่ไม่กี่วันนี้นางได้ยินสหายร่วมเรียนถกเถียงเกี่ยวกับงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูกันไม่น้อย
บรรยากาศทางวรรณกรรมของอำเภอหนานอี๋นั้นเฟื่องฟู ทุกเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมขึ้น บัณฑิตทุกคนสร้างมิตรภาพผ่านทางวรรณกรรม ที่งานชุมนุมวรรณกรรมมีผู้ที่เปี่ยมความรู้ความสามารถมากมาย ไม่เพียงจะสามารถทำชื่อเสียงให้โด่งดังแต่ยังสามารถได้รับผลประโยชน์อื่นๆ
เดิมทีงานชุมนุมวรรณกรรมที่จัดปีละครั้งล้วนมีนายอำเภอหนานอี๋เป็เ้าภาพ หลายปีที่ผ่านมา สถานศึกษาหนานอี๋มีชื่อเสียงมากขึ้น ขุนนางและคหบดีผู้มีชื่อเสียงบารมีก็ให้เกียรติมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูมากขึ้น งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูก็ยิ่งเรียกเหล่าบัณฑิตให้แห่แหนกันเข้ามา…
เฉิงชิงยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป แต่พอจะรับรู้ความหมายของเ้าอ้วนน้อยได้ว่าอยากไปมาก
“พี่ชุย้าเชิญข้าเดินทางไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมด้วยกันหรือ?”
พุงกลมๆ ของเ้าอ้วนชุยใจนหดกลับ มองไปรอบๆ ซ้ายขวาด้วยกลัวผู้อื่นจะได้ยินเข้า
“เ้าอย่าพูดจาส่งเดชสิ ข้าไม่กล้าเดินทางกับเ้า ที่จริงข้า้าโน้มน้าวเ้าไม่ให้ไปงานชุมนุมวรรณกรรม ได้ยินว่าปีนี้ก็เชิญท่านเ้าเมืองอวี๋… เ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
เฉิงชิงย่อมเข้าใจแน่นอน
ภายในสถานศึกษา นางกับอวี๋ซานเป็ดั่งไม้เบื่อไม้เมา ล่วงเกินบุตรชายของเ้าเมืองอวี๋อย่างร้ายกาจเช่นนี้ ยังจะไปเข้าหาเ้าเมืองอวี๋อีก ชุยเยี่ยนกลัวนางจะเสียเปรียบ เฉิงชิงกล่าวขอบคุณเ้าอ้วนชุยอย่างจริงจัง เพียงแต่มีความคิดไม่ตรงกันเท่านั้น
“หากใต้เท้าอวี๋ได้รับเชิญไป ข้าก็อยากจะไปงานชุมนุมวรรณกรรมดูเสียจริง”
วันนี้ไม่มีทางจะคุยได้แล้วจริงๆ ไม่รู้จักความหวังดีของคนเขาเลยจริงๆ เ้าอ้วนชุยจึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็อยากหัวเราะขึ้นมาอีก หากเป็เพราะเ้าเมืองอวี๋ไปงานชุมนุมวรรณกรรมจึงไม่กล้าไป เช่นนั้นก็คงไม่ใช่เฉิงชิงแล้ว
อาศัยอยู่ในสถานศึกษามาหนึ่งเดือน นางหลิ่วก็ตั้งหน้าตั้งตาคอย พอเห็นเฉิงชิงในสภาพมือเท้าครบกลับมาบ้านแล้วนางหลิ่วจึงคลายความกังวลลง จากนั้นจึงถามเฉิงชิงว่าอยู่ที่สถานศึกษาเป็อย่างไร เฉิงชิงเลือกตอบไปแต่เื่ที่ดี เื่ที่ไม่ดีก็เก็บเงียบเอาไว้
ส่วนการเล่าเรียนเป็อย่างไรนั้น อีกสองวันพอกลับไปยังสถานศึกษา ผลการสอบของเดือนนี้ก็คงจะออกแล้ว
เฉิงชิงประมาณการไว้ว่าตนเองตนเองไม่น่าจะสอบได้ดีเท่าไร
นางอยู่ห้องติงเก้า ในห้องมียี่สิบกว่าคน คะแนนของนางน่าจะอยู่อันดับบน แต่ห้องติงทั้งเก้าห้องเมื่อรวมกันแล้วมีสองร้อยกว่าคน คะแนนของนางก็ไม่น่ามองแล้ว อย่างไรเสียก็พึ่งการท่องจำจนสอบเข้าสถานศึกษามาได้ อีกทั้งเพิ่งจะศึกษาเล่าเรียนได้เพียงไม่กี่เดือน ถึงอยากจะได้อันดับแรกจากคนสองร้อยกว่าคน แต่นางก็ไม่ใช่เด็กมีพร์ที่มีความสามารถมองผ่านตาแล้วจำไม่ลืม!
นายท่านห้าเฉิงย่อมรอคอยคะแนนของนางอยู่เป็แน่
เฉิงชิงกังวลเล็กน้อย ถึงจะหยุดพักสองวันแต่นางก็ไม่อาจปล่อยตัวเองให้ว่าง จึงถือตำราไม่วางเช่นเดิม ในเมื่อตนเองไม่มีพร์ ก็ทำได้เพียงฝากความหวังว่าความเพียรจะชดเชยได้
เพราะว่าเฉิงชิงไม่หยุดพักเลยตลอดวันหยุด เหล่าเด็กซนที่ตรอกหยางหลิ่วจึงถูกผู้าุโในครอบครัวหยิกหูสั่งสอน ให้พวกเขาเรียนรู้จากเฉิงชิง
์ ต้องเรียนอะไรขนาดนี้!
พวกเขาก็ไม่ใช่บุตรหลานตระกูลเฉิงเสียหน่อย ไม่ได้มีพร์ทางด้านการเล่าเรียน
เฉิงชิงนี่แปลกจริง ไม่อยากออกนอกบ้านมาเล่นเลยหรือ?
ส่วนเด็กรับใช้สองคนที่นายท่านห้าเฉิงจัดมาให้ พอเห็นการเล่าเรียนอันยากลำบากของเฉิงชิงแล้ว ยามกลับไปรายงานนายผู้เฒ่าห้าเฉิงก็กล่าววาจาดีๆ แทนเฉิงชิง
มองไม่ออกว่านายท่านห้าเฉิงยินดีหรือโกรธ กลับกำชับให้พวกเขาทำภารกิจอย่างรอบคอบ ห้ามละเลยเฉิงชิงเป็อันขาด
เด็กรับใช้ทั้งสองไตร่ตรองด้วยกันเป็การส่วนตัว ต่างรู้สึกว่านายท่านของบ้านตนไม่เหมือนกับจะให้เฉิงชิงยืมพวกเขาไว้ใช้สอยชั่วคราว แต่เหมือนกับว่าจะยกให้เฉิงชิงระยะยาว ทั้งสองคนไม่ค่อยยินยอมนัก อยู่บ้านห้ามีอนาคตมาก อยู่กับเฉิงชิงนับว่าเป็อันใด ภายในนามเป็นายน้อยคนเล็กของภรรยาคนแรกของบ้านรอง แต่กลับไม่ได้ผลประโยชน์แม้สักนิด หากว่ากันด้วยสมบัติครอบครัว ก็ถือว่ายังดีกว่าบัณฑิตตกยากที่แท้จริงอยู่นิดหน่อย แต่เรียกว่าร่ำรวยไม่ได้แน่นอน!
ยังมีคดีของเฉิงจือหย่วนที่รอการตัดสินอยู่… โธ่เอ๋ย ยิ่งคิดยิ่งเศร้า หากต้องอยู่กับเฉิงชิงระยะยาว นั่นไม่ถือว่าเป็การเนรเทศตนเองหรอกหรือ?
“แต่นายท่านให้ความสำคัญกับนายน้อยเฉิงชิง หากจะมอบพวกเรานายน้อยเฉิงชิงจริงๆ พวกเราที่เป็บ่าวก็ไม่สามารถคัดค้านได้นะ!”
เด็กรับใช้ทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทำได้เพียงปลอบประโลมให้กำลังใจกันและกัน กล่อมตนเองว่าต้องเชื่อมั่นในสายตาการมองคนที่เฉียบคมของนายท่านห้าเฉิง
เฉิงชิงไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเด็กรับใช้ทั้งสอง พอหมดวันหยุดก็สวมเสื้อผ้าและรองเท้าคู่ใหม่ที่นางหลิ่วและเหล่าพี่สาวทำให้กลับไปยังสถานศึกษา เด็กรับใช้ทั้งสองรับใช้นางอย่างกระตือรือร้นมากขึ้นตลอดทาง เป็ห่วงนางยิ่งกว่าตัวนางเอง ด้วยกลัวว่าเฉิงชิงจะตัดใจจากความคิดที่จะศึกษาเล่าเรียน
เมื่อเฉิงชิงกลับมายังสถานศึกษา แน่นอนว่าผลการสอบประจำเดือนก็ได้ประกาศแล้ว
ปกติแล้วการสอบจะไม่เปิดเผยอันดับรายชื่อแจ้งให้ทราบถึงด้านล่างเขา แต่จะเปิดเผยอันดับรายชื่อภายในสถานศึกษา
ห้องติงมีคนทั้งหมดรวมสองร้อยหกสิบเจ็ดคน ครั้งนี้เฉิงชิงสอบได้อันดับที่เก้าสิบเจ็ด
ดีกว่าที่นางคาดการณ์ไว้เล็กน้อย อย่างน้อยก็สอบได้อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก
ชุยเยี่ยนสอบได้แย่กว่านาง อันดับที่หนึ่งร้อยสอง
เฉิงชิงยังไปดูอันดับของห้องปิ่ง ห้องปิ่งมีคนทั้งหมดรวมหนึ่งร้อยแปดสิบห้าคน อวี๋ซานสอบได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ด คะแนนของไอ้สารเลวนี่ดีกว่าที่นางคิดไว้ แน่นอนว่าไม่อาจดูถูก!
เมื่อมองไปยังอันดับรายชื่อของห้องเรียนตัวอักษรอี่ ห้องเรียนตัวอักษรอี่มีจำนวนคนน้อยกว่าเล็กน้อย ทั้งหมดแล้วมีเพียงเก้าสิบสองคน เฉิงกุยอยู่อันดับที่สิบเก้า
ทั้งสองคนย่อมอยากจะรักษาคะแนนในตอนนี้ หากปีหน้าอวี๋ซานสอบผ่านซิ่วไฉก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เฉิงกุยมีความหวังจะสอบผ่านจวี่เหริน… เฉิงชิงรู้สึกถึงความกดดันในทันที ยังไม่ต้องพูดถึงเฉิงกุย คนผู้นี้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็อย่างมาก ไม่มีทางที่จะมาจัดการกับนางอย่างเปิดเผยในทันที แต่อวี๋ซานกลับเป็คนหน้าไม่อายผู้หนึ่ง ตอนอยู่สถานศึกษานั้นเข้ากันกับนางไม่ได้ ปีหน้าหากอวี๋ซานเลื่อนไปยังห้องอี่อย่างราบรื่น เฉิงชิงคงอยู่อย่างยากลำบากยิ่งขึ้น
ก็เหมือนวันนั้นที่เมิ่งไหวจิ่นลงโทษให้พวกอวี๋ซานคัดตำรา เมื่อรุ่นพี่ที่อยู่เหนือกว่าสองระดับสั่ง ถึงลำบากใจแค่ไหนก็ต้องทำ หากอวี๋ซานเลื่อนไปยังห้องอี่อย่างราบรื่น อีกฝ่ายคงคิดหาเื่นางจนตาย
เฉิงชิงเม้มปาก
เสียงกวนประสาทเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“ศิษย์น้องเฉิง ผลการสอบของเ้าอาจจะทำให้ศิษย์พี่เมิ่งเสียหน้าได้นะ ทำไมเล่า ศิษย์พี่เมิ่งดูแลเ้าขนาดนั้น ไม่ได้ดูแลเ้าเป็พิเศษหรือ?”
เฉิงชิงี้เีแม้แต่จะหันศีรษะกลับไป
เปลืองริมฝีปากไปโต้เถียงด้วยก็ไร้ประโยชน์ หากนางทำคะแนนให้ดีขึ้น คนอย่างอวี๋ซานย่อมไม่กล้าที่จะพูดจามั่วซั่วอีก
นางก็ถือว่าเป็หัวกะทิ พอมาถึงราชวงศ์เว่ยก็เริ่มเรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ั้แ่ต้นย่อมต้องมีขั้นตอน
เฉิงชิง้าจะเดินจากไป อวี๋ซานกลับรั้งนางไว้
“เฉิงชิง ได้ยินว่าเ้าอยากจะไปงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูอย่างนั้นหรือ?”
เฉิงชิงหันศีรษะกลับมา “ข้าจะไปไม่ไปงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูแล้วเกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย? อวี๋ซาน เ้ามายุ่มย่ามเกินไปแล้ว บ้านเ้าไม่ได้เป็ผู้จัดงานชุมนุมวรรณกรรม บัณฑิตทั่วทั้งอำเภอหนานอี๋ที่อยากไปย่อมสามารถไปได้!”
อวี๋ซานกอดอกหัวเราะ
“ผู้อื่นสามารถไปได้ ส่วนเ้าน่ะ ข้าแนะนำให้เ้าใคร่ครวญให้ดี ข้าไม่เห็นว่าเ้าจะมีความสามารถด้านวรรณกรรมสักกี่มากน้อย บุตรชายของขุนนางต้องโทษไม่ควรไปทำให้บรรยากาศทางวรรณกรรมอันเที่ยงตรงและมีเกียรติของงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูต้องแปดเปื้อน”
บรรยากาศงานเขียนอันเที่ยงตรงและมีเกียรติบ้าบออะไรล่ะ พูดอย่างกับว่าบัณฑิตทุกคนล้วนกินลมดื่มน้ำค้างไม่ไต่ถามเื่ทางโลก หากไม่ใช่เพื่อประโยชน์อย่างการสร้างชื่อเสียง ผู้ที่ไปงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูจะเยอะขนาดนั้นหรือ?
ความหมายของอวี๋ซานคือนางไม่คู่ควรที่จะไปงานชุมนุมวรรณกรรม เฉิงชิงหัวเราะแล้วจากไปอย่างสุขุม
พอมองอันดับรายชื่อของนักเรียนก็ไม่กล่าวอะไรเลย
ทุกคนย่อมไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์กับเฉิงชิงลึกซึ้งเกินไป แต่อวี๋ซานก็ยกตนข่มคนมากเกินไปแล้ว
อย่าว่าแต่เื่หาเื่เฉิงชิงต่างๆ นานาเลย เด็กหนุ่มเป็คนที่ไม่รู้จักการยับยั้งชั่งใจผู้หนึ่ง บัณฑิตทั่วทั้งอำเภอถูกรับเชิญให้ไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดู แต่เ้าตัวกลับไม่อยากให้เฉิงชิงไป
อวี๋เสี่ยน คุณชายของท่านเ้าเมืองผู้นี้เอาแต่ใจยิ่งกว่าโอรสของฮ่องเต้เสียอีก ถึงทุกคนจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ภายในใจต่างก็รู้สึกเอือมระอา
ยามนั้นเฉิงกุยไม่ได้อยู่ ณ ที่เกิดเหตุ ได้ยินเื่นี้จากปากผู้อื่นก็ยังรู้สึกว่าอวี๋ซานโอหังเกินไป
“หากเขาจะไปก็ให้ไปเถอะ ในท้องตนเองไม่มีน้ำหมึก[1] เมื่ออยู่ที่งานชุมนุมวรรณกรรมก็ไร้วิธีที่จะสร้างชื่อเสียงขึ้นมา อาเสี่ยน เหตุใดเ้าต้องพูดจากระทบกระทั่งด้วย ทำให้สหายร่วมเรียนเอือมระอาเสียเปล่า”
อวี๋ซานยิ้มหยัน
“ทำไมข้าจะไม่้าให้เขาไปเล่า? ข้ากลัวเ้าเด็กนั่นจะขี้ขลาดจนไม่กล้าไปต่างหาก”
ไม่ไปงานชุมนุมวรรณกรรม?
เช่นนั้นจะมีเื่สนุกให้ดูได้อย่างไร
ภายในหนึ่งเดือนมานี้ เฉิงชิงเป็อริกับเขาในทุกๆ ที่ ความอดทนของอวี๋ซานก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว คิดแต่หาโอกาสขับไล่เฉิงชิงออกจากสถานศึกษา
สถานศึกษาหนานอี๋เป็ของตระกูลเฉิง นายท่านห้าเฉิงดูแลเฉิงชิง อวี๋ซานจึงยังหาโอกาสลงมือไม่ได้
เมื่อถึงงานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูที่มีขุนนางคหบดีผู้มีชื่อเสียงบารมีเข้าร่วมมากมาย หากเฉิงชิงทำให้ตระกูลเฉิงอับอายอีกครั้ง สีหน้าของนายท่านห้าเฉิงต้องน่ามองเป็แน่!
เมื่อถึงเวลานั้น นายท่านห้าเฉิงจะยังสามารถคุ้มครองเฉิงชิงได้อยู่หรือไม่?
[1] ในท้องไม่มีน้ำหมึก หมายถึงเป็คนที่ไม่มีวัฒนธรรม ไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้