วกล่าว “นายท่านของพวกข้า เขา… บอกไว้ก่อนหมดสติไป ว่าเขาเห็นคนมากมาย แต่ตอนนั้นเรามีกันเพียงไม่กี่คน มีเพียงข้า น้องหก และพี่น้องอีกสี่คน ข้าแบกนายท่านวิ่ง ด้านหน้ามีสี่พี่น้องคอยเปิดทาง น้องหกระวังด้านหลัง…”
สายตาของหลินฟู่อินเฉียบคมขึ้นมา มีแค่สี่คน แต่เห็นหลายคน นี่เป็อาการเห็นภาพซ้อน
“ไปหาเืแกะสุขภาพดีมา! ยิ่งเยอะยิ่งดี เอาใส่ถังมา!” หลินฟู่อินกล่าวกับตวนมู่เฉิง
“เืสดจากแกะสุขภาพดีหรือ?”
“เตรียมพร้อมสำหรับการล้างพิษไว้ด้วย!” หลินฟู่อินกล่าวอย่างดุดัน
ตวนมู่เฉิงพยักหน้ารับรวดเร็ว “น้องหก นำพี่น้องสองคนไปหาแกะมา เอาแกะที่สุขภาพดี ได้มาแล้วให้เอาไปรีดเืซะ ยิ่งเยอะยิ่งดี!”
“รับทราบ เื่ไม่ยาก ไม่นานพวกเราจะกลับมา”
ได้ยินคำกล่าวของเหล่าลิ่ว [1] แล้ว หลินฟู่อินก็สบายใจขึ้น นางเดาว่าคนพวกนี้คงเป็ชาวเป่ยหรง หากเป็เช่นนั้นการหาเืแกะสดก็คงไม่ใช่เื่ยาก
—--------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เหล่าลิ่ว (老六) หมายถึง เหล่า (老) ในที่นี้ คือการใช้เพื่อแสดงความสนิทสนม หรือใช้เพื่อแสดงลำดับในครอบครัว ลิ่ว (六) แปลว่า หก เหล่าลิ่วจึงหมายความว่า เ้าหก น้องหก หรือพี่หกก็ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้