“ร่างกายของเสด็จอาไม่สบายบริเวณใดเพคะ?” มู่จื่อหลิงเบิกตาอย่างไม่เข้าใจ
เดิมนางจับชีพจร ควรจะพูดตอบไปว่าร่างกายขององค์หญิงใหญ่มีปัญหาใด
ทว่าเท่าที่นางตรวจดูร่างกายขององค์หญิงใหญ่ปกตินัก องค์หญิงใหญ่ยังกล่าวว่าร่างกายไม่ใคร่สบาย เช่นนั้นนางก็จะถือว่าร่างกายองค์หญิงใหญ่ไม่สบายจริงๆ
ถ้านางจับชีพจรตรวจออกมาไม่ได้ก็ว่าไปอย่าง ทว่าแม้แต่ระบบซิงเฉินอันทรงประสิทธิภาพยังตรวจออกมาว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่เหตุใดองค์หญิงใหญ่ยังพูดว่ามีกัน
มู่จื่อหลิงไม่กล้าพูดมั่วซั่ว ทั้งๆ ที่องค์หญิงมิได้ป่วย ยังพูดว่าตนเองป่วย นางยามนี้แน่ใจได้แล้วว่าองค์หญิงใหญ่กำลังหยั่งเชิงนาง หากล้มป่วยจริงๆ ก็ควรพบหมอหลวงก่อน จะมาพบนางแบบไม่มีที่มาที่ไปได้อย่างไร
แต่ว่าองค์หญิง้าทดสอบอันใดนางก็ไม่รู้ นางต้องระวังให้มาก
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้แปลกใจเลยที่มู่จื่อหลิงถามเช่นนี้ นางเหมือนจะรู้ว่ามู่จื่อหลิงตรวจออกมาว่าร่างกายนางไม่มีปัญหา
“ทำไม เ้าดูไม่ออกหรือ?” องค์หญิงใหญ่ตั้งใจเลิกคิ้วขึ้น โยนคำถามกลับไปให้มู่จื่อหลิง ด้วยท่าทางเ้าเป็หมอยังดูไม่ออก แล้วข้าจะดูออกได้อย่างไร
เมื่อเผชิญหน้ากับการจงใจให้นางลำบากขององค์หญิงใหญ่ มู่จื่อหลิงก็หาได้ไม่รู้ แต่ว่านางไม่สนใจ
“หม่อมฉันพอรู้บ้างแล้ว แต่เสด็จอานั้นคงจะเข้าใจร่างกายของเสด็จอาเองมากกว่าหม่อมฉัน พระองค์ต้องตรัสออกมาว่ารู้สึกไม่สบายตรงใด หม่อมฉันจึงจะกล้าวินิจฉัยก่อนหนึ่งก้าว” มู่จื่อหลิงไม่อ่อนข้อโดยสิ้นเชิง ทั้งที่มิได้เจ็บป่วย ก็จะให้ตนเองมีโรคภัยให้ได้ คิดว่านางโง่งมหรือ
หากนางบอกว่าองค์หญิงใหญ่มิได้เจ็บป่วย เช่นนั้นก็เปิดโปงว่าเมื่อครู่องค์หญิงพูดปด แต่หากนางพูดว่าองค์หญิงเจ็บป่วย เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางพูดปด ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ล้วนผิด นางไหนเลยจะมิให้องค์หญิงใหญ่พูดออกมาด้วยตนเอง
องค์หญิงเห็นมู่จื่อหลิงไม่อ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากแดงก็ยกยิ้มน้อยๆ อย่างรู้เท่าทัน ต้องพูดว่ามู่จื่อหลิงเป็ผู้ที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง ไม่เพียงแค่เข้าใจความนัยของคำพูดนาง แล้วยังรู้จักพลิกแพลงอีกด้วย ข่าวที่ว่านางโง่เขลาอันใดนั้นเชื่อมิได้แม้แต่น้อย
แต่ในเมื่อนางพูดแล้วว่าตนเองไม่สบาย ย่อมต้องให้นางไม่สบายจริงๆ นางจึงสุ่มแต่งเหตุผลขึ้นมาเหตุผลหนึ่ง
องค์หญิงจงใจดึงอาภรณ์ที่ตกจากไหล่ขึ้นมา ลูบหน้าผาก กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาจเป็เพราะ่นี้เปิ่นกงมีระดู จึงรู้สึกครั่นตัว ยามค่ำคืนรู้สึกอ้างว้างนัก ร่างกายเหน็บหนาวยิ่ง”
ได้ยินเช่นนี้มุมปากมู่จื่อหลิงก็กระตุก องค์หญิงใหญ่ผู้นี้หาเหตุผลมิอาจหาได้เหมาะสมกว่านี้ สิ่งที่องค์หญิงใหญ่พูดนี่มันคือความเปล่าเปลี่ยว แต่ความเปล่าเปลี่ยวใช้กับร่างกายองค์หญิงเหมาะสมจริงๆ หรือ?
มู่จื่อหลิงอยากถามยิ่งนัก ทว่านางมิกล้าถามออกมา เพียงแค่องค์หญิงใหญ่ต้องรักษาหน้าตา จึงได้พูดออกมาไม่ทันคิดให้รอบคอบ
“อาการป่วยของเสด็จอาคือระดูไม่ปกติ ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะเขียนเทียบยาให้ เสด็จอาเสวยตามเทียบเสียสองสามวันก็จะหายเป็ปกติ” มู่จื่อหลิงแสร้งไตร่ตรอง
ในเมื่อองค์หญิงใหญ่พูดมาเช่นนี้ นางก็จะสั่งยาบำรุงโลหิตขึ้นมาส่วนหนึ่ง จัดการเสร็จลุล่วงก็จะรีบจากไปโดยไว
นางไม่รู้ว่าที่องค์หญิงใหญ่ตั้งใจเรียกนางมา จากนั้นทำให้นางลำบากใจมีความหมายอันใด นางไม่อยากคิดให้มาก ยามนี้นางเพียงอยากไปให้พ้นจากความถูกผิดของที่แห่งนี้โดยเร็ว
ยามนางเพิ่งเข้ามานั้นไม่ได้รู้สึกอันใด ยามนี้ยิ่งยืนนานยิ่งรู้สึกอึดอัดทรวงอกนัก คงเป็เพราะกลิ่นแป้งและชาดในตำหนักนั้นฉุนเกินไป ทำให้นางหายใจไม่คล่อง นางยังเป็ห่วงเสี่ยวหานที่อยู่ด้านนอกผู้เดียวด้วย
ดวงตางามงดขององค์หญิงใหญ่หรี่ลงน้อยๆ มองมู่จื่อหลิงอยู่พักหนึ่งอย่างเงียบๆ ดูเหมือนพึงพอใจมู่จื่อหลิงนัก
มุมปากของนางโค้งขึ้นช้าๆ “เป็เช่นนี้ก็ดี รบกวนแล้ว”
แต่ว่ามู่จื่อหลิงมิได้คิดอะไร นางพยักหน้า มิได้พูดสิ่งใดอีก เดินไปเขียนเทียบยาที่โต๊ะด้านข้างแล้วนำมาให้องค์หญิงใหญ่ด้วยตนเอง
ขณะนี้เอง ก็มีเสียงอ่อนโยนของพ่อบ้านอันดังมาจากด้านนอก “องค์หญิงใหญ่ คุณชายหลี่มาแล้วขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา พูดจบนางก็ดึงอาภรณ์ที่พึ่งดึงขึ้นลงมาอีกครั้ง นอนบนตั่งคนงามด้วยท่าทางงดงามต่อ ไม่ถือสามู่จื่อหลิงที่อยู่ด้วยเลยแม้แต่น้อย
ทว่าครั้งนี้มู่จื่อหลิงนั้นมิได้มองต่อไป นางเลี่ยงสายตาไปอีกทางตามกาลเทศะ แม้ทรวดทรงองค์เอวขององค์หญิงใหญ่จะยั่วยวนจนผู้อื่นตาโตน้ำลายไหล แต่แนวของนางก็มิได้มีปัญหา ยังไม่ถึงกับไปสนใจอิสตรีผู้หนึ่ง
“เสด็จอามีแขก เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” มู่จื่อหลิงก้มศีรษะน้อยเอ่ยปาก
นางเองก็มิกล้าฟันธงว่าองค์หญิงใหญ่จะปล่อยนางไปเช่นนี้หรือไม่ นางไม่รู้ว่าคุณชายหลี่ผู้นั้นเป็เทพเซียนจากแห่งหนใด เพียงดูจากยามนี้แล้วความสัมพันธ์กับองค์หญิงน่าจะมิใช่ธรรมดา นอกจากนี้ท่าทางขององค์หญิงดูเหมือนไม่คิดจะรั้งตนเองไว้
เป็ดังที่คาดไว้!
“อืม” องค์หญิงใหญ่ปิดดวงตาคู่งาม ตอบรับเสียงเบา
เสียงแ่เบานัก แต่มู่จื่อหลิงที่อยากจะจากไปเต็มทนจึงตั้งหูรอไว้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ นี้พลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ในที่สุดก็สามารถออกไปสูดอากาศสดชื่นได้แล้ว
“หม่อมฉันทูลลา” หลังจากมู่จื่อหลิงส่งเสียงตอบกลับจึงถอยออกมา
ยามนี้เอง ประตูก็ถูกผลักออก บุรุษที่มีรูปโฉมหล่อเหลาก็เดินเข้ามา อาภรณ์สีแดงสูงศักดิ์ เย้ายวนน่าหลงใหล ดวงตาดอกท้อคู่นั้นราวกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองอย่างเรียบเฉย แล้วจึงดึงสายตากลับมาเดินออกไป ด้านหลังกลับมีเสียงหัวเราะหยอกเย้าของบุรุษผู้นั้นดังขึ้น “โอ๊ะโอ อี๋เอ๋อร์ แม่นางสกุลใดกันรูปโฉมจึงล่มเมืองเช่นนี้ แล้วทำไมไปเสียแล้วเล่า ไม่แนะนำให้เปิ่นกงจื่อบ้าง”
“น่าเกลียด เ้ามีเปิ่นกงแล้วยังมิพอหรือ?” องค์หญิงใหญ่ส่งเสียงกระเง้ากระงอด มิได้ไม่พอใจเพราะชายหนุ่มแม้แต่น้อย และมิได้รั้งมู่จื่อหลิงไว้
ได้ยินเสียงกระเง้ากระงอดนี้แข้งขามู่จื่อหลิงก็เกือบอ่อนเปลี้ย ไม่ต้องมองนางก็จินตนาการสถานการณ์ข้างหลังได้ กลยุทธ์มหาเสน่ห์ขององค์หญิงดีเยี่ยมจริงๆ โชคดีที่อำนาจจิตใจนางแข็งแกร่งพอ จึงไม่หมดแรงทรุดลงไป
มู่จื่อหลิงจากไปอย่างว่องไว แล้วยังปิดประตูให้ด้วยความหวังดี
ส่วนคนด้านในจะพูดสิ่งใด ทำเื่ไม่เหมาะกับเด็กอันใด นางล้วนฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ตาไม่เห็นนับว่าสะอาด
หลังจากออกมาจากตำหนัก นางไม่พูดพล่าม ลากเสี่ยวหานที่มีสีหน้าฉงนสนเท่ห์รีบร้อนหนีออกไปจากจวนองค์หญิงใหญ่ เหมือนกับด้านหลังมีสิ่งใดไล่ตามอยู่อย่างไรอย่างนั้น
-
พวกมู่จื่อหลิงออกมาจากจวนองค์หญิงใหญ่ นางกำลังจะขึ้นรถม้า ด้านหลังก็มีเสียงร้องเรียกอย่างตื่นเต้นดังขึ้น
“เอ้า พี่สะใภ้สามท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านก็มาหาท่านอาเล็กหรือ?”
เสียงนี้ไม่ใช่หลงเซี่ยวเจ๋อแล้วจะเป็ผู้ใดได้
มู่จื่อหลิงปรายตามองหลงเซี่ยวเจ๋อ มิได้สนใจเขา ลากเสี่ยวหานขึ้นรถม้าต่อ เตรียมจะสั่งให้สารถีออกรถ
หลงเซี่ยวเจ๋อมิได้ไม่พอใจที่มู่จื่อหลิงเมินเขาเลยแม้แต่น้อย ขณะนี้เขากำลังรีบวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น สองเท้าะโตามขึ้นมาบนรถม้า
มู่จื่อหลิงมองหลงเซี่ยวเจ๋อที่ตามตนเองขึ้นรถม้ามาอย่างตื่นเต้น อีกทั้งท่าทางยังดีใจยิ่งกว่าถูกรางวัลเสียอีก ก็อับจนวาจาไปพักใหญ่ แล้วยังทำท่าทีเหมือนกับว่ารถม้าคันนี้เป็ของเขา
นางเคาะศีรษะอย่างปวดหัว เหตุใดไปที่ไหนล้วนได้พบศัตรูผู้นี้กัน ไม่ง่ายดายที่จะได้อยู่อย่างสงบเสียหลายวัน ตอนนี้มาอีกแล้ว
“เ้าไม่ได้มาหาองค์หญิงใหญ่หรือ ตามขึ้นมาด้วยเหตุใด” มู่จื่อหลิงมองใบหน้าตื่นเต้นของหลงเซี่ยวเจ๋อพลางพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“ใครบอกว่าข้ามาหาท่านอาเล็กกัน ข้ารู้ว่าพี่สะใภ้สามอยู่ที่นี่ จึงมาหาพี่สะใภ้สาม” หลงเซี่ยวเจ๋อพูดอย่างหน้าไม่อาย
หลงเซี่ยวเจ๋อลิงโลดกล่าวหยอกล้อ เขามิได้พบพี่สะใภ้สามมาตั้งกี่วัน ครั้งนี้ไม่ง่ายดายนักที่จะได้พบพี่สะใภ้สาม เขาจะปล่อยไปได้อย่างไร
พี่สามไม่ให้เขาไปจวนฉีอ๋อง เช่นนั้นเขาไปกับพี่สะใภ้สามก็ได้ ถือเสียว่าพี่สะใภ้สามพาเขาไปแล้วกัน
ส่วนที่เสด็จพ่อฮ่องเต้มอบหมายให้เขามาเป็ธุระกับท่านอาเล็กนั้นเอาไว้ก่อน อย่างไรเสียก็มิใช่เื่ใหญ่อันใด หากไม่เพราะในวังน่าเบื่อ เขาก็คงไม่มา
มู่จื่อหลิงมองท่าทางพูดโป้ปดลวกๆ ของหลงเซี่ยวเจ๋อก็คร้านจะถามต่อ ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวเขาจะพ่นคำพูดเกินจริงอันใดออกมา
มู่จื่อหลิงส่งสายตาเ้าก็แค่ขี้โม้เท่านั้นไปให้หลงเซี่ยวเจ๋อ มิได้สนใจเขาอีก สั่งให้สารถีออกรถทันที
แต่หลงเซี่ยวเจ๋อก็มิได้สิ้นเปลืองโอกาสก่นบ่นนี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์
หลงเซี่ยวเจ๋อยังคงพูดน้ำไหลไฟดับไปตลอดทาง ถามบ้างไม่ถามบ้าง มู่จื่อหลิงเพียงส่งเสียงอือออสองสามครั้งตอบกลับไปบ้าง
ทว่าครั้งนี้หลงเซี่ยวเจ๋อนั้นนำข่าวที่นางสนใจมาให้นางด้วย ก่อนหน้านี้ไม่นานที่นางจัดการหลงเซี่ยวหลีไป หลงเซี่ยวหลีนั้นเป็ไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ ั้แ่วันนั้นมาเขาล้วนลุ่มหลงอยู่หอนางโลมทั้งวันทั้งคืน เหมาไว้ทั้งหอทันที
ฮองเฮาในคราแรกนั้นไม่สนใจเสียเท่าใด แต่ว่าต่อมาหลงเซี่ยวหลีก็หนักข้อขึ้น ไร้ซึ่งการสำรวมตนอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายก็ทำเสียจนตนเองหมดสติ ถูกคนหามออกมาจากหอนางโลม ฮองเฮาด้วยเหตุนี้เองจึงตรอมใจ
เพราะหลงเซี่ยวหลีเป็องค์ชาย เื่นี่ถูกเผยแพร่ไปรับรู้โดยทั่วกัน ราษฎรในเมืองหลวงนั้นพากันวิจารณ์สนั่นหวั่นไหว เสื่อมเสียเกียรติของราชวงศ์ ขุนนางพลเรือนและกองทัพระดับสูงทยอยถวายฎีกา เรียกร้องให้ฮ่องเต้ชี้แจงพฤติกรรมเสื่อมเสียของหลงเซี่ยวหลีต่อราษฎร
ฮ่องเต้นั้นถูกการต่อต้านของไทเฮา ฮองเฮา ขุนนางพลเรือนและกองทัพทั้งสามฝ่ายกดดันอย่างหนัก สุดท้ายจึงตัดสินพระทัยลงโทษกักบริเวณหลงเซี่ยวหลีหกเดือน เพื่อเป็การตักเตือน
แต่เดิมนั้นมีระยะเวลาแค่สามเดือน เพียงเพราะฮองเฮาไม่ยินยอม ไปขอร้องฮ่องเต้ต่อหน้าพระพักตร์ ฮ่องเต้นั้นไม่ใส่พระทัยและทรงรำคาญการขอร้องของฮองเฮา จึงเพิ่มเข้าไปอีกสามเดือน ทั้งยังรับสั่งว่าหากผู้ใดกล้าไปขอร้อง จะเพิ่มเวลากักบริเวณให้นานขึ้นอีก
มู่จื่อหลิงแย้มยิ้มให้กับการขอร้องโง่งมของฮองเฮา
ต่อหน้าผู้อื่นฮองเฮานั้นไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ซ่อนมีดภายใต้รอยยิ้ม ไม่เลือกวิธีการ ทว่าเมื่อเผชิญกับบุตรตนกลับเปลี่ยนเป็โง่งม แค่กักบริเวณสามเดือนก็รับไม่ได้ แล้วยังไปขอร้องอย่างโง่เขลา สมควรจริงๆ กรรมใดใครก่อกรรมนั้นตามสนอง
หลงเซี่ยวหลีแค่ถูกกักบริเวณหกเดือน นางยังรังเกียจว่าน้อยเลย หากเป็นางคงกักบริเวณเขาไปตลอดชีวิต แต่ว่าพูดแล้ว่นี้นางก็คงเงียบสงบลงได้เสียหน่อย
“พี่สะใภ้สาม ได้ยินว่าครั้งก่อนท่านเข้าวังไปรักษาโรคประหลาดนั่นให้เสด็จพี่ใหญ่ เหตุใดท่านต้องไปช่วยเขาด้วย ให้เขาแตะต้องสตรีไม่ได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” หลงเซี่ยวเจ๋อถามอย่างไม่เข้าใจ
“เ้าคิดว่าข้าอยากถอนพิษให้เขาหรือไง เ้าอยากเห็นเขาฆ่าหมอหลวงจนหมดทั้งวังหรือ?” มู่จื่อหลิงถามอย่างอารมณ์เสีย
ชั่วพริบตาหลงเซี่ยวเจ๋อก็มีท่าทีเข้าใจขึ้นมา “อ้อ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ ยังเป็พี่สะใภ้สามที่จิตใจดี”
ถ้าพี่สะใภ้สามไม่ถอนพิษนั่นให้เสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่ใหญ่ต้องฆ่าคนไปมากกว่านี้แน่ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่า เสด็จพี่ใหญ่แค่งดกิจกามไปไม่กี่วัน เหตุใดจึงกระหายในราคะเพียงนั้น ทำเสียจนตนเองหมดสติไป
หากหลงเซี่ยวเจ๋อรู้ว่าที่หลงเซี่ยวหลีกลายเป็เช่นนี้เป็เพราะมู่จื่อหลิงแอบวางอุบายลับๆ ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกเช่นใด
ตลอดทั้งทางมีหลงเซี่ยวเจ๋อพูดเรื่อยเปื่อย ก็ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปเร็วเป็พิเศษ ราวกับไม่ถึงครู่หนึ่งพวกเขาก็มาถึงจวนฉีอ๋องเสียแล้ว ทว่ามีเพียงหลงเซี่ยวเจ๋อเท่านั้นที่คิดว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขายังไม่ทันลงจากรถม้า ก็เห็นลุงฝูยืนรออยู่ตรงประตูอย่างร้อนรน
เกิดเื่อะไรขึ้นอีกแล้ว?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้