“ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ต่างก็ทานหม้อไฟด้วยกัน แต่ก็ยังสบายดีอยู่มิใช่หรือเ้าคะ? สตรีผู้นี้ผิดปกตินัก น่าจะเป็การที่คู่แข่งมาใส่ร้ายเรา เชิญทุกท่านแยกย้ายเถิดเ้าค่ะ”
เมื่ออี๋เหนียงพูดจบ คนที่มุงดูอยู่ก็กำลังจะแยกย้าย
“ตระกูลเวินของพวกเ้าต้องไม่ตายดี”
“ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ”
“ข้าขอสาปแช่งพวกเ้าตระกูลเวิน”
สตรีผู้นั้นพยายามจะขัดขืนแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง นางถูกโยนไปไกลจากร้านประมาณห้าเมตร ส่วนเด็กน้อยก็ถูกโยนลงบนพื้นอย่างทิ้งขว้างเช่นกัน สตรีผู้เป็มารดารีบลุกขึ้นอย่างกระวนกระวายแล้วเข้าไปกอดลูกน้อย ก่อนจะหันไปมองร้านหลิวเซียงจวีด้วยสายตาชิงชัง
ยามนี้เด็กน้อยมีอาการสาหัสจนแทบจะทนไม่ไหว ขณะเดียวกันเวินซีก็ทนยืนมองต่อไปมิได้ จึงเข้าไปหมายจะอุ้มเขาขึ้นมา แต่สตรีนางนั้นไม่ยอมและเอาแต่ถอยหนี
“เขามีอาการอาหารเป็พิษ ข้าจะรักษาให้ หากเกิดเื่ใดขึ้น เ้าแจ้งคนมาจับข้าก็ได้” เวินซีเอ่ยด้วยความจริงใจ
สตรีผู้นั้นยังคงลังเล แต่เมื่อเห็นว่าลูกน้อยกำลังจะตาย นางจึงยอม
เวินซีใช้วิธีเดียวกัน คือทำให้เด็กน้อยอาเจียนออกมาให้หมดแล้วป้อนยา ในที่สุดก็สามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่หลิวเซียงจวีก็มีเสียงครวญครางระงม
“ข้าปวดท้องมาก”
“โอ้ย”
“อั๊วะ...”
ลูกค้าหลายคนรู้สึกไม่สบาย อ่อนแรงจนล้มลงกับพื้น สตรีผู้นั้นเห็นเช่นนั้นก็นำลูกของตนให้เวินซีช่วยดูแลแล้ววิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์ในร้านอีกครา
“คุณหนูเวินซี” ในขณะนั้นเสียวเสี่ยวมีขอทานอีกสองคนช่วยพยุงเดินมาที่หน้าร้านเวินเซียงเก๋อ
เวินซียิ้มบางๆ แล้วนำเด็กน้อยส่งให้ขอทาน ไม่นานนักก็มีเสียงโวยวายดังขึ้น
“พวกเ้าวางยาพิษในหม้อไฟจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“พวกเ้าตระกูลเวินกล้าหาญยิ่งนัก”
“ช่วยด้วย ข้ายังไม่อยากตาย”
ยามนี้หลิวเซียงจวีอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง ผู้คนที่ล้มลงนอนกับพื้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนอื่นๆ ที่เดิมทีมิได้รู้สึกอันใด แต่เมื่อเห็นท่าทีของผู้ที่ล้มนอนต่างก็คิดไปเองว่าตนไม่สบาย จึงร่วมร้องคร่ำครวญด้วย
สีหน้าของอี๋เหนียงตระกูลเวินเขียวไปหมดแล้ว นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเวินเยียนที่อยู่ด้านหลัง
“ทุกท่าน หม้อไฟร้านหลิวเซียงจวีของเราไม่มีปัญหาแน่เ้าค่ะ ในเมื่อทุกท่านเกิดไม่สบายที่ร้านของเรา เราก็จะรับผิดชอบทั้งหมด และจะตรวจสอบให้แน่ชัดเ้าค่ะ”
เวินเยียนแอบด่าอี๋เหนียงว่า “ไร้ประโยชน์” พลันรีบช่วยผู้ที่ล้มนอนอยู่บนพื้น
ไม่รู้ว่าผู้ใดรายงานเื่นี้ต่อเ้าหน้าที่ ในเวลาต่อมาท่านใต้เท้าเ้าอำเภอและผู้ติดตามจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะล้อมร้านหลิวเซียงจวีไว้ทั้งภายในและภายนอก เื่ราวไปกันใหญ่ มีทั้งหมอมาช่วยตรวจสอบหม้อไฟ แต่ก็ไม่พบสารพิษใด
“ท่านเ้าอำเภอเ้าคะ ต้องมีเื่เข้าใจผิดกันเป็แน่ พวกเราจะตรวจสอบให้ชัดเ้าค่ะ” เวินเยียนพูดอย่างเคารพ นางมีท่าทีที่อ่อนโยนเหมือนทุกครา
“เหตุใดถึงเป็ตระกูลเวินของพวกเ้าตลอด?”
คำพูดของเ้าอำเภอทำให้เวินเยียนชะงักไป นางทำได้เพียงยิ้มให้เขา
ในขณะนั้นผู้ป่วยที่อาหารเป็พิษถูกหมอพยุงร่างออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเ้าอำเภอเดินสังเกตไปทั่วร้านและนำหม้อไฟชุดหนึ่งกลับไปตรวจสอบ
“ช้าก่อนขอรับ” ในตอนนั้นเอง เสียวเสี่ยวที่ไร้เรี่ยวแรงก็ถูกพยุงตัวเข้ามาในฝูงชน
“ท่านเ้าอำเภอขอรับ ข้าน้อยรู้สาเหตุของพิษในหม้อไฟขอรับ” เขากล่าวขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของเวินเยียนพลันดุร้ายขึ้นทันใด ก่อนจะมองไปที่เสียวเสี่ยวด้วยสายตาพิฆาต แต่เวินซีกลับยืนบังสายตาของนางไว้แล้วเลิกคิ้วเย้ยหยัน
เวินเยียนกำมือแน่น
“ว่ามาสิ”
“ท่านเ้าอำเภอ วัตถุดิบในหม้อไฟทุกอย่างที่หลิวเซียงจวีนำมาทำ แท้จริงแล้วมาจากเศษอาหารที่เหลือทิ้งในตลาดขอรับ บางอย่างถึงกับเน่าจนเหม็นแล้ว พวกเขาใช้กลิ่นสมุนไพรในหม้อไฟกลบกลิ่นเน่าและนำออกมาขายขอรับ”
“เมื่อวานข้าน้อยอยากลอง จึงมาทานหม้อไฟที่นี่ ข้าเป็คนท้องไส้อ่อนแออยู่แล้ว ทานไปเพียงครั้งเดียวก็อาหารเป็พิษ อาการอย่างแรกคือปวดเสียดท้องร่วง ยามนั้นข้าน้อยยังไม่ได้สงสัยอันใดจึงไปเหมาฝาง [1] เป็ปกติ แต่ตอนที่ข้ากลับมาก็บังเอิญได้เห็นพวกเขาทำวัตถุดิบ”
“พวกเขาเห็นข้าน้อย กลัวว่าจะถูกเอาไปพูดจึงรุมทำร้ายข้าน้อยเจียนตายแล้วนำข้าไปทิ้งไว้ในซอยตัน หากมิใช่ว่าข้าน้อยดวงแข็ง เกรงว่าป่านนี้คงเป็เหยื่อในคดีฆาตกรรมไปแล้วขอรับ”
“เ้าอย่าได้ป้ายสีผู้อื่นมั่วๆ นะ” อี๋เหนียงตระกูลเวินพูดอย่างตื่นตระหนก
เ้าอำเภอกวาดสายตาไปมอง “เ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
“หลักฐานก็คืออาหารภายในครัวหลิวเซียงจวี”
เสียวเสี่ยวพูดจบ ลูกน้องของเ้าอำเภอก็เดินไปตรวจห้องครัวด้านหลัง
เวินเยียนกระวนกระวายใจมาก แต่แสดงออกได้เพียงสีหน้าที่สงบนิ่ง ส่วนอี๋เหนียงมองนางด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ แต่นางก็จงใจหลบสายตา
ในไม่ช้า อาหารที่เน่าเหม็นก็ถูกยกออกมาทั้งหมด กลิ่นเหม็นเน่าได้โชยออกไปทั่วโถงอาหาร ผู้ที่ได้ทานหม้อไฟไปต่างพากันส่งเสียงอาเจียนด้วยความรู้สึกขยะแขยงมาก
มิน่าล่ะ ราคาอาหารของหลิวเซียงจวีจึงถูกเช่นนี้ เป็เพราะใช้วิธีนี้นี่เอง
“มีอันใดจะพูดอีกหรือไม่?” เ้าหน้าที่จากอำเภอไปยืนข้างๆ อี๋เหนียง
อี๋เหนียงตระกูลเวินกลัวจนพูดไม่ออก นางวิ่งไปนั่งคุกเข่าที่ข้างเท้าของเวินเยียน
“เวินเยียน ช่วยข้าด้วย ข้า...”
“อี๋เหนียงทำผิดก็ต้องได้รับโทษสิเ้าคะ ท่านก็ไม่คิดให้ดีเลย ถึงขั้นทำร้ายผู้คนได้เช่นไรเ้าคะ? ท่านมีบุตรสาว ยามนี้จะพูดอันใดก็สายไปแล้ว ยอมรับความผิดเถิดเ้าค่ะ”
ด้วยประโยคที่แฝงด้วยคำเตือนนี้ ทำให้อี๋เหนียงตระกูลเวินไม่สามารถอธิบายอันใดได้อีก นางล้มลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยากและยอมให้เ้าหน้าที่พาตัวไป
“เสียวเสี่ยว ลำบากเ้าเลยล่ะ” เวินซีมองหาเสียวเสี่ยวที่อดทนพูดทุกอย่างทั้งที่ยังเจ็บแผล
ด้วยเหตุนี้ หลิวเซียงจวีจึงปิดตัวลงอย่างถาวร ทำให้วิกฤตของเวินเซียงเก๋อหมดไป
ในสามวันต่อมา กิจการของเวินเซียงเก๋อก็กลับมารุ่งเรืองเหมือนเก่า ขอทานกลุ่มนั้นรับมือกับสถานการณ์ภายในร้านได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เวินซีได้มอบหมายให้เสียวเสี่ยวเป็จ่างกุ้ย เมื่อมีเขาจัดการเื่ทุกอย่างนางจึงสบายใจได้
จนกระทั่งวันที่สี่ ่เวลาที่แสนสุขสันต์ก็ถูกท่านย่าจ้าวทำลาย นางมาพร้อมกับขบวนงานศพที่มีคนตีฆ้องตีกลอง สวมชุดขาวเดินมาพลางร้องไห้ ตรงกลางขบวนมีโลงศพ พวกเขาเดินไปจนถึงร้านเครื่องหอมจึงได้หยุดลง
ขณะนั้นภายในร้านยังมีลูกค้าอยู่ แต่ท่านย่าจ้าวไม่สนใจ นางเดินตรงเข้าไปและนั่งลงบนพื้น ก่อนจะเริ่มโอดครวญ
“หลานชายผู้น่าสงสารของข้า”
“ยามนี้เ้าจะเป็หรือตายย่ายังมิรู้เลย”
“ที่เ้าไม่มาเข้าฝันข้า เพราะว่าเ้าโกรธที่ข้าถูกคนพวกนี้หลอกใช่หรือไม่ ข้าจำเ้ามิได้ ย่าเองก็ถูกหลอกเช่นกัน”
“...” เวินซีเอามือปิดปาก ยืนดูการแสดงของท่านย่าจ้าวเงียบๆ
ในขณะนั้นจ้าวซานเดินออกมาจากห้องและยื่นเสื้อคลุมให้นาง เมื่อเขาเห็นท่านย่าจ้าวทำตัวเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกขยะแขยง
เมื่อท่านย่าจ้าวเห็นเขา อารมณ์โกรธก็ยิ่งมีมากขึ้น จึงเอ่ยว่า “เ้าเป็ผู้ใดกันแน่? จ้าวต้านอยู่ที่ใด? เหตุใดเ้าต้องปลอมตัวมาเป็เขา? มีเป้าหมายใด? เ้าสองคนเป็ปีศาจใช่หรือไม่?”
“จ้าวต้านเข้าค่ายทหารไป เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร? ข้าได้ถามมาแล้ว จ้าวต้านอยู่ในค่ายทหารตลอดไม่เคยออกมา”
“ข้าคือจ้าวต้าน หากไม่เชื่อก็เื่ของท่าน” จ้าวซานตอบอย่างเ็า
เวินซีเหลือบมองเขา เขามีความเยือกเย็นก็จริง แต่นางกลับไม่รู้สึกถึงความเคร่งขรึมเหมือนเมื่อก่อน
“จ้าวต้านมีปานที่เอว หากเ้าเป็หลานข้าจริง ก็เปิดเอวให้ข้าดู”
ท่านย่าจ้าวจ้องมองอย่างดุดัน ใบหน้าที่แห้งผากของนางดูน่ากลัว
ดีที่จ้าวซานได้เปลี่ยนตัวกับจ้าวต้านมาแต่เนิ่นๆ มิฉะนั้นวันนี้คงต้องถูกเปิดโปงแน่ มือของเขาแนบอยู่ที่เอวและเตรียมจะถอดเสื้อออก
“ช้าก่อน”
เวินซีเอื้อมมือไปจับข้อมือของเขา แววตาของนางมีความหม่นหมองเล็กน้อย
“เข้าไปถอดด้านใน”
นางเอามือออกพลันเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ท่านย่าจ้าวจึงรีบวิ่งตามเข้าไป “ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเ้าเป็ผู้ใด”
ภายในห้อง เมื่อจ้าวซานถอดเสื้อออกก็เผยให้เห็นรอยปานดำที่เอว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจหญิงชราผู้นั้น “พอใจหรือยัง?”
“เ้าเป็จ้าวต้านจริงๆ เป็ไปมิได้ เป็ไปมิได้ พวกเขาบอกนี่ว่าจ้าวต้านอยู่ในค่ายทหาร เ้า...”
“ออกไป”
จ้าวซานเอ่ยอย่างเ็า ท่านย่าจ้าวมองเห็นสายตาที่ไม่พอใจนั้นจึงออกจากร้านไปอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ยังไม่วายยืนอยู่ที่ประตู
จ้าวซานเห็นดังนั้นก็อยากจะออกไปไล่พวกนาง แต่ถูกเวินซีดึงเสื้อไว้
“เ้าเป็ผู้ใดกัน?”
เชิงอรรถ
[1] เหมาฝาง 茅房 หมายถึง ห้องส้วม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้