ชิงเฟิงพูดจบภายในลมหายใจเดียว อีกทั้งยังมองชิงเหอด้วยสายตาว่างเปล่า ต้องสั่งสอนยัยทึ่มสมองกลวงผู้นี้เสียบ้าง ช่างไม่รู้จักห่วงใยเ้านายเลยจริงๆ
แต่เมื่อหยวนเป่าได้ยิน ทั้งร่างเขาพลันแข็งค้างอยู่ที่เดิม
แม้ชิงเหอไม่เข้าใจ แต่เขากลับเข้าใจ ท่านลุงใหญ่ได้พบเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อ นั่นคือเื่ที่ท่านลุงกับท่านแม่กินดอกบัวพันปีเข้าไป และถูกองค์รัชทายาทจับได้จึงถูกบังคับให้รับผิดชอบเป็เงินจำนวนสามล้านตำลึง
ท่านลุงใหญ่...
ฮือๆๆ
ดวงตาของหยวนเป่าน้อยแดงก่ำ ท่านลุงช่างดียิ่งนัก ทั้งที่เสียสละเพื่อเขากับท่านแม่ถึงเพียงนี้ แต่เขากลับคิดเป็จริงเป็จังว่าเพราะท่านป้ามู่ไม่มีใจชอบท่านลุง
เขาช่างโง่งมเหลือเกิน
หยวนเป่าออกจากสวนหลังจวนอย่างไร้สุ้มเสียง ในใจบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร มีทั้งความรู้สึกประทับใจ หดหู่ใจ และเศร้าใจ เวลานี้เขาต้องรีบไปหาท่านแม่และบอกเื่นี้กับนาง! การแต่งงานของท่านลุงมิอาจรอช้ากว่านี้ได้
...
อีกด้านหนึ่ง ฮวาเหยียนกับมู่เฉิงอินสนทนาความในใจกันไปไม่น้อยทีเดียว สุดท้ายก็ตกลงว่าจะมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้อีกครั้งเพื่อพูดคุยและพบกันในวันพรุ่งหลังอาหารกลางวัน จากนั้นมู่เฉิงอินจึงบอกลาฮวาเหยียนอย่างมิอาจหักใจได้
เมื่อมองดูสีของท้องฟ้าภายนอกจึงพบว่าเวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว พระอาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตกได้ย้อมท้องฟ้าให้เป็สีแดงไปแล้วครึ่งหนึ่ง การพบปะพูดคุยดื่มน้ำชาในครานี้จำต้องแยกย้ายแล้วจริงๆ
“เช่นนั้นน้องหญิงเหยียน พรุ่งนี้พวกเรานัดเจอกันที่นี่นะ”
มู่เฉิงอินถามอีกครั้งยังไม่ไว้วางใจ
ฮวาเหยียนกลั้นหัวเราะและพยักหน้า “ท่านวางใจเถิดเ้าค่ะ”
ทั้งสองลุกขึ้น ในขณะที่พวกนางกำลังจะออกไปก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากนอกม่านว่า “องค์หญิง โปรดมาทางนี้ ห้องฟูหรงพร้อมสำหรับท่านแล้วขอรับ”
และตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ
“ประเดี๋ยวก่อน”
มู่เฉิงอินดึงข้อมือของฮวาเหยียน นางขยับปากเล็กน้อยและเอ่ยแบบไร้เสียง
ฮวาเหยียนหยุดมือที่กำลังจะยกม่านขึ้น รอจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว นางจึงได้ยินมู่เฉิงอินเปิดปากพูดว่า “คนที่เพิ่งผ่านไปคงจะเป็จวิ้นจู่ [1] หลิวซวง พวกเราหลีกทางให้นางเถิด จะได้ไม่จำเป็ต้องกล่าววาจาทักทาย”
มู่เฉิงอินขยิบตา
ฮวาเหยียนเห็นแล้วรู้สึกขบขันนัก แน่นอนว่านางรู้ว่าคนที่เดินผ่านไปเมื่อครู่คือฉู่หลิวซวง จวิ้นจู่เพียงหนึ่งเดียวแห่งราชวงศ์ต้าโจว ครั้งนั้นที่นางกลับมาและเกิดการปะทะขึ้นที่ประตูเมือง อีกฝ่ายคือสตรีผู้นั้นที่เปิดเผยตัวตนของนางด้วยวาจาเพียงประโยคเดียว
หยิ่งผยองเ็า แต่แท้จริงจิตใจล้ำลึกเกินคาด ความคิดเต็มไปด้วยอุบายและความชั่วร้าย ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยแม้สักน้อย
“พี่หญิงมู่ไม่ชอบจวิ้นจู่ฉู่หรือเ้าคะ?”
ฮวาเหยียนถามนางด้วยรอยยิ้ม
“อืม บอกมิได้ว่าชอบหรือไม่ พูดโดยง่ายคือเป็คนที่ไม่อาจอยู่ร่วมเส้นทางเดียวกัน จวิ้นจู่ฉู่ทะนงตนสูงส่ง เป็สตรีสูงศักดิ์ น้องหญิงเหยียนหายตัวไปสี่ปีคงยังมิทราบ ว่าจวิ้นจู่ผู้นี้เป็สตรีสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของต้าโจว เวลานี้เหล่าคุณหนูที่มีฐานะชาติตระกูลในเมืองล้วนหันตามศีรษะม้าผู้นำ [2] กันทั้งสิ้น”
ฮวาเหยียนพยักหน้าอย่างรู้เท่าทัน
“แต่ถึงอย่างไรจวิ้นจู่ก็ทรัพยากรที่มีคุณภาพอยู่มาก จึงกล่าวได้ว่านางมีความสามารถ แม้นางอาจไม่โดดเด่นนัก ทว่าความสำเร็จด้านศิลปะการต่อสู้ของนางกลับห่างชั้นกว่าสตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆ มีข่าวลือว่าจวิ้นจู่เป็ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สิบสอง ไม่ช้าก็จะทะลวงระดับปรมาจารย์แล้ว”
ขณะที่นางกล่าวเช่นนี้ ร่องรอยประกายวาบผ่านที่ปรากฏในดวงตาของมู่เฉิงอินก็ถูกฮวาเหยียนจับไว้ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นฮวาเหยียนจึงพยักหน้า กล่าวว่า “โอ้ เก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือเ้าคะ...”
“อืม นางเก่งกาจจริงๆ”
มู่เฉิงอินพยักหน้า น้ำเสียงของนางยัง... เปรี้ยว [3] เล็กน้อย ไม่ต้องกล่าวเลยว่าน่ารักเพียงใด
“เช่นนั้นพี่หญิงมู่ ท่านเองก็เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ใช่หรือไม่?”
ฮวาเหยียนเอ่ยถามอีกหน
คำถามนี้เท่ากับเป็การถามเื่ที่อยู่ก้นบึ้งในหัวใจของมู่เฉิงอิน หญิงสาวที่เดิมทีกำลังจะแยกย้ายกันแล้ว กลับดึงตัวฮวาเหยียนลงมานั่งอีกครั้ง ดวงตาของนางเปล่งประกายสดใสและกำลังจะอ้าปากอย่างมีความสุข แต่กลับโดนหลิงหลงที่อยู่ด้านข้างแย่งพูดขึ้นมาว่า “แม่นางเหยียน คุณหนูของข้าเป็ผู้ฝึกยุทธ์เ้าค่ะ”
“หลิงหลง เ้านี่ยิ่งอยู่ยิ่งไม่รู้กฎเสียจริง ข้า้าแบ่งปันเื่น่ายินดีเช่นนี้กับน้องเหยียนด้วยตนเอง เ้าจะแย่งข้าตอบเพื่อสิ่งใด”
มู่เฉิงอินโกรธจัดแล้ว สาวใช้ผู้นี้ยิ่งโต ดวงตากลับยิ่งหามีแววไม่
“โอ้ เช่นนั้นคุณหนูก็กล่าวเองเถิด หลิงหลงจะปิดปากให้สนิทเ้าค่ะ”
นางพูดพลางทำท่าปิดปากไปด้วย
ฮวาเหยียนเห็นแล้วรู้สึกตลกนัก
เห็นได้ชัดว่าหัวข้อนี้กระตุ้นความสนใจของมู่เฉิงอินเป็อย่างยิ่ง ทั้งดวงตาและคิ้วของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางหันมากล่าวกับฮวาเหยียนด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “น้องหญิงเหยียน ข้าปลุกเส้นลมปราณของข้าได้เมื่อสามปีที่แล้ว ยามนี้จึงนับว่าข้าเป็จอมยุทธ์ผู้หนึ่งเชียวนะ”
น้ำเสียงของนางเปี่ยมด้วยความภูมิใจยิ่ง
“ยอดเยี่ยมนัก น้องมิได้สังเกตเลยเ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนยิ้มตอบพร้อมกับชมเชยนาง
มู่เฉิงอินรู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย “ย่อมเป็เช่นนั้น คนจริงย่อมไม่แสดงตนง่ายๆ”
เมื่อเห็นท่าทียืดอกภูมิใจของนางยามเอ่ยวาจา ทั้งสองจึงหัวเราะด้วยกันหลังจากคำพูดนี้
“เช่นนั้นพี่หญิงฝึกไปถึงระดับใดแล้วหรือเ้าคะ?”
ฮวาเหยียนเอ่ยถามอีกครั้ง
จากนั้นจึงเห็นว่ามู่เฉิงอินยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วด้วยท่าทางลึกลับ...
ฮวาเหยียนเลิกคิ้ว อา น่าเหลือเชื่อนัก การเป็จอมยุทธ์ระดับสูงภายในระยะเวลาแค่สามปีช่างน่าทึ่งเสียจริง
ในใจนึกด่าตาเฒ่าติงอีกสักคำรบ ไหนว่านางเป็อัจฉริยะเล่า? สี่ปีทะลวงระดับปรมาจารย์ลึกลับ? นางควรจะดึงเคราของเขา แล้วชี้ให้เขาดูเสียจริงว่าทันทีที่นางเข้ามาในแคว้นต้าโจวก็ปรากฏบุคคลผู้เปี่ยมด้วยพร์มากมาย ทีแรกก็องค์รัชทายาทตี้หลิงหาน อายุยังน้อยแต่กลับอยู่ถึงระดับจอมยุทธ์ ยามนี้มองดูพี่หญิงมู่ อีกฝ่ายต้องฝึกตนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับนางเป็แน่
ตอนที่กำลังคิดเช่นนี้ ก็ได้ยินมู่เฉิงอินกล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่หนึ่ง”
พรูด...
ยกโทษให้ฮวาเหยียนที่เสียกิริยาแล้ว
โชคดีที่นางยังไม่ทันดื่มชาเข้าปาก มิเช่นนั้นนางคงได้บ้วนทิ้งเป็แน่
ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่หนึ่ง!
นางมิได้ปลุกเส้นชีพจรลมปราณสำเร็จั้แ่สามปีที่แล้วหรือ? ยังเป็แค่ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่หนึ่งเท่านั้น? พี่หญิงมู่ ท่านดูไม่เหมือนคนโง่ขนาดนั้นเสียหน่อย
แต่เมื่อเห็นการแสดงออกของมู่เฉิงอินที่พึงพอใจเป็อย่างมาก ฮวาเหยียนจึงเข้าใจว่าในใจของใครหลายๆ คน ตราบใดที่เส้นชีพจรลมปราณถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ย่อมนับว่ามิสามารถมองข้ามได้แล้ว เพราะในแคว้นที่ยิ่งใหญ่นั้น บุคคลธรรมดาที่มิอาจฝึกได้ย่อมมีมากกว่า
“เยี่ยมยอด เยี่ยมยอด”
ฮวาเหยียนกลืนน้ำลายอึกหนึ่งและยกย่องอีกฝ่ายด้วยใจจริง ดังนั้นจึงได้รับรอยยิ้มหวานเป็การตอบแทนจากพี่หญิงมู่อีกครั้ง
“เช่นนั้นน้องหญิง เ้าปลุกเส้นชีพจรลมปราณให้ตื่นแล้วหรือยัง หากยังไม่ได้ ข้าสามารถสอนบางประสบการณ์ให้เ้าได้นะ”
ฮวาเหยียน “...!”
เส้นชีพจรลมปราณที่ปลุกให้ตื่นขึ้นนี้ สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ให้กันได้ด้วยหรือ?
แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉิงอินแสดงความรักและความกระตือรือร้นต่อตนเป็อย่างยิ่ง
ฮวาเหยียนไม่ปรารถนาจะโกหก ดังนั้นจึงพยักหน้า “น้องปลุกเส้นชีพจรลมปราณได้เมื่อสี่ปีที่แล้วเ้าค่ะ”
“ไอ้หยา น้องหญิงปลุกเส้นชีพจรลมปราณได้แล้วหรือ? น่าทึ่งจริงๆ!”
มู่เฉิงอินยินดีกับฮวาเหยียนอย่างจริงใจ หลังเอ่ยจบก็คล้ายนางจะคิดบางสิ่งออก จึงตบศีรษะของตนเอง “เ้าดูเถิด เป็ข้าเลอะเลือนแล้ว แน่นอนว่าน้องหญิงต้องปลุกเส้นชีพจรลมปราณของตนเองได้แล้วจึงจะถูก มิเช่นนั้นตอนอยู่ที่หออู๋ิคงมิสามารถใช้พลังขาส่งให้โจวเหอถูกเตะออกไปไกลขนาดนั้นได้”
โจวเหอ บุตรชายของท่านโหวหย่งซิน
ฮวาเหยียนยิ้มและไม่เอ่ยคำใด
มู่เฉิงอินตื่นเต้นเป็ที่สุด “น้องหญิง เช่นนั้นการฝึกของเ้าเป็เช่นไรหรือ?”
ฮวาเหยียนเม้มปาก เพราะเมื่อคืนฝันว่าตี้หลิงหานขโมยลูกชายไป นางจึงลงมือต่อสู้กับเขาในความฝัน นางทั้งโกรธและเป็ห่วงลูก ดังนั้นเมื่อตื่นเช้ามานางก็ค้นพบว่าพลังของตนเองก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว...
นางสามารถก้าวหน้าในความฝันของตนเอง จากปรมาจารย์จิติญญาขั้นที่หนึ่งไต่ระดับไปจนถึงปรมาจารย์จิติญญาขั้นที่สอง
ดังนั้นฮวาเหยียนจึงชูนิ้วของนางออกมา ทั้งหมดสองนิ้ว
“อ้อ ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สอง”
ฮวาเหยียน “...!” เป็ปรมาจารย์จิติญญาขั้นที่สองต่างหากเ้าค่ะ!!
เชิงอรรถ
[1] จวิ้นจู่ 郡主 (Jùn zhǔ) หมายถึง ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิง ขึ้นอยู่กับการสืบสายเืทางบิดากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เป็ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่สาม ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็พระธิดาของชินอ๋องกับพระชายาเอก
[2] หันตามศีรษะม้าผู้นำ หมายถึง ดูทิศทางศีรษะม้าของนายพลแล้วตัดสินใจว่าตัวเองจะไปต่อหรือถอย เปรียบเทียบว่ารับฟังคำสั่งหรือยินดีทำตามที่คนอื่นทำ
[3] เปรี้ยว 酸溜溜 (Suān liū liū) เปรียบเปรยเวลาเห็นคนอื่นได้ดิบได้ดี แต่ตัวเองไม่ได้อะไรสักอย่าง จึงรู้สึกมีรสเปรี้ยวในปาก คล้ายกับสำนวน 吃不到葡萄说葡萄酸 (Chī bú dào pútao shuō pútao suān) ซึ่งมีความหมายว่า ไม่ได้กินองุ่นแต่เที่ยวพูดว่าองุ่นนั้นเปรี้ยว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้