ไม่ว่าพ่อลูกสกุลเฉินจะสนทนาอะไรกันต่อจากนั้น พวกลู่เสี่ยวหมี่ยังคงเดินหน้าเลือกหาสินค้าที่้ากลับบ้านตามเดิม
เช้าวันรุ่งขึ้นยังไม่ทันเที่ยง เถ้าแก่เฉินก็นำรถม้าสองคันมาถึงบ้านสกุลลู่ พวกเขานำกระสอบไข่ดินมามากมาย
เสี่ยวหมี่ไม่สะดวกให้คนนอกเข้าไปในเรือนกระจกของนาง จึงเอาเนื้อกระต่ายหม่าล่ามาหลอกล่อให้เกาเหรินและพี่รองลู่เป็คนยกของแทน
เฝิงเจี่ยนเองก็ยกแขนเสื้อขึ้นเข้ามาช่วยเหลืออีกแรง
น่าเสียดาย เขาไม่เคยทำงานหนักเช่นนี้มาก่อน แขนเสื้อร่วงลงมาถูกกระสอบขีดข่วนเป็รอย
เสี่ยวหมี่เห็นแล้วก็สงสาร จึงเข้าไปช่วยเขายกแขนเสื้อขึ้น พอดีหลิวเสี่ยวเตาได้ยินข่าวจึงตั้งใจจะมาช่วยอีกแรง เมื่อเห็นท่าทีสนิทชิดเชื้อของคนทั้งสอง เขาจึงหันหลังกลับทันที
เสี่ยวหมี่ย่อมไม่ทันสังเกตเห็น กลับเป็ผู้เฒ่าหยางที่ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง บ้านสกุลลู่ที่ครึกครื้นมาทั้งวันก็ค่อยๆ สงบลง วันนี้พวกผู้หญิงไม่ได้มารวมตัวเย็บตุ๊กตากัน ในที่สุดเสี่ยวหมี่ก็ได้นอนแต่หัวค่ำกับเขาบ้าง ในห้องนอนหลักที่เรือนหน้า สองพี่น้องสกุลลู่นอนหลับกรนเสียงดังจนฟ้าแทบถล่ม มีเพียงห้องของบิดาลู่ที่ตะเกียงยังสว่างไสว เงาสะท้อนจากแสงตะเกียงส่องให้เห็นเงาร่างผอมที่โยกศีรษะไปมา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจมอยู่กับการอ่านตำรา
ที่ห้องพักฝั่งตะวันออก เฝิงเจี่ยนนายบ่าวเองก็อาบน้ำล้างตัวเรียบร้อยขึ้นเตียงกันแล้ว เกาเหรินยังคงซุกซนเช่นเดิม เขาะโขึ้นไปนั่งบนคานใต้หลังคากินของว่างชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่จนหมดแล้วถึงะโกลับลงมาซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม
ผู้เฒ่าหยางยิ้มน้อยๆ ถามว่า “เ้าไม่บ้วนปากก่อนหรือ เสี่ยวหมี่บอกแล้วนะว่า เด็กน้อยกินขนมเสร็จแล้วไม่บ้วนปากจะฟันผุ”
“ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย” เกาเหรินกลอกตา ท่าทีดุร้ายเป็ที่สุด ผู้เฒ่าหยางไม่สนใจเขา ค่อยๆ พับเสื้อคลุมให้เรียบร้อย แล้วจึงเอนกายลงนอน
เกาเหรินเห็นว่าผู้เฒ่าหยางและเ้านายของตนหลับตาแล้ว ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกไปบ้วนปาก จากนั้นจึงเป่าตะเกียงให้ดับ แล้วคลุมผ้าห่มปิดถึงศีรษะ
ในความมืดผู้เฒ่าหยางและเฝิงเจี่ยนต่างก็ยกยิ้มมุมปาก
“เกาเหริน วันพรุ่งนี้ส่งจดหมายไปให้เสวียนิ ให้เขาช่วยเฉินซิ่นอีกแรง” เฝิงเจี่ยนออกคำสั่งเสียงเบาท่ามกลางความมืด แต่เกาเหรินที่มุดศีรษะอยู่ในผ้าห่มได้ยินชัดเจน
เขาขยับตัวน้อยๆ ก่อนตอบรับอย่างไม่พอใจว่า
“รู้แล้ว”
เสี่ยวหมี่ที่เรือนหลังกำลังหลับฝันหวานโดยไม่รู้ว่ามีคนกำลังกางปีกปกป้องให้นางอิงแอบอยู่ในความอบอุ่นที่แสนปลอดภัย
นางกำลังฝันดี ใบหน้าขาวสะอาดจิ้มลิ้มจึงปรากฏรอยยิ้มออกมา
ส่วนทางด้านเถ้าแก่เฉิน เขาลากบุตรชายมากำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็ส่งบุตรชายกลับเมืองหลวงไปั้แ่ตอนที่ประตูเมืองเปิดในวันรุ่งขึ้น
สกุลถังเป็สกุลใหญ่ที่แม้แต่เมืองห่างไกลอย่างอันโจวยังรู้จัก ไม่มีทหารเฝ้าประตูคนไหนกล้าเก็บค่าผ่านประตูจากเขา
แต่ตัวเฉินซิ่นคิดว่าบิดามารดายังต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เขาจึงยืนยันจะให้สินน้ำใจเป็เงินสองตำลึงด้วยท่าทีนอบน้อม ทำเอาพวกทหารดีใจจนถึงกับเดินตามไปส่งเขาระยะหนึ่งด้วย
อันโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงอย่างน้อยหนึ่งพันลี้ บวกระยะเวลาระหว่างทางที่ต้องพักแรมรับประทานอาหารเข้าไปอีก
ครึ่งเดือนให้หลังในยามบ่าย คณะของเฉินซิ่นถึงจะเดินทางมาถึงประตูทิศเหนือของเมืองหลวง มีพ่อบ้านชั้นผู้น้อยของสกุลถังมารอรับอยู่ก่อนแล้ว เฉินซิ่นซักถามอย่างละเอียดว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ในบ้านใหญ่และร้านรวงต่างๆ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ เมื่อได้ความว่าไม่มีเขาก็วางใจ
หน้าประตูเรือนสกุลถังยังคงครึกครื้นเช่นเคย มีเหล่าบัณฑิตถือป้ายประจำตัวมาขอเข้าพบ หวังว่าจะได้รับการดูแลจากเ้านายสกุลถัง เพื่อชักนำให้พวกเขาได้มีโอกาสไปโผล่หน้าค่าตาต่อหน้าเว่ยหย่วนโหวบ้าง ยังมีพ่อค้าจากทั่วทั้งแคว้นที่เมื่อเดินทางเข้าเมืองหลวงมา ก็ต้องรีบมาคารวะเถ้าแก่ที่แท้จริงของพวกเขา สรุปว่า มีคนหลากหลายรูปแบบเข้ามาเพื่อประจบสอพลอ
เฉินซิ่นเข้าจวนผ่านทางประตูข้าง เขากำลังเตรียมจะไปผลัดอาภรณ์แล้วจะได้รีบไปรายงานเ้านายของเขา กลับเห็นคุณชายสามถือแส้ม้าเดินเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้านหลังมีเด็กรับใช้จูงม้าสีดำพ่วงพีสูงใหญ่ตามหลังมา
เฉินซิ่นรีบหลบไปข้างทาง และค้อมเอวลงน้อยๆ
คุณชายสามสกุลถังยามปกติเรียนหนังสือไม่เก่ง วรยุทธ์ไม่ได้เื่ ยิ่งเื่ทำการค้ายิ่งไม่ต้องพูดถึงมีแต่ขาดทุน ทว่าตัวเขากลับมีนิสัยเ้าสำราญ ชอบสวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ อาภรณ์ฉูดฉาดไม่พอยังชอบผัดหน้าขาว ทาชาดแดงจัดเหมือนอิสตรี
หากเป็กลางวันก็ยังดี แต่หากบังเอิญเจอยามค่ำคืน เกรงว่าคนขวัญอ่อนคงจะต้องร้องจ๊ากว่า ‘ผีมา’ แน่นอน
เฉินซิ่นลอบนินทาอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับไม่เผยออกมาแม้แต่น้อย
น่าเสียดาย คุณชายสามสกุลถังคล้ายว่าจะได้ยินเสียงในใจเขา เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเขาก็หยุดลง แค่นเสียงเ็าถามว่า “แหม นี่ไม่ใช่เถ้าแก่เฉินมือดีที่สุดของพี่รองหรอกหรือ กลับมาแล้วหรือนี่ ครั้งหน้าอย่าหายไปนานเช่นนี้อีกเล่า ไม่มีเ้าคอยช่วย กิจการสกุลถังของเราก็แทบจะทำต่อไปไม่ได้แล้ว”
ประโยคนี้ช่างชั่วร้ายนัก กิจการสกุลถังใหญ่โต ในมือของคุณชายใหญ่และคุณชายรองมีการค้ามากมาย ทั้งยังมีเถ้าแก่มากฝีมืออยู่ภายใต้การควบคุมหลายคน หากเถ้าแก่คนอื่นมาได้ยินเข้าเขาก็แย่น่ะสิ วันหน้าจะทำงานอะไรอย่าว่าแต่คนอื่นเลย บรรดาเถ้าแก่ที่อยู่ภายใต้คุณชายรองเช่นเดียวกันกับเขาก็คงจะหาทางขัดแข้งขัดขาแน่นอน
“คุณชายสามชมเกินไปแล้วขอรับ บ่าวโง่เขลา เพียงทำงานตามหน้าที่ ความสามารถเทียบกับเถ้าแก่คนอื่นไม่ได้หรอกขอรับ”
คุณชายสามสกุลถังแค่นเสียงเ็า ยามที่คิดจะพูดอะไรอีก ด้านหลังกลับมีคนเดินมา ชายคนนั้นรวบผมกลางศีรษะครอบไว้ด้วยกวานหยก สวมผ้าไหมชั้นดี ใบหน้าธรรมดาแต่กลับดูใจดีมีเมตตา “น้องสาม เ้าไม่ได้บอกว่าจะไปคารวะท่านป้าหรือ เหตุใดยังไม่ออกจากบ้านอีกเล่า อีกประเดี๋ยวเกรงว่าท่านโหวจะประชุมเช้าเสร็จแล้วนะ”
“ขอบคุณพี่รองที่เตือนขอรับ”
มารดาของคุณชายสามสกุลถังเป็น้องสาวแท้ๆ ของฮูหยินเว่ยหย่วนโหว มารดาของเขาเป็ซวี่เสียน [1] ของนายท่านถังผู้นำตระกูล ส่วนมารดาของคุณชายใหญ่กับคุณชายรองเป็ภรรยาผูกผมของนายท่านถังซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น คุณชายสามถังจึงมักเข้าออกจวนเว่ยหย่วนโหวอยู่บ่อยครั้ง แต่เว่ยหย่วนโหวที่เป็ชายชาตินักรบไม่นิยมชมชอบเขาที่ดูคล้ายอิสตรีเช่นนี้ ทุกครั้งที่เจอกันก็มักจะดุเขาอยู่เสมอ ทำให้เขามักจะหลบเลี่ยงเหมือนหนูกลัวแมว
ยามนี้เมื่อได้ยินพี่รองเปิดโปงจุดอ่อนของเขา เขาได้แต่กัดฟันรับคำแต่ไม่กล้าโวยวายออกมา อย่างไรเสียนายท่านถังก็มักเน้นย้ำให้บรรดาบุตรชายรักสามัคคีกัน หากเขากล้าก่อเื่ทะเลาะวิวาท คาดว่าเบี้ยรายเดือนที่ถูกหักไปครึ่งเดือนจะไม่พอเสียแล้ว
แต่หากเขาไม่ได้ระบายความโกรธนี้ออกไป เขาก็รู้สึกยากจะทานทน เขาจึงตวัดแส้ไปโดนเด็กรับใช้ด้านหลัง “บ่าวสมควรตาย ข้าไว้หน้าเ้ามากเกินไปหรือ ยังไม่รีบเดินอีก วันหลังจะต้องหวดเ้าให้หลังลาย”
ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ ตอนที่เขาตวัดแส้นั้นมันเฉียดผ่านแก้มซ้ายของเฉินซิ่นไป แก้มของเขาจึงปรากฏรอยเืจางๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนบนใบหน้า
แต่คุณชายสามราวกับตาบอด มองไม่เห็นแม้แต่น้อย ยังคงะโด่าเด็กรับใช้ของตนต่อไป
สายตาของคุณชายรองปรากฏความรังเกียจ แสดงท่าทีบอกให้เฉินซิ่นตามเขาไปที่ห้องหนังสือ เพียงไม่นานก็มีเด็กรับใช้นำยาเข้ามาให้ เฉินซิ่นย่อมปฏิเสธ แต่คุณชายรองยังยืนกรานจะทายาให้เขาเอง เสร็จแล้วก็ถึงกับลุกขึ้นกล่าวขออภัย “ฉางเหริน ทำให้เ้าต้องคับข้องใจแล้ว ยามปกติเ้าต้องลำบากขึ้นเหนือล่องใต้แทนข้าก็ช่างเถอะ ยามนี้ยังต้องมาเจ็บตัว...”
“คุณชายรองกล่าวหนักเกินไปแล้ว กาลก่อนยามที่เผชิญกับโจรป่าถึงแม้จะบอกว่าข้าเคยช่วยคุณชายรองรับดาบไปครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ได้คุณชายรองคอยดูแลสั่งสอน แม้แต่ร้านค้าเล็กๆ ของบิดาก็ได้รับการดูแลจากคุณชายรองไม่น้อย ข้าน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
แน่นอนว่าเฉินซิ่นไม่ใช่เด็กอายุสิบขวบที่จะเชื่อว่าพวกเ้านายจะเห็นคนอย่างเขาเป็สหายได้จริงๆ สีหน้าจึงเคารพนอบน้อมอยู่ไม่น้อย ไม่มีท่าทีทะนงตนแต่อย่างใด
เป็จริงดังคาด คุณชายรองถังพอใจเป็อย่างมาก ช่วยรินน้ำชาให้เขา แล้วถึงถามว่า “ผู้าุโที่บ้านสบายดีหรือ?”
“ด้วยวาสนาของคุณชายรอง บิดามารดาข้าต่างแข็งแรงดี ยังกำชับให้ข้าน้อยปรนนิบัติคุณชายรองเป็อย่างดี อันโจวเป็ดินแดนห่างไกลความเจริญ ไม่มีของดีอะไร ฤดูหนาวปีก่อน บิดาข้าบังเอิญได้หนังหมาป่าหิมะมาสองผืน สีขาวบริสุทธิ์ อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะให้คนนำมาให้ คุณชายรองเห็นเป็อย่างไรขอรับ”
“ยังมีเื่ดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ หนังหมาป่าหิมะหาได้ยากนัก อีกไม่กี่วันก็จะเป็วันเกิดของท่านโหวแล้ว จะได้เอาไปเป็ของขวัญให้กับท่านพอดี”
“เป็เพราะอาศัยวาสนาของคุณชายรองทั้งสิ้น ข้าน้อยได้บอกให้ท่านพ่อตั้งใจจับตาดูหนังชั้นดีเอาไว้ หากมีหนังดีๆ ฤดูใบไม้ร่วงครั้งหน้าก็จะให้คนส่งมาขอรับ”
“ดี ยิ่งมากยิ่งดี แต่ต้องลำบากบิดาเ้าแล้ว ให้ราคาสูงกว่าราคาตลาดสองส่วนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณคุณชายรองขอรับ”
เฉินซิ่นลังเลอยู่เล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดเื่ตุ๊กตาออกมา
พูดแล้วก็น่าทอดถอนใจ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเพิ่งออกจากบ้าน เขาตั้งใจจะยึดอาชีพพ่อค้าเร่เป็หลัก โชคร้ายเจออุบัติเหตุ แล้วยังบังเอิญไปช่วยชีวิตคุณชายรองถังไว้ เดิมคิดว่าคนทั้งสองผูกสัมพันธ์เป็สหายกัน มีสกุลถังคอยคุ้มหัว เขาคงทำการค้าได้ไพศาล ที่ไหนได้ คุณชายสูงศักดิ์พวกนี้จะนับพี่นับน้องกับคนอย่างเขาได้อย่างไร ฉากหน้าให้ความเคารพ แต่ที่จริงแล้วก็เห็นเขาเป็ดังคนรับใช้นั่นล่ะ ยามปกติไม่มีเื่อะไรยังดี แต่หากในอนาคตพี่น้องสามคนของสกุลถังแย่งสมบัติกัน เกรงว่าเขาคงจะถูกดันออกไปรับดาบเป็คนแรก
เขามีใจคิดจะไปจากที่นี่ แต่จะล่วงเกินคุณชายรองก็ไม่ได้ จึงต้องฝืนทนต่อไป
ไม่รู้เพราะเหตุใด ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งพบเฝิงเจี่ยนไปครั้งเดียว ก็ราวกับได้พบปีศาจก็ไม่ปาน รู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่นอน บางทีชายคนนี้อาจจะช่วยหยิบยื่นโอกาสที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยหาได้มาให้ก็เป็ได้
ดังนั้นเื่ที่ลู่เสี่ยวหมี่ให้เขานำตุ๊กตามาขายจะให้คนสกุลถังรู้ไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงสนทนาสัพเพเหระอีกครู่หนึ่งแล้วจึงขอตัวจากไป
เมื่อจัดการของที่ขนมาจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาถึงว่างลงเสียที จากนั้นจึงเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ตั้งใจจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ไปดูร้านรวงต่างๆ ว่าพอจะขายตุ๊กตาพวกนั้นไปอย่างไรได้บ้าง
เอาไปฝากขายย่อมเป็วิธีที่เหนื่อยน้อยหน่อย แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
เมืองหลวงเป็สถานที่อันครึกครื้นและเจริญก้าวหน้าที่สุด ต่อให้ใกล้ค่ำแล้ว ก็ยังมีคนเดินขวักไขว่
ได้ยินว่าท่านผู้นั้นในวังหลวง เพราะองค์หญิงน้อยเขียนกวีเป็แล้ว จึงมีราชโองการยกเลิกกำหนดเวลากลับเข้าเคหสถานในยามวิกาลเป็เวลาสามคืน เรียกได้ว่าเป็ฮ่องเต้ที่หลงบุตรสาวที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่กลับปฏิบัติต่อบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างเข้มงวด แม้แต่คนอย่างเฉินซิ่นที่ไม่ค่อยนิยมสอดรู้เื่ชาวบ้านนัก ก็ยังสามารถร่ายออกมาได้ว่าเป็เื่ใดบ้าง
แน่นอนเื่ของราชวงศ์์ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับเขา สำหรับเขามันเป็เื่ที่อยู่ห่างไกลจนเกินไป เขายังคงกลับมาคร่ำเคร่งว่าจะหาทางขายตุ๊กตาออกไปอย่างไร ทั้งยังต้องขายออกไปในราคาสูงด้วย
น่าเสียดาย เดินดูอยู่กว่าครึ่งชั่วยามก็ยังไม่เจอที่ดีๆ สุดท้ายก็ทำได้เพียงเข้าไปพักเท้าในร้านน้ำชา
ร้านน้ำชาแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ดีที่เงียบสงบ ที่ชั้นล่างไม่มีเวทีแสดงละครเอะอะ ส่วนชั้นสองก็มีห้องส่วนตัวเล็กๆ หากเปิดหน้าต่างออกไปก็จะมองเห็นทิวทัศน์ยามค่ำคืน การได้ยกถ้วยชาร้อนๆ ขึ้นเป่าพลางมองออกไปนอกหน้าต่างชมทิวทัศน์ด้านนอกนับเป็เื่ที่ผ่อนคลายอย่างยิ่งเื่หนึ่ง
ตอนที่เฉินซิ่นกำลังรินน้ำชานั้น ห้องข้างๆ ก็มีแขกเข้ามา โรงน้ำชาแห่งนี้ไม่ได้ใช้อิฐในการกั้นห้อง ใช้เพียงแผ่นไม้กระดาน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจกั้นเสียงได้
ดังนั้น ่เวลาอันสงบสุขของเฉินซิ่นจึงสิ้นสุดลงแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ซวี่เสียน(续弦)หมายถึงภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่หลังจากที่ภรรยาเอกคนแรกเสียไปแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้