มู่เฉิงอินรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“ที่แท้น้องหญิงเหยียนก็เป็ถึงผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สอง แข็งแกร่งจริงๆ อีกทั้งแม้จะเป็เพียงผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สองแต่กลับเก่งกาจขนาดเตะคนจนปลิวได้ เช่นนั้นข้ายิ่งต้องพากเพียรให้มากกว่าเดิม มุ่งมั่นเพื่อความก้าวหน้าในระยะแรกและกลายเป็ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สองให้จงได้”
ฮวาเหยียน “...!”
พี่หญิง คำพูดทั้งหลายล้วนโดนท่านกล่าวไปจนหมด ยังต้องให้น้องพูดอันใดอีกหรือ
ทว่าเมื่อเห็นมู่เฉิงอินเบิกบานใจทั้งมีความสุขอยู่เต็มสีหน้า นางก็ใจไม่แข็งพอที่จะขัด ดูท่าว่าพี่หญิงของนางคงฝึกพลังปราณได้ช้าไปสักหน่อยกระมัง...
ช่างมันเถิด ช่างมัน พี่หญิงมู่สบายใจ เช่นนั้นก็ดีแล้ว
“แต่ถ้าข้าอยากเป็เหมือนจวิ้นจู่ฉู่ที่สามารถฝ่าฟันจนไปถึงระดับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่สิบสอง… ไอ้หยา นึกแล้วก็ช่างห่างไกลเหลือเกิน”
มู่เฉิงอินคิดถึงจวิ้นจู่ฉู่ที่เดินผ่านไปเมื่อครู่แล้วถอนหายใจหนัก ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ััได้ว่าในใจนางรู้สึกเปรี้ยวอยู่น้อยๆ
ฮวาเหยียนกำลังคิดว่าจะใช้วิธีใดปลอบอีกฝ่าย ทันใดนั้นกลับได้ยินพี่หญิงเปิดปากอีกครั้งว่า “แต่ไม่เป็ไร ข้าเองก็นับว่าเก่งกาจอยู่ ใช่แล้ว น้องหญิงเหยียน เ้ายังจำองค์หญิงฉู่รั่วหลานได้ใช่หรือไม่ นางยังไม่สามารถปลุกเส้นชีพจรลมปราณได้ ข้าแค่เก่งกาจกว่านางก็ใช้ได้แล้ว ฮึ่ม”
ท่าทีเย่อหยิ่งเล็กน้อยอันเป็เอกลักษณ์ประจำตัวของมู่เฉิงอินปรากฏขึ้นอีกหน
“ทำไมหรือ?”
ฮวาเหยียนถามด้วยรอยยิ้ม
“เพราะองค์หญิงฉู่ผู้นั้นก็ชอบคุณชายใหญ่ตระกูลมู่เช่นกันเ้าค่ะ”
เป็อีกครั้งที่สาวใช้ตัวน้อยนามหลิงหลงแย่งตอบ และโดนมู่เฉิงอินจ้องตาเขียวอีกครา
“ทุกครั้งที่องค์หญิงฉู่พบข้า นางก็มักจับผิดและหาเื่ข้า อีกทั้งยังชอบเข้ามาเตือนข้าอีกด้วย แต่ข้าหาได้กลัวนางสักนิดไม่ นางหน้าตาดีไม่เท่าข้า กาพย์กลอนเพลงบู๊ก็ยอดเยี่ยมไม่เท่าข้า แม้แต่การฝึกพลังปราณของนางก็ดีไม่เท่าข้า แต่กลับมาหาเื่ยั่วยุข้าทุกคราไป หากไม่ใช่เพราะนางเป็องค์หญิง ข้าจะตีนางให้ล้มและเมินนางเสีย เพราะข้ามิได้นำนางมาใส่ใจ”
มู่เฉิงอินกล่าวอย่างโกรธเคือง
คำเหล่านี้เก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ และไม่เคยพูดกับผู้ใดมาก่อนแม้แต่บิดามารดาของนาง มิเช่นนั้นนางต้องได้รับบทเรียนสักคราเป็แน่
ต้องรู้เสียก่อนว่าในสายตาของบิดามารดา นางเป็เด็กดีเสมอมา คุณหนูในห้องหอของตระกูลมู่ที่ทุกย่างก้าวและอิริยาบถล้วนเป็หน้าตาและศักดิ์ศรีของตระกูล
“ใช่แล้ว พี่หญิงมู่เยี่ยมยอดที่สุดเ้าค่ะ”
ฮวาเหยียนยังจะพูดอันใดได้อีก ได้เพียงยกนิ้วโป้งยื่นไปตรงหน้าพี่หญิงของนาง
หลังจากได้เสียงตอบรับในทิศทางเดียวกัน มู่เฉิงอินก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ที่จริงเมื่อคิดดูแล้ว นี่มิใช่นิสัยของบุตรีคนสุดท้องของตระกูลหรอกหรือ องค์หญิงฉู่ที่อาศัยฐานะจนทำให้นางต้องแยกทางกับคุณชายใหญ่ตระกูลมู่ทั้งที่เจรจางานแต่งกันแล้ว ลองบอกเถิดว่าทำเช่นนี้เกินไปหรือไม่
“กล่าวขึ้นมาแล้ว พวกเขาล้วนเป็ลูกหลานของตระกูลฉู่ ทว่าแต่ละคนช่างแตกต่างกันเสียจริง”
ฮวาเหยียนถอนหายใจอย่างอดมิได้
เป็ลูกหลานของตระกูลฉู่เช่นเดียวกัน แต่องค์หญิงฉู่รั่วหลานผู้อกใหญ่กลับไร้สมอง ไม่มีอันใดน่ากล่าวถึง หน้าตาธรรมดาและไร้การฝึกพลังปราณ ในทางกลับกัน การฝึกพลังของจวิ้นจู่ฉู่กลับมิได้เลวร้าย อีกทั้งรูปลักษณ์และบุคลิกภาพยังดีกว่าฉู่รั่วหลานหลายเท่านัก
อ้อ ยังมีอีกเื่
ไท่จื่อชั่วนามตี้หลิงหาน นี่ต่างหากคืออัจฉริยะที่แท้จริง ด้วยรูปลักษณ์อันน่าทึ่งและพื้นฐานพลังยุทธ์ของเขาทำให้คนประหลาดใจยิ่ง สำหรับระดับพลังจอมยุทธ์เช่นเขา คาดว่าแม้แต่ในสี่แคว้นก็เกรงว่าจะมีเขาเป็คนแรก
“คงกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ เพราะถึงแม้พวกเขาจะใช้แซ่ฉู่เหมือนกัน แต่ก็มิได้มาจากบิดามารดาเดียวกัน แน่นอนว่าย่อมต้องต่างกันโดยธรรมชาติ”
มู่เฉิงอินคิดเหตุผลออกมาข้อหนึ่ง
ฮวาเหยียนพยักหน้า “ย่อมใช่”
จากนั้นจึงกล่าวต่อว่า “ไท่จื่อชั่ว... เอ่อ ไท่จื่อผู้นั้นกับองค์หญิงฉู่มิใช่ว่าเป็พี่น้องร่วมบิดาเดียวกันหรือเ้าคะ แต่พวกเขากลับแตกต่างกันเหลือเกิน ห่างชั้นเสียจนเปรียบดั่ง์และพื้นปฐีเลยเ้าค่ะ”
เมื่อมู่เฉิงอินเห็นฮวาเหยียนพูดถึงองค์รัชทายาท นางก็ปิดปากยิ้ม “ไม่อาจเทียบได้อย่างแท้จริง ที่จริงมารดาขององค์รัชทายาทก็คือฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ข้าโชคดีที่เคยได้เข้าพบนางสองสามครั้ง พระองค์สง่าเลิศล้ำ สูงส่งมิสามัญ ทว่ากลับกันองค์หญิงฉู่ผู้นั้น มีข่าวลือว่ามารดาของนางเป็เพียงสาวชาวบ้าน กระทั่งบรรยากาศและการวางตัวก็ไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าได้จริงๆ”
มู่เฉิงอินมิใช่สตรีที่ชอบนินทาคนอื่นลับหลัง แต่กลับเป็ฝ่ายเอ่ยถึงเื่นี้ ฮวาเหยียนรู้ว่าอีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวนาง และนางไม่ใช่คนที่คอยเอาแต่ตั้งรับ หากเป็คนอื่นอีกฝ่ายคงมิอาจพูดเื่เช่นนี้ได้ ฮวาเหยียนรู้ดีว่าพี่หญิงเป็ถึงคุณหนูสูงศักดิ์ ต้องเคยได้เข้าพบฮองเฮาผู้เป็มารดาของตี้หลิงหานเป็แน่
ไม่รู้ด้วยเหตุใด เวลานี้ฮวาเหยียนจึงเริ่มสงสัยในตัวฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบัน นางสงสัยว่าทั้งสองเป็บิดามารดาเช่นใด จึงสามารถเลี้ยงดูบุรุษเ็าเช่นตี้หลิงหานได้
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็องค์รัชทายาทผู้สูงส่งและเป็ที่รักของทุกคน ดังนั้นเขาจึงควรดำเนินชีวิตอย่างเป็อิสระ แต่เหตุใดนิสัยจึงกลายเป็เยี่ยงนั้นกัน?
ฮวาเหยียนนึกถึงั์ตาซึ่งทอประกายเ็าและเย่อหยิ่งคู่นั้น
“ตี้หลิงหานเป็องค์รัชทายาท ทั้งเป็พี่น้องร่วมสายเืกับองค์หญิงฉู่รั่วหลาน แต่เหตุใดองค์รัชทายาทจึงไม่ใช้แซ่ฉู่เล่า?”
ฮวาเหยียนเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว
เมื่อคำถามนี้หลุดออกจากปาก นางก็เห็นมู่เฉิงอินจ้องมาที่ตนอย่างสงสัย “น้องหญิงมิใช่คนต้าโจวหรือ? ทุกคนล้วนทราบเื่นี้ดี”
ฮวาเหยียนปัดผมที่ปรกหน้าผากของตนออก นางควรตอบอย่างไรดี? นางไม่อยากโกหกพี่หญิง
ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นก็ได้ยินมู่เฉิงอินกล่าวว่า “ไม่เป็ไร เื่นั้นไม่ใช่ประเด็น”
ตามมาด้วยการโน้มตัวเข้าใกล้ฮวาเหยียนด้วยท่าทีลึกลับ ก่อนกล่าวว่า “มีข่าวลือว่าตอนที่องค์รัชทายาทประสูติ ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น ท้องนภาเหนือวังหลวงเต็มไปด้วยหมอกสีดำ บางคนเห็นัสีนิลบินวนเวียนอยู่รอบๆ เสียงคำรามของมันดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้า เป็ภาพที่ผู้ใดพบเห็นล้วนไม่อาจลืมได้ลง โหรหลวงทำนายว่านี่คือบัญชาจาก์ บุตรชายคนนี้มีชะตาเป็จักรพรรดิ แต่ลิขิตให้ชีวิตกลับต้องพบเจอความชั่วร้าย พระองค์ต้องใช้แซ่ตี้จึงจะสามารถเจริญพระชนม์ได้อย่างปลอดภัย
ฮ่องเต้ทรงรักใคร่เอ็นดูบุตรชายที่เกิดจากฮองเฮายิ่ง ดังนั้นจึงปฏิบัติตามคำของโหรหลวง โดยการให้องค์รัชทายาทใช้แซ่ตี้”
ฮวาเหยียนตะลึงงัน ตอนที่ประสูติกลับเกิดปรากฏการณ์ผิดปกติบนท้องฟ้า บนโลกนี้มีบางสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายหรือแก้ไขได้จริงๆ
ตัวอย่างเช่นการเกิดของตี้หลิงหาน หรือการข้ามมิติของนาง
“ที่แท้แล้วเป็เช่นนี้”
ฮวาเหยียนพยักหน้า แสดงสีหน้าว่านางเข้าใจ
“องค์รัชทายาทมิได้ประหลาดใจอันใด เขาจะกลายเป็ฮ่องเต้แห่งเมืองต้าโจวของเราในอนาคต และต้องได้สืบทอดราชบัลลังก์อย่างแน่นอน”
มู่เฉิงอินกล่าวต่อ
ฮวาเหยียนยักไหล่และไม่เอ่ยสิ่งใดเพิ่มอีก
“น้องหญิง เ้าสนใจองค์รัชทายาทหรือ?”
เมื่อเห็นว่าฮวาเหยียนกำลังตั้งใจฟัง มู่เฉิงอินจึงถามด้วยสายตาครุ่นคิด ทั้งน้ำเสียงยังมีความกังวลปะปนอยู่เล็กน้อย
ฮวาเหยียนกะพริบตาปริบก่อนพยักหน้า “นิดหน่อยเ้าค่ะ...”
สนใจเป็อย่างยิ่ง หาก้าเอาชนะคู่ต่อสู้ ก็จำเป็ต้องรู้จักคู่ต่อสู้ให้ดี รู้เขารู้เรา เช่นนั้นรบร้อยครั้งจึงจะชนะร้อยครั้ง
อันที่จริงมู่เฉิงอินเพียงถามอย่างขอไปที มิได้คาดหวังว่าฮวาเหยียนจะยอมรับ ยอมรับ...แล้วจริงๆ มู่เฉิงอินและสาวใช้หลิงหลงในัก พวกนางล้วนแสดงออกทางสีหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว
“น้องหญิงเหยียน เื่นั้นแน่นอนว่าย่อมมิอาจเป็ไปได้ เ้าห้ามคิดอันใดกับองค์รัชทายาทเด็ดขาด”
ฮวาเหยียนเห็นปฏิกิริยาใหญ่โตของมู่เฉิงอิน นางพลันเลิกคิ้วคล้ายมีคำถาม
นางจึงได้ยินมู่เฉิงอินกล่าวต่อว่า “น้องหญิง เ้าคงไม่ทราบ ตอนนี้ภายนอกลือกันว่าองค์รัชทายาทมีสตรีในใจแล้ว และคนที่เขาพึงใจก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่”
“หา?”
ฮวาเหยียนไม่คิดว่ามู่เฉิงอินจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ พึงใจคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่? นั่นมิได้หมายถึงนางหรอกหรือ? ฮ่าๆๆ เวลานี้นางจำได้แล้วว่าตี้หลิงหานกัดคอนางแรงเพียงใด ต้องใจหรือ? อย่ามาทำให้ขำเลย เขาเกลียดจนแทบรอไม่ไหวที่จะได้กัดเนื้อและดื่มเืของนางเสียขนาดนั้น
“องค์รัชทายาทกับคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ได้ตกลงหมั้นหมายกันมานานแล้ว เพียงรอให้คุณหนูใหญ่ถึงวัยปักปิ่นก็จะดำเนินงานแต่งทันที แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดเื่ขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน ถึงแม้องค์รัชทายาทจะยอมยกเลิกการหมั้นหมาย ทว่าผ่านไปนานหลายปีก็ยังไม่มีราชโองการอภิเษกสมรสใหม่ ทั้งไม่ทรงอนุญาตให้สตรีคนใดเข้าใกล้ ดังนั้นทุกคนจึงกล่าวว่าองค์รัชทายาทมีความรักที่หยั่งรากลึกต่อคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว องค์รัชทายาททรงยกเลิกการหมั้นเพื่อรักษาหน้าตาของราชวงศ์ แต่ในใจกลับมิอาจลืมคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ได้ ใช่แล้ว สตรีที่เพียบพร้อมอย่างคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ ย่อมคู่ควรกับความคิดถึงของพระองค์เช่นกัน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้