ทวีปหลิงเทียน ผู้มีวิทยายุทธ์คือผู้ที่ได้รับการยกย่องและความเคารพนับถือ ผู้แข็งแกร่งสูงเทียมเมฆ เชิดหน้ามองทุกสรรพสิ่ง ทว่าผู้อ่อนแอต้องเอาตัวรอดไปวัน ๆ อย่างเลือกไม่ได้!
ิญญาาคือความสามารถอย่างหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ พวกเขาสามารถต่อสู้ผ่านิญญาา เพื่อให้ได้พลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้น
ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนนั้นมีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อประตูิญญาเปิดออก ิญญาาที่ปลุกขึ้นมาจึงไม่เหมือนกัน
ลักษณะที่ปรากฏมีมากมาย เช่น มีด ดาบ เสือ ัคราม และต้าเผิงเป็ต้น
ิญญาาแบ่งออกเป็ 7 ขั้น ได้แก่ แดง ส้ม เหลือง เขียว คราม ฟ้า และม่วง
นับจากิญญาาขั้นแดงขึ้นไป ความแข็งแกร่งจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับขั้น
……
ตระกูลหนานกงแห่งเมืองโยวโจว ณ อาณาจักรจ้าว
บนแท่นบูชามีคนหนุ่มสาวนั่งฌานอยู่หลายคน และยังมีอักขระที่แปลกประหลาดส่องแสงระยิบระยับบนร่างกาย
ข้างกายของคนหนุ่มสาวจะมีผู้คุ้มกันส่วนตัว ซึ่งล้วนแต่เป็คนรุ่นเยาว์ที่มีอายุราว ๆ 15 – 16 ปี
“ประตูิญญา จงเปิด!”
ขณะนั้นมีผู้าุโคนหนึ่งของตระกูลหนานกงแผดเสียงะโอยู่ที่ด้านล่างแท่นบูชา พร้อมกับที่ฝ่ามือปลดปล่อยพลังออกไป ก่อนจะไปเยือนที่เหนือแท่นบูชา
“ครืน วูบ!”
มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้น พลันเมฆเจินหยวนบนท้องฟ้าเคลื่อนไหว ก่อนจะมีลำแสงหลายสายพุ่งลงมาเข้าปกคลุมคนหนุ่มสาวที่อยู่บนแท่นบูชา
“ตั้งจิตให้มั่น ััพลังนั่น ประตูิญญาอยู่ตรงหน้าแล้ว!” ผู้าุโคนนั้นกล่าว
ที่นี่คือที่ตระกูลหนานกงจัดขึ้นเพื่อคนรุ่นเยาว์ที่ใช้ในการเปิดประตูิญญาเป็การพิเศษ และยังเพิ่มอัตราความสำเร็จในการเปิดประตูิญญา
การที่จะมีแท่นบูชาสุดอลังการได้นั้น มีเพียงตระกูลใหญ่ ๆ อย่างตระกูลหนานกงที่จะสร้างมันขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตามการเปิดแท่นบูชาเป็การผลาญทรัพยากรมากโข ดังนั้นมีเพียงสายเืโดยตรงหรือผู้มีพร์โดดเด่นเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ยืมแท่นบูชาเพื่อเปิดประตูิญญาได้
ส่วนคนรุ่นเยาว์เ่าั้ที่ทำหน้าที่คุ้มกัน บางทีทั้งชีวิตอาจหาโอกาสที่ดีเช่นนี้ไม่ได้
หนานกงหลิงซวงคือบุตรสาวคนโตของผู้นำตระกูลหนานกง ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมงดงาม แต่ยังมีพร์ที่โดดเด่น ทั้งยังเป็ความหวังของตระกูลหนานกงที่จะได้เป็ใหญ่ในเมืองโยวโจว
ขณะนั้นเรือนร่างอันเย้ายวนของหนานกงหลิงซวงถูกแสงจ้าเข้าปกคลุม พร้อมกับมีสัญญาณในการเปิดประตูิญญาระดับสูงปรากฏ
ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ หนานกงหลิงซวงก็ช่วยสนับสนุนนางอย่างขยันขันแข็ง
ชายหนุ่มคนนี้มีชื่อว่าเย่เฟิง เป็ลูกหลานของนักรบผู้กล้าหาญของราชวงศ์ปัจจุบัน แต่เนื่องจากตระกูลล่มสลาย เย่เฟิงจึงถูกปู่สามแห่งตระกูลหนานกงรับเลี้ยงั้แ่ยังเป็เด็ก
แต่ปู่สามแห่งตระกูลหนานกงเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนจากโรคร้ายแรง เย่เฟิงจึงต้องอยู่ตัวคนเดียวและใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก บางครั้งก็ถูกคนบางคนในตระกูลหนานกงผลักไสและกลั่นแกล้ง
เมื่อหลายสิบปีก่อน ตระกูลเย่และตระกูลหนานกง้าให้เย่เฟิงกับหนานกงหลิงซวงหมั้นหมายกัน
ทว่าตอนนี้เย่เฟิงกลับกลายเป็ผู้คุ้มกันของหนานกงหลิงซวง ถึงแม้ทั้งสองจะเข้ากันได้ดี รู้จักกันมาั้แ่เด็ก แต่เย่เฟิงรู้สึกว่าการหมั้นหมายนี้มันห่างออกจากเขาไปเรื่อย ๆ ขึ้นทุกที
“หลิงซวง ได้เวลาแล้ว! ข้าจะช่วยเ้าเปิดประตูิญญา”
เย่เฟิงบอกกล่าว ถึงแม้เขาไม่เคยเปิดประตูิญญา แต่กลับมีความเห็นในการเปิดประตูิญญาที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร อาจกล่าวได้ว่าการที่หนานกงหลิงซวงมีความรู้สึกไวต่อประตูิญญาก็คงไม่พ้นจากการสนับสนุนของเขา
“อืม”
หนานกงหลิงซวงพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่ตามร่างกายของนางเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ นางก็ยิ้มให้เย่เฟิงอย่างยากเข็ญ ก่อนนางจะหลับตาลง
พลันแสงห้าสีถูกปลดปล่อยออกจากฝ่ามือ แล้วเริงระบำที่กลางอากาศ ราวกับอาศัยพลังแห่งฟ้าดิน
“คุณหนูหลิงซวงสมแล้วที่เป็อัจฉริยะผู้โดดเด่นที่สุดในตระกูลหนานกงข้า ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ก็จะเปิดประตูิญญาได้แล้ว! หากข้าได้รับความโปรดปรานจากคุณหนูหลิงซวงก็คงจะดี!”
ที่ด้านล่างแท่นบูชา มีชายหนุ่มคนหนึ่งคอยมองหนานกงหลิงซวงด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
“ฝันไปเถอะ! คุณหนูหลิงซวงหมั้นหมายกับเย่เฟิงแล้ว” มีอีกคนเอ่ยขึ้น
“หึ!”
ได้ยินคนคนหนึ่งแค่นเสียงเ็า “เย่เฟิง? คนไร้ค่า นอกจากความคิดเห็นไร้สาระของเขา ยังมีอะไรอีก? แล้วมีสิทธิ์อะไรมาคู่ควรกับลูกพี่ลูกน้องข้า?”
คนที่พูดคือเซียวเจี๋ย คนนี้เป็บุตรชายของอาหญิงหนานกงหลิงซวง ยามปกติเขามักจะมาเล่นที่ตระกูลหนานกง อาศัยสถานะหลานชายของตระกูลหนานกงบงการผู้อื่น และเพราะอิจฉาเย่เฟิงที่ได้หมั้นกับหนานกงหลิงซวง เขาจึงชอบก่อกวนเย่เฟิงเป็ประจำ
“ถูกต้อง! คุณหนูหลิงซวงแสนดีเช่นนี้จะไปคบกับคนไร้ค่านั่นได้เยี่ยงไร?”
พอได้ยินเซียวเจี๋ยเอ่ยเช่นนั้น คนไม่น้อยก็ต่างพากันซุบซิบนินทาและเห็นด้วยกับเซียวเจี๋ย ไม่เห็นดีเห็นงามกับการหมั้นของหนานกงหลิงซวงกับเย่เฟิง
อย่างไรก็ตามเย่เฟิงได้ยินทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าก็ดูไม่ได้แยแสในเื่นี้
เซียวเจี๋ยก็เป็แค่ลูกผู้ดีมีเงินคนหนึ่งเท่านั้น ใน่เวลาสำคัญเช่นนี้ เย่เฟิงจะไปถกเถียงกับเซียวเจี๋ยทำไมเล่า
ดูเหมือนว่าจะชินกับคำพูดเหน็บแนมของเหล่าคนในตระกูลหนานกงแล้ว และเขาก็ไม่เคยร้องขอตระกูลหนานกงเื่หมั้นหมาย
เขาแค่อยากทำให้ดี เปิดประตูิญญา กลายเป็ผู้แข็งแกร่งและฟื้นฟูตระกูลเย่
“ปัง!”
ขณะนั้นหมู่เมฆเจินหยวนบนท้องฟ้าเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จากนั้นมีสายฟ้าสีม่วงที่อัดแน่นไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงผ่าลงมาที่ร่างหนานกงหลิงซวง
หนานกงหลิงซวงถึงกับส่งเสียงโอดครวญ ตัวสั่นเทาไม่หยุด ใบหน้าขาวซีดเผยความเ็ปขมขื่น
สายฟ้านั่นจู่โจมหนานกงหลิงซวงอย่างต่อเนื่อง มันแทรกซึมยันกระดูกดำ หากเป็คนธรรมดาคงตายไปนานแล้ว
ฉากนี้ทำให้คนของตระกูลหนานกงที่อยู่ด้านล่างต้องหน้าถอดสี
“ท่านผู้นำ การเปิดประตูิญญาระดับสูงมีอัตราที่ต้องเจอกับด่านเคราะห์อัสนีสองสามส่วน ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ที่คุณหนูประสบอยู่ในตอนนี้ หากไม่รีบช่วย คุณหนูจะถูกด่านเคราะห์อัสนีทำลายเส้นลมปราณ แล้วกลายเป็คนไร้ความสามารถ!”
ผู้าุโที่เป็ผู้ดำเนินการกล่าวกับผู้นำตระกูลหนานกงที่มีชื่อว่าหนานกงเฉินอย่างร้อนใจ
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ผู้คนต่างตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเื่นี้
สีหน้าของหนานกงเฉินดูเคร่งขรึม ก่อนกล่าวถามว่า “แล้วจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร?”
ผู้าุโคนนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนกล่าวว่า “จำต้องใช้ผู้มีชีพจริญญาที่เข้ากันกับคุณหนู เพื่อถ่ายทอดหลิงหยวนดั้งเดิมให้คุณหนู จึงจะขับไล่อัสนีออกไปได้”
หนานกงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นกล่าวกับคนผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายว่า “ในตระกูลมีใครที่มีชีพจริญญาเข้ากันกับหลิงซวงบ้าง?”
คนนั้นคล้ายเข้าใจคำถามของหนานกงเฉิน จากนั้นเอ่ยคำสองคำอย่างไม่ลังเลว่า “เย่เฟิง!”
กล่าวจบ หนานกงเฉินหันไปมองเย่เฟิงทันที
“เย่เฟิง หลิงซวงประสบด่านเคราะห์อัสนี วิกฤตอยู่เพียง่เวลาสั้น ๆ จำต้องใช้หลิงหยวนดั้งเดิมของเ้าช่วยนางให้รอดพ้น เ้ายินดีหรือไม่?”
หนานกงเฉินคล้ายร้องขอเย่เฟิง แต่เย่เฟิงยังไม่ทันตอบ หนานกงเฉินก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ไม่ต้องห่วง ตระกูลหนานกงข้าจะปฏิบัติต่อเ้าอย่างยุติธรรม เมื่อใดที่หลิงซวงรอดพ้น เื่การหมั้นของพวกเ้าจะดำเนินต่อไป”
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ หลิงหยวนดั้งเดิมนั้นมีค่าประดุจชีวิตสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อสูญเสียหลิงหยวนดั้งเดิม นั่นหมายความว่าชั่วชีวิตจะมิอาจเปิดประตูิญญาและรวมิญญาาได้
“ท่านพ่อเคยบอกว่า ข้าไม่ใช่คนธรรมดา ข้าสามารถรวมหลิงหยวนดั้งเดิมได้สองครั้ง”
เย่เฟิงขบคิดในใจ สำหรับเย่เฟิงแล้วเื่การหมั้นมันไม่สำคัญ เขาเพียงไม่อยากเห็นหนานกงหลิงซวงประสบกับความทุกข์ทนของด่านเคราะห์อัสนี
พลันแววตาของเย่เฟิงดูแน่วแน่ จากนั้นวางฝ่ามือบนร่างของหนานกงหลิงซวง ก่อนหลิงหยวนดั้งเดิมจะเริ่มเคลื่อนไหว แล้วถ่ายทอดไปให้หนานกงหลิงซวงทีละนิด ๆ
สายฟ้าหายไป จากนั้นมีแสงหลากสีสาดส่องมาที่ร่างของหนานกงหลิงซวง
ตอนนี้เองมีเงาหงส์ที่เลือนรางปรากฏทับร่างหนานกงหลิงซวง พร้อมกับปลดปล่อยบรรยากาศความน่าเกรงขามออกมา
“นั่นมัน...”
ฉากนี้ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง ความน่าเกรงขามของหงส์นั่นช่างทรงพลังยิ่งนัก นี่ทำให้พวกเขาใจเต้นแรง
“แกร่งมาก ไม่คิดว่าคุณหนูหลิงซวงจะปลุกิญญาาหงส์ได้ ทั้งยังบรรลุขั้นเขียวอีก!”
“ิญญาาหงส์ขั้นเขียว ช่างเป็เกียรติสูงสุด คุณหนูหลิงซวงทำเช่นนี้ได้ คงได้กลายเป็อัจฉริยะที่เก่งสุดในเมืองโยวโจว และต้องมีสำนักใหญ่ ๆ จับตามอง พวกเราตระกูลหนานกงมีความหวังแล้ว!”
เห็นเงาหงส์ลอยตระหง่านอยู่ที่ด้านหลังของหนานกงหลิงซวง มันพลอยทำให้ตระกูลหนานกงใจเต้นระส่ำไปด้วย
หนานกงเฉินลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยสีหน้าที่ดูตื่นเต้น คนผู้นั้นคือบุตรสาวของเขา บัดนี้กลายเป็ความภาคภูมิใจของตระกูลหนานกง รวมทั้งเมืองโยวโจวแล้ว
หนานกงหลิงซวงค่อย ๆ ลุกขึ้น พร้อมด้วยแสงหลากสีโคจรรอบกาย เงาหงส์ที่อยู่ด้านหลังก็เปล่งแสงเป็ประกาย รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้างดงามนั้นก็ดูดีใจอย่างมาก
นาทีนี้แสงที่โชติ่ของนางแผ่ปกคลุมทุกคน ประหนึ่งเทพธิดาหงส์ที่แท้จริงก็ไม่ปาน
บนใบหน้าขาวซีดเล็กน้อยของเย่เฟิงปรากฏรอยยิ้ม เขาเองก็รู้สึกดีใจไปกับหนานกงหลิงซวง แม้เขาอาจสูญเสียโอกาสในการเปิดประตูิญญา แต่ก็ไม่สูญเสียไปทั้งหมด
“หลิงซวง ยินดีด้วย” เย่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
“อืม”
หนานกงหลิงซวงพยักหน้าให้เย่เฟิงเบา ๆ และไม่พูดอะไร สายตานั้นคล้ายมองคนแปลกหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เฟิงหยุดชะงัก และรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย
ครู่ต่อมา หนานกงหลิงซวงและหนานกงเฉินออกไปจากแท่นบูชา
บนแท่นบูชาที่ว่างเปล่า เย่เฟิงยิ้มกับตัวเอง กล่าวว่า “บางทีหลิงซวงอาจดีใจเกินไปก็ได้”
ประโยคนี้ของเย่เฟิงดูเข้าใจหนานกงหลิงซวง แต่ดูไปแล้วคล้ายปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า
“เ้าเศษสวะ ทำไมเ้ายังไม่ไปอีก?”
ขณะนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่บางแห่งบนแท่นบูชา และเดินมาหาเย่เฟิงช้า ๆ
“เซียวเจี๋ย”
เย่เฟิงตาทอประกายเย็นเยียบ
“ฮ่าๆๆ สูญเสียหลิงหยวนดั้งเดิม เ้าก็กลายเป็คนไร้ค่า แล้วมีสิทธิ์อะไรมาคู่ควรกับลูกพี่ลูกน้องข้า ฆ่าตัวตายไปซะ อยู่ไปก็เปลืองอาหาร” เซียวเจี๋ยกล่าวพลางแสยะยิ้มเยือกเย็น
“เื่ของข้าไม่เกี่ยวกับเ้า ถ้าเ้ายั่วโมโหข้าอีก พรุ่งนี้ข้าจะแจ้งท่านผู้นำให้ทราบ แล้วลงโทษเ้า”
เย่เฟิงตาทอประกายแหลมคม น้ำเสียงเยือกเย็นขั้นสุด เซียวเจี๋ยมาที่นี่ก็เพื่อคอยซ้ำเติมอย่างเห็นได้ชัด
“เอาที่เ้าสบายใจ ข้าก็อยากเห็นว่าเศษสวะอย่างเ้าจะทำอะไรข้าได้บ้าง”
เซียวเจี๋ยกล่าว จากนั้นออกไปพร้อมกับหัวเราะเสียงดังที่ฟังดูยโสโอหังมาก
ขณะมองแผ่นหลังของเซียวเจี๋ย ในแววตาของเย่เฟิงก็ทอประกายแสงเยือกเย็น ต้องมีสักวันที่เขาเย่เฟิงจะเหยียบย่ำคนเหล่านี้ให้จมดิน
เย่เฟิงกลับถึงที่พัก ซึ่งเป็ห้องเล็ก ๆ ธรรมดา เหมือนศิษย์ทั่ว ๆ ไปของตระกูลหนานกง แต่สำหรับว่าที่ลูกเขยของตระกูลหนานกง มันดูซอมซ่อไปหน่อย
เขาถ่ายทอดหลิงหยวนดั้งเดิมให้หนานกงหลิงซวง ร่างกายจึงอ่อนแอ จำต้องฟื้นฟูพลังหยวนโดยเร็ว
“ิญญาาหงส์ที่หลิงซวงปลุกขึ้นมีระดับที่สูงมาก ข้าต้องพยายามให้มากกว่านี้!”
พลันในมือปรากฏตำราเล่มหนึ่งที่ดูเรียบง่าย จากนั้นเย่เฟิงเข้าสู่สภาวะการฝึกฝน
ตำราเล่มนี้มีชื่อว่า ‘ทักษะรวมพลัง’ ซึ่งเป็ของขวัญจากบิดาของเย่เฟิง
สิบปีมานี้ เย่เฟิงฝึกฝนมาโดยตลอด เขาฝึกฝนอย่างหนัก จิตใจแน่วแน่ แม้จะประสบกับความยากลำบาก แต่ก็ไม่เคยย่อท้อ
พระจันทร์เต็มดวงลอยตระหง่าน สาดส่องแสงจันทร์เข้ามาภายในห้อง พลังหยวนไหลเวียนไปตามร่างกาย เข้าสู่เส้นลมปราณและทุกส่วนของร่างกายเย่เฟิง
ตอนนี้เย่เฟิงอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 2 ทั้งยังมีช่องว่างไม่น้อยระหว่างคนรุ่นเดียวกัน
“ครืน!”
มีเสียงดังขึ้น จากนั้นมีไข่มุกเปล่งแสงจ้าลอยออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเย่เฟิง แล้วค่อย ๆ ลอยขึ้นฟ้า
ไข่มุกปลดปล่อยแรงดูด จากนั้นพลังหยวนที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ รวมทั้งพลังหยวนของเย่เฟิงก็ถูกดูดเข้าไปในไข่มุกอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา สีหน้าของเย่เฟิงที่เพิ่งกลับเป็ปกติก็เปลี่ยนไปขาวซีดอีกครั้ง
ไข่มุกที่ส่องประกายงดงาม มันค่อย ๆ เปลี่ยนสี ก่อนจะเปล่งแสงสีเขียวออกมา
“หือ?”
ขณะมองไข่มุกที่เปลี่ยนสีนั่น เย่เฟิงก็ชะงักไปเล็กน้อย พึมพำว่า “ไข่มุกเปลี่ยนสี ดูเหมือนว่าการดูดซับพลังหยวนใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว”
กล่าวจบ เย่เฟิงเผยรอยยิ้ม จากนั้นเก็บไข่มุกใส่กระเป๋า
ไข่มุกเม็ดนี้คือของขวัญที่บิดาทิ้งไว้ให้เขา และเป็หลิงหยวนดั้งเดิมที่สองของเขา
ซึ่งไข่มุกนั้นมีความสามารถในการดูดซับพลังหยวนด้วยตัวเอง ตามที่บิดาบอกกล่าว เมื่อไข่มุกสะสมพลังหยวนจนถึงจุดอิ่มตัว ไข่มุกจะปลดปล่อยแสงสีเขียวที่น่าทึ่งออกมา และจะเป็ความหวังของเย่เฟิงที่จะได้หลิงหยวนดั้งเดิมอีกครั้ง
ดังนั้นพลังหยวนที่เย่เฟิงสะสมหลายสิบปีมานี้ จึงถูกไข่มุกดูดซับไปกว่าครึ่ง เพราะเหตุนี้การบ่มเพาะของเย่เฟิงจึงเชื่องช้าและถูกผู้คนหัวเราะเยาะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้