ความปากสว่างของสตรีที่ชอบยุ่งเื่คนอื่น ในบางครั้งก็มีอานุภาพเหนือเครื่องมือทำลายล้าง
ใช้เวลาเพียงแค่สองวัน ข่าวลือที่ว่าเฉิงกุยไม่เคารพผู้าุโ บังคับม้าขู่ขวัญคนก็แพร่กระจายไปทั่วอำเภอหนานอี๋ ข่าวลือน่ะนะ ก็แพร่จากปากของคนหนึ่งส่งต่อไปยังหูของคนที่สองเช่นนี้ ผู้ที่บังคับม้าขู่ขวัญคนคือเพื่อนร่วมเรียนของเฉิงกุย แต่สุดท้ายมลทินกลับตกใส่หัวของเฉิงกุยแทน
หลังจากนั้นสองวัน ข่าวลือก็ไปถึงหูคนบ้านรอง แม่นมโจวที่อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าจูคร่ำครวญอย่างลับๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจูจะต้องโมโห แต่นางก็จำต้องรายงาน ถือเป็เื่ที่ยากเื่หนึ่ง
“มีเื่เช่นนี้จริงหรือ?!”
ปฏิกิริยาแรกของฮูหยินผู้เฒ่าจูคือคิดว่าเฉิงชิงเล่นเล่ห์
แต่เฉิงชิงเ้าเม่นตัวน้อยในยามนี้ควรจะทำตัวดีๆ งดใช้สมองเล่นเล่ห์ นางยังไม่ทันได้ลงมือ เฉิงชิงกลับกล้าลงมือหาเื่บ้านรองก่อน ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“แม่นมโจว เ้าไล่เรียงเื่ราวให้ชัดเจนแล้วเล่าให้ข้าฟังทีซิ”
แม่นมโจวได้ซักไซ้ไล่เลียงเื่ราวมาอย่างชัดเจนไว้ก่อนแล้ว จึงเล่าเื่ราวในวันนั้นั้แ่ต้นจนจบ
“ที่จริงก็มิอาจโทษนายน้อยกุยได้ ผู้ที่บังคับม้าขู่ขวัญมารดาของพวกเขาคือนายน้อยแห่งจวนเ้าเมืองอวี๋ นิสัยใจคอของนายน้อยอวี๋นั้น…”
นิสัยใจคอของนายน้อยอวี๋นั้นเป็คนไม่ฟังใคร แม้แต่เ้าเมืองอวี๋เองก็ควบคุมลูกชายตนเองไม่ได้ จึงได้ส่งนายน้อยอวี๋มายังอำเภอหนานอี๋ หวังให้ ‘สถานศึกษาหนานอี๋’ สั่งสอนบุตรชายของตนอย่างเข้มงวด
บิดาของเฉิงกุยเป็ผู้ว่าการเขตพิเศษ จะคบหากับบุตรชายของเ้าเมืองเป็สหายก็ไม่ถือเป็เื่แปลก ในอดีตฮูหยินผู้เฒ่าจูสนับสนุนให้หลานชายคบหาสหายในสถานศึกษาที่มีพื้นเพดีเหล่านี้เป็อย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินว่าผู้ที่บังคับม้าขู่ขวัญคนคือคุณชายอวี๋ สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจูก็แจ่มใสขึ้น
“ข้ารู้อยู่แล้วเชียว กุยเอ๋อร์เป็คนรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่มีทางหลวมตัวทำเื่เช่นนี้ได้ รอเขาเลิกเรียนแล้ว เ้าค่อยให้เขามาพบข้า”
ก่อนหน้านี้บ้านรองไม่ให้โลงศพของเฉิงจือหย่วนเข้ามาในบ้าน ก็ใช้ชื่อเสียงความมีคุณธรรม ใช้กิตติศัพท์วงศ์ตระกูลมาเป็ข้ออ้างว่าไม่อาจยอมรับบุตรหลานที่ไม่จงรักภักดีและไร้คุณธรรมอย่างเฉิงจือหย่วน คนนอกก็คิดกันไปว่าบ้านรองช่างใจแข็งยิ่งนัก จึงยังพอรอดไปได้อย่างผิวเผิน
แต่การไม่ให้โลงศพเฉิงจือหย่วนเข้าบ้านกับการรังแกแม่ม่ายบุตรกำพร้าที่เฉิงจือหย่วนทิ้งไว้หลังตายจาก ทั้งสองเื่นี้ถือเป็คนละเื่กัน
ฮูหยินผู้เฒ่าจูตั้งความหวังไว้กับเฉิงกุยสูงมาก นางจะไม่ยินยอมให้ชื่อเสียงของเฉิงกุยแปดเปื้อนมลทินใดๆ
ยามเฉิงกุยเลิกเรียนก็ถูกเชิญมายังห้องหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าจูก็สั่งสอนเขาอย่างไม่ไว้หน้าหนึ่งยก
“เ้าได้ยินที่ข้างนอกเขาลือกันหรือไม่ ยุ่งเหยิงกันไปหมด หาว่าเ้าจงใจบังคับม้าขู่ขวัญผู้าุโ บิดาเ้าไว้วางใจข้าผู้เป็ย่า ถึงได้ปล่อยเ้าให้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่บ้านเดิม กุยเอ๋อร์ ปกติย่าสั่งสอนเ้าแบบนี้หรือ?”
ถึงแม้ผู้ที่บังคับม้าหาใช่เฉิงกุยไม่ แต่จะเป็ไปได้หรือที่จะไปตีกลองลั่นฆ้อง อธิบายกับผู้คนในอำเภอหนานอี๋ทีละคนๆ สุดท้ายเฉิงกุยก็จำต้องแบกรับมลทินแทนนายน้อยอวี๋อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายน้อยของตระกูลเ้าเมืองกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ถึงขนาดไปหาเื่มารดาของเฉิงชิงอย่างไร้เหตุผล ย่อมต้องมีที่มาจากท่าทียามปกติของเฉิงกุยที่แสดงออกมาเป็แน่
เฉิงกุยไม่เยือกเย็นเกินไปแล้ว
บ้านรองมีผู้าุโตั้งเยอะแยะ นางสั่งให้แม่นมโจไปจัดการเื่แล้วแท้ๆ ไหนเลยจะยอมให้เฉิงชิงเป็ฝ่ายเหนือกว่าได้
“ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านการสอบเข้าของสถานศึกษาหนานอี๋ การที่เ้าไปหาเื่คนเช่นนี้นับเป็เื่เสื่อมเสียฐานะ”
“เ้าควรเอาแรงไปใช้กับการสอบระดับมณฑลปีหน้า!”
เฉิงกุยรับฟังคำสั่งสอนอย่างจริงใจ “ท่านย่า ข้าผิดไปแล้ว ข้าเปลืองแรงเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ที่ไม่เกี่ยวข้อง ในเมื่อเกิดเื่ขึ้นแล้ว ข้าก็ควรรีบบอกท่านั้แ่เนิ่นๆ”
ฮูหยินผู้เฒ่าจูตบโต๊ะเสียงดัง
“เ้ารู้ตัวว่าผิดก็ดี ความผิดของเ้าก็ต้องให้ผู้าุโเป็คนสั่งสอน หาใช่เื่ที่คนนอกจะมาจัดการได้”
เฉิงกุยเอ่ยถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “หรือท่านคิดว่าข่าวลือในอำเภอตอนนี้สร้างขึ้นโดยเฉิงชิง?”
เฉิงชิงอายุเพียงเท่าไรเอง ไหนเลยจะมีความสามารถในการควบคุมข่าวลือได้
เฉิงกุยกลับรู้สึกว่าน่าจะเป็นางหลิ่ว
ภรรยาคนที่สองของท่านลุงใหญ่เฉิงจือหย่วนท่านนี้อาจมิใช่คนไร้พิษสงเฉกเช่นรูปลักษณ์ ภายนอกที่ดูอ่อนแอแท้ที่จริงแล้วเก็บซ่อนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเอาไว้
“จะเป็ใครก็ไม่ต้องตระหนกไป ถึงอย่างไรเสีย…”
แม่นมโจวรีบเดินมาอย่างรวดเร็ว “ฮูหยินผู้เฒ่า นายน้อยเฉิงชิงอยู่ที่หน้าประตู เขา…”
ฮูหยินผู้เฒ่าจูเปลี่ยนหัวข้อทันที
“ใจกล้าดีนี่ ยามนี้ยังกล้ามาบุกถึงที่!”
สีหน้าของแม่นมโจวดูแปลกประหลาด คล้ายอยากจะเอ่ยคำแต่ก็ยั้งไว้
ฮูหยินผู้เฒ่าจูขมวดคิ้ว “แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเดียว เ้ายังกลัวขนาดนี้ หรือเขายังก่อเื่อะไรอีก?”
แม่นมโจวรายงานเสียงต่ำ ฮูหยินผู้เฒ่าจูพลันโกรธเกรี้ยว
เฉิงชิงเชื่อว่าตนไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ
นางไม่อาจมาตัวเปล่าให้บ้านรองขับไสไล่ส่ง ถึงแม้จะเสี่ยงเสียหน้าแต่ก็ยัง้าที่จะลากบ้านรองลงน้ำไปด้วยกัน ถึงอย่างไรส่วนใหญ่นางก็ยัง้ารักษาหน้าไว้ เพื่อที่เวลามีใครมาก่อกวนหาเื่ นางจะได้เรียกฝ่ายตรงข้ามว่าไร้ยางอายได้เต็มปาก
นิสัยเช่นนี้มักถูกพ่อของนาง… อ้อ ไม่ใช่เฉิงจือหย่วน แต่เป็คำวินิจฉัยของพ่อตอนที่นางยังไม่ทะลุมิติมาที่นี่ บอกว่านางมีนิสัยรักการต่อสู้เกินไป
เด็กผู้หญิงน่ะ ครอบครัวมีฐานะดีก็พอแล้ว แค่นอนเสวยสุขดีๆ ไม่ได้หรือ
แน่นอนว่าไม่ได้
นางไม่ยอมเป็คุณหนูโง่เง่าที่กินดื่มเที่ยวเล่นถึงอายุยี่สิบกว่าแล้วแต่งออกไปพร้อมสินเดิมของครอบครัวจำนวนหนึ่ง แล้วทรัพย์สินส่วนใหญ่ของครอบครัวก็ยกให้พี่ชายน้องชายอย่างเลอะเลือน
ถือสิทธิ์อะไร!
นางฉลาดกว่าพวกไม่มีอะไรดีพวกนั้นชัดๆ แต่เป็เพราะเพศเลยไม่อาจสืบทอดกิจการของที่บ้านได้งั้นหรือ?
ก่อนจะทะลุมิติ นางใช้เวลาหลายปีในการพิสูจน์ตัวเองว่าแข็งแกร่งกว่าลูกชายคนอื่นๆ ไม่ง่ายเลยที่จะได้รับความเห็นชอบจากพ่อที่้าจะส่งต่อกิจการของที่บ้านมาไว้ในกำมือของเธอ คาดไม่ถึงว่าดันต้องมาทะลุมิติแบบนี้ เฉิงชิงไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้สึกอยากต่อว่า แต่เป็เพราะยังมีสติอยู่ ระหว่างด่าทอความเป็จริงที่เกิดขึ้นกับเผชิญหน้าอย่างกระตือรือร้น แน่นอนว่านางเลือกอย่างหลัง
เริ่มแรกนางคิดเก็บตัวเงียบสักหลายปีก่อน จากนั้นทำความเข้าใจคดีของเฉิงจือหย่วน พอนางตั้งตัวในแคว้นเว่ยได้แล้วค่อยว่ากันอีกที ทว่าสถานการณ์กลับไม่เป็ใจ… เื่นี้นางอยากจะอดทนอย่างเงียบเชียบแล้ว ถึงจะผิดต่อข้อเท่าที่บวมเป่งกว่าครึ่งเดือนของนางหลิ่วก็เถอะ รอเข้าไปในสถานศึกษาหนานอี๋ได้แล้ว คนที่อยากจะบีบลูกพลับนิ่ม[1]อย่างนางย่อมมีไม่น้อยแน่!
ผู้ที่มีประสบการณ์ต่อสู้มาหลายปีอย่างเฉิงชิงรู้ว่าเด็กที่ก่อเื่วุ่นวายถึงจะเป็เด็กที่มีนมดื่ม แน่นอน จะสร้างเื่วุ่นวายอย่างไรนั้นก็ต้องเลือกเฟ้นวิธีการอย่างระมัดระวัง
ก็เหมือนเช่นตอนนี้
เฉิงชิงอยู่หน้าประตูบ้านรอง ร้องขอเข้าพบฮูหยินผู้เฒ่า ทว่าเ้าตัวกลับไม่รีบเข้าไป
ข้างเท้าวางกล่องใบหนึ่งที่เปิดอยู่ เหรียญทองแดงอัดแน่นในกล่องถึงขั้นล้นออกมานอกกล่องเป็จำนวนมาก
มือของเฉิงชิงยังถือถาดใบหนึ่ง ถาดไม้สีดำนั้นรองก้อนเงินสีขาว มองแล้วช่างดึงดูดสายตายิ่งนัก
บนถาดยังมีถุงผ้าฝีมือประณีตอีกจำนวนหนึ่งซึ่งใช้หลอกว่าเป็ของขวัญพบหน้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าจูมอบให้ยามเรียกพบ
นางจ้างคนทำกล่องเหรียญทองแดงปลอม ถือเดินั้แ่ตรอกหยางหลิ่วมาถึงหน้าประตูบ้านรองอย่างเปิดเผยตลอดทาง กว่าครึ่งอำเภอหนานอี๋ล้วนรู้กันโดยทั่วว่านางมุ่งหน้าไปบ้านรองเพื่อคืนเงิน
เศรษฐีเฒ่าเหอผู้โอบอ้อมอารีที่มองเห็นมาแต่ไกลพลันเดินเข้ามาหา
“เ้าหนุ่มเฉิง ครั้งนี้เกิดเื่อะไรขึ้นมาอีกล่ะ?”
เฉิงชิงยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านเศรษฐีเหอ สองวันที่ผ่านมานี้ท่านไม่ได้ยินข่าวลือโคมลอยภายในอำเภอหรือ ทั่วทั้งอำเภอหนานอี๋ต่างถกเถียงกัน บอกว่าข้าและคนที่บ้านกลับมาเพื่อจะได้สะดวกต่อการรีดไถบ้านรอง! ข้ายังมีพี่สาวอีกสามคนที่ยังมิได้ออกเรือน ตัวข้าเองก็้าเป็บัณฑิตสอบได้คุณวุฒิ ชื่อเสียงเช่นนี้ข้าไม่มีทางรับได้ จึงได้แต่เพียงนำเงินสองร้อยตำลึงเงินที่ท่านอาสามมอบให้วันนั้นมาคืนอย่างครบถ้วน รวมถึงคืนของขวัญพบหน้าที่ท่านย่าเลี้ยงมอบให้พร้อมกันเลยด้วย”
เศรษฐีเฒ่าเหอยิ้มอย่างเย้ยหยัน
“ตาแก่อย่างข้าได้ยินข่าวลือแล้ว ที่ว่าญาติผู้พี่เ้าบังคับม้าขู่ขวัญคน เป็เื่จริงหรือไม่?”
เฉิงชิงเอ่ยตอบอย่างจริงจัง “นี่ย่อมเป็เื่เข้าใจผิดแน่นอน ไม่ทราบว่าใครเป็คนเริ่มข่าวลือส่งเดชนี้ขึ้นมา มารดาข้าแม้ข้อเท้าจะพลิกจริง แต่ญาติผู้พี่เฉิงกุยไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย!”
คนที่บังคับม้าข่มขู่คนไม่ใช่เฉิงกุย เช่นนั้นครอบครัวของเฉิงชิงเป็ญาติผู้ยากไร้จอมรีดไถก็ต้องเกี่ยวข้องกับเฉิงกุยจริงน่ะสิ?
เศรษฐีเฒ่าเหอรังเกียจวิธีไร้ยางอายของบ้านรองเป็อย่างมาก ร่ำเรียนได้ดีแล้วมีประโยชน์อันใดเล่า หากนิสัยโหดร้ายเช่นนี้แล้วได้เป็ขุนนาง ในอนาคตจะเห็นใจชาวประชาได้หรือ!
ฮูหยินผู้เฒ่าจูถูกเฉิงกุยประคองมาถึงยังหน้าประตู เมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้นก็แทบจะลื่นล้ม… เ้าเฉิงชิงนี่ สมควรตายยิ่งนัก หากเป็เช่นนี้ต่อไป ชื่อเสียงของกุยเอ๋อร์จะต้องถูกทำลายเป็แน่!
[1] ลูกพลับนิ่ม หมายถึงคนที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกได้ง่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้