มู่จื่อหลิงคร้านที่จะอธิบายกับเขาอีก จึงส่งสายตาเ้าจะเชื่อหรือไม่ก็เื่ของเ้าให้กับเขา
จากนั้นจึงขึ้นรถม้า หาที่นั่งสบายๆ แล้วปรือตาลง ออกคำสั่งกับสารถีว่าไปได้
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นมู่จื่อหลิงไม่สนใจเขา เขาก็มิกล้าไปตอแยพี่สะใภ้สามที่กำลังหลับ
ตนเองคิดอย่างโง่งมอยู่ด้านข้างว่าพี่สะใภ้สามใช้วิธีการใดมาทำให้เถ้าแก่เย่ผู้นั้นขายร้านค้าให้
ทันใดนั้น หลงเซี่ยวเจ๋อก็ร้องออกมาเสียงดัง “ซวยล่ะ พี่สะใภ้สามท่านใช้แผนสาวงามกับเถ้าแก่เย่ใช่หรือไม่ เช่นนั้นไม่ได้นะ”
หากพี่สะใภ้สามใช้แผนสาวงามจริงๆ จะทำอย่างไรดี พี่สะใภ้สามงดงามขนาดนี้ เถ้าแก่ผู้นั้นต้องถูกดึงดูดแน่ๆ
ฟ้าดินรับรู้ หลงเซี่ยวเจ๋อมิได้ตั้งใจะโเสียงดังเช่นนี้ เขาเพียงครุ่นคิดไปมาแล้วเผลอร้องขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว ทว่ารอจนเขาได้สติกลับมาก็สายไปเสียแล้ว
มู่จื่อหลิงที่หลับตาพักผ่อนอยู่นั้นจึงถูกทำให้ใอย่างฉับพลัน
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ชั่วพริบตาเดียวก็มีโทสะจนยากระงับ เส้นเืแทบจะะเิออก รวบรวมแรงทั้งร่างกายั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าไว้ที่ขา
ถีบหลงเซี่ยวเจ๋อออกไปจากรถอย่างรวดเร็วและไร้ซึ่งความปรานี จากนั้นก็ก่นด่า “ไสหัวไปตามแผนคนงามของเ้าซะ!”
หลงเซี่ยวเจ๋อผู้น่าสงสารถูกถีบจนลอยละลิ่วออกจากรถม้า ร้องออกมาอย่างน่าสังเวชใจเป็ที่สุด “อ๊าก”
สารถีที่กำลังขับรถม้าเช่นฝูหลินจู่ๆ ก็ถูกร่างคนที่ลอยออกมาทำให้ใยกใหญ่ จึงหยุดรถลงทันที จะไปก็มิใช่ จะไม่ไปก็ไม่ใช่ที่ ถามอย่างขลาดกลัว “หวางเฟย ต้องรอองค์ชายหกหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้องไปสนใจเขา ไปต่อเถิด” มู่จื่อหลิงตอบด้วยโทสะที่ยากจะมอดลง
หลงเซี่ยวเจ๋อสมควรตายผู้นี้ ช่างเลือกเวลาเก่งเสียจริง วันๆ หนึ่งจะะโจนนางใกี่รอบกัน แล้วยังไม่ยอมเลิกรา นางสงสัยเหลือเกินว่าหลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้คันเนื้อคันตัวใช่หรือไม่ จึงได้มองหาแต่การทุบตี
ฝูหลินเห็นหวางเฟยมีพละกำลังถึงเพียงนี้ก็มิกล้าต่อต้าน เหลือบไปมองหลงเซี่ยวเจ๋อที่แขนขาชี้ขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเห็นใจ สะบัดแส้ใส่หลังม้า จากไปโดยไม่เห็นฝุ่น
มู่จื่อหลิงในรถม้าคลึงเท้าข้างที่ถีบจนเจ็บ ส่งเสียงพูด “ตอนนี้สงบลงเสียที” สองมือกอดอกงีบหลับต่ออย่างสบายอกสบายใจ
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นรถม้าวิ่งออกไปจากตรงหน้าตน แถมตัวเองยังกินฝุ่นเข้าไปอีกคำหนึ่ง เขารู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก ทั้งที่ไม่มีเื่ใด แต่เหตุใดต้องไปทะเลาะกับพี่สะใภ้สามด้วยเล่า ช่างน่าสงสารตนเองจริงๆ
“ถุย ถุย!” เมื่อเขาพ่นเศษดินออกมาจนหมด ก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
วิ่งตามรถม้าไปพลางร้องไปด้วยว่า “พี่สะใภ้สามอย่าทิ้งข้า ข้าไม่อยากเดินกลับไป รอข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว...ข้าผิดไปแล้ว”
สิ่งที่ตอบเขากลับเป็เพียงภาพเลือนรางของด้านหลังรถม้าที่จากไปแบบไม่เห็นฝุ่น
-
เมื่อมาถึงจวนอ๋อง เพิ่งจะลงจากรถม้าก็พบกับพวกเสี่ยวหานที่เพิ่งกลับมาจากสวนจิ้งซินพอดี
“นายน้อย บ่าวนำยาไปส่งที่สวนจิ้งซินเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ หรูอี้คอยช่วยอยู่ทางนั้น และเื่ที่คุณหนูมอบหมายบ่าวก็พูดกับท่านแม่ทัพหมดแล้วเ้าค่ะ”
เสี่ยวหานเดินมาด้านหน้ามู่จื่อหลิง รายงานเื่ที่สวนจิ้งซินในวันนี้ออกมาทีละเื่
“อืม ท่านยังกล่าวสิ่งใดอีกหรือไม่” มู่จื่อหลิงถามเสียงแ่เบา
“ท่านแม่ทัพให้ท่านดูแลตนเอง มีเื่อันใดให้ไปพบเขาเพคะ” เสี่ยวหานพูดอย่างปลื้มปีติ
ก่อนหน้านี้ท่านแม่ทัพปฏิบัติกับนายน้อยอย่างไม่เ็าทว่าก็ไม่ใกล้ชิด ยามนี้เมื่อหันมาห่วงใยนายน้อย นางก็ยินดีนัก
มู่จื่อหลิงยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน ดูท่าบิดาผู้นี้ก็มิใช่ไม่รักบุตรสาวเช่นนาง ไม่รู้ว่าเป็เพราะนางสามารถรักษาหลี่เอินได้ หรือเป็เพราะสาเหตุอื่น ถึงได้จู่ๆ ก็ห่วงใยนางเช่นนี้
แต่ก็อาจจะเพราะเมื่อก่อนนี้ได้พูดคุยกันน้อยเกินไป ระหว่างกันจึงมักมีช่องว่างเสมอ ดังนั้นจึงได้ปฏิบัติกับนางอย่างเฉยชาเช่นนั้น นางเชื่อว่าต่อไปจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ
มู่จื่อหลิงนึกถึงเื่ที่้าซื้อร้านยาขึ้นมา จึงถามว่า “เสี่ยวหาน สินเดิมของข้ารวมทั้งหมดแล้วมีกี่ตำลึงทอง”
เสี่ยวหานครุ่นคิดพลางตอบว่า “นายน้อย มีประมาณสามแสนห้าหมื่นตำลึงทองเ้าค่ะ”
สามแสนห้าหมื่นตำลึง เช่นนั้นก็ยังขาดอีกหนึ่งแสน ภายหลังยังต้องมีเงินตกแต่งซ่อมแซมร้าน เงินค่าจ้างพนักงาน เื่ไหนๆ ล้วนต้องใช้เงิน
ไปหาเงินมาจากไหนดี ยามนี้นางถึงตระหนักได้ว่าั้แ่นางมาที่แห่งนี้ ยกเว้นคุ้นเคยกับหลงเซี่ยวเจ๋ออยู่เล็กน้อยแล้ว ก็มิได้รู้จักผู้ใดเพิ่มเลย
นางไม่อยากไปหาหลงเซี่ยวเจ๋ออีก ก่อนหน้านี้ก็ขูดรีดเขาไปเสียขนาดนั้น แม้หลงเซี่ยวเจ๋อจะจ่ายให้อย่างสบายใจ แต่นางก็ยังคงไม่สบายใจ
“เสี่ยวหาน พรุ่งนี้เ้าไปจัดการสินเดิมเสียหน่อย จากนั้นนำสินเดิมไปขายทั้งหมด แล้วไปแลกเป็ตั๋วทองคำ” มู่จื่อหลิงสั่งเสี่ยวหาน
ส่วนเงินที่ยังขาดไปนางคิดวิธีการออกแล้ว ไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ หมอนั่นจะกลับมาหรือไม่
“นายน้อย เหตุใดต้องไปเปลี่ยนเป็ตั๋วทองคำเ้าคะ” เสี่ยวหานถามอย่างไม่เข้าใจ สินเดิมเ่าั้มีเครื่องประดับล้ำค่าอยู่จำนวนมาก ขายไปหมดแล้ว ต่อไปนายน้อยจะสวมใส่สิ่งใดเล่า
“วันนี้ข้าหาร้านค้าได้แล้ว เตรียมจะซื้อมันมาเปิดร้านยา วางใจ ภายหน้าต้องหาเงินกลับคืนมาได้แน่”
มู่จื่อหลิงมิได้กล่าวไปว่าเป็ร้านค้าด้านข้างหอสุราเยวี่ยอวี่ ป้องกันมิให้เสี่ยวหานส่งเสียงซักไซร้ไล่เรียงจนวุ่นวายเช่นหลงเซี่ยวเจ๋อ
สาวใช้ผู้นี้แม้จะเป็สาวใช้ประจำตัวตนเอง ยามปกติก็ควบคุมนางเข้มงวดนัก ทุกครั้งยังยกหลงเซี่ยวอวี่ออกมาพูดถึง กล่าวว่าตัวนางเป็หวางเฟย สิ่งนี้จะกระทำไม่ได้ สิ่งนั้นจะกระทำไม่ได้
ที่จริงแล้วนางอยากบอกมาก นางจะทำอะไรไม่เกี่ยวกับหลงเซี่ยวอวี่แม้สักนิดเดียว นางแค่เป็หวางเฟยแต่ในนามเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็คนในยุคปัจจุบันผู้หนึ่ง ไม่ว่าเื่ใดก็ล้วนถูกมัดไว้ ยากที่จะแก้ออกยิ่งนัก
เปิดร้านยา? ยามนี้นายน้อยมิต้องกังวลเื่กินอยู่ เหตุใดยัง้าเปิดร้านยา
แม้ในใจเสี่ยวหานจะไม่เข้าใจ แต่นางก็มิได้ถามมากความ นายน้อยทำเช่นนี้ย่อมต้องมีความคิดของตนเองแน่ ขอแค่นายน้อยมิได้กระทำเื่ะเืฟ้าสะท้านดินก็เพียงพอแล้ว
“บ่าวทราบแล้ว” เสี่ยวหานตอบรับ
-
มู่จื่อหลิงมาถึงตำหนักอวี่หาน เห็นเงาคนผู้หนึ่งอยู่บนยอดหลังคา นางก็รู้ว่าคนผู้นั้นคือหลงเซี่ยวอวี่
ยามนี้เขากำลังนอนอยู่บนชายคาตำหนักอย่างอิสระ มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ รอบกายล้อมรอบไปด้วยกลิ่นอายอันเ็า เสมือนว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้หยุดหมุนเพราะการมีอยู่ของเขา
เวลานี้ท้องฟ้ายามราตรีมืดสนิทและเงียบสงัดนัก ราวกับว่าทั้งใต้หล้านี้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่ทั้งสูงศักดิ์เยือกเย็น มิอาจดูิ่ได้
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่ก็ดีใจ เื่เงินมีหวังแล้ว
แม้ฉากนี้จะทำให้คนไม่อาจละสายตาได้ แต่นางก็มิกล้าอ้อยอิ่งนานนัก
นางทำท่าทางห้ามส่งเสียงกับเสี่ยวหานที่อยู่ด้านข้าง อยากเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียงเพื่อเปลี่ยนเป็เครื่องแต่งกายสตรีออกมา ทว่าไม่คิดเลยว่าจะถูกหลงเซี่ยวอวี่พบเข้าจนได้
เหมือนหลงเซี่ยวอวี่จะรับรู้ถึงคนด้านล่างเข้า จนหันศีรษะมาน้อยๆ
ดวงตาเย็นเยียบจดจ้องไปที่สตรีที่สวมใส่อาภรณ์ของบุรุษกำลังย่องเข้าไปที่ประตูตำหนักอย่างไม่มีเสียง ดวงตาก็เจือโทสะ ทว่ามิได้กล่าววาจา
เพียงครู่เดียวมู่จื่อหลิงก็ถูกสายตาเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่แช่แข็งไว้
นางขุ่นเคืองเล็กน้อย เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่ไปซื้อหวยนะ ต้องถูกรางวัลเป็แน่ ทุกครั้งที่กลับมาจากข้างนอกในสภาพพิเศษ เป็อันต้องถูกรางวัล ได้พบหลงเซี่ยวอวี่ร่ำไป
ครั้งนี้นางมีธุระกับหลงเซี่ยวอวี่ ได้พบก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก แต่ก็คิดจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเงียบๆ ปิดบังความผิดเสียหน่อย แต่กลับถูกพบเข้าเสียก่อน
นางยังคงคิดจะทำเป็มองไม่เห็นแล้วเดินต่อไป ทว่าจะทำอย่างไรก็ก้าวเท้าไม่ออก
เมื่อมองเสี่ยวหานที่อยู่ด้านข้าง ก็พบว่าน่าเวทนายิ่งกว่านางเสียอีก ใบหน้าใจนซีดขาวเหมือนกระดาษ ศีรษะก้มงุดเสียจนจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว จู่ๆ นางก็รู้สึกขอโทษเสี่ยวหานขึ้นมา
มู่จื่อหลิงจนปัญญา ถอนสายบัวน้อยๆ “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง”
นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดตนเองต้องใจฝ่อเช่นนี้ มิได้ทำเื่ใดผิดเสียหน่อย ทว่าถูกหลงเซี่ยวอวี่มองเช่นนี้ ใจนางก็หวาดกลัวเหลือเกิน สายตาของเขาเหมือนจะกินคนอย่างไรอย่างนั้น
“บ่าว...บ่าวคารวะฉีอ๋อง” เสี่ยวหานทำความเคารพอย่างสั่นเทา
ั้แ่เริ่มจนจบมิกล้าเงยหน้า นายน้อยเหตุใดไม่ทำความเคารพท่านอ๋องทันที จากนั้นค่อยเดินเข้าไปอย่างผ่าเผย
ยามนี้ถูกพบเข้าถึงทำความเคารพ ท่านอ๋องจะโกรธเคืองนายน้อยหรือไม่ โกรธที่นางไม่ทำความเคารพในทันที
หลงเซี่ยวอวี่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใด ยังคงจ้องมู่จื่อหลิงด้วยสายตาเย็นเยียบไม่ขยับไปไหน ราวกับ้ามองนางจนทะลุอย่างไรอย่างนั้น
มู่จื่อหลิงก้มหัวน้อยๆ กัดฟัน ปลุกปลอบตนเองในใจเงียบๆ อย่างไรเสียก็ถูกพบเข้าแล้ว ไม่มีอันใดปิดบังได้แล้ว
แม้จะยังอยู่ในชุดของบุรุษ แต่ยังดีที่เครื่องแต่งกายเป็ระเบียบเรียบร้อย มิได้อเนจอนาถ แม้วันนี้จะกลับมาตอนฟ้ามืดแล้วก็ตาม
แต่ก็มิได้ดึกถึงขนาดนั้น เวลานี้เพิ่งเป็เวลากินข้าวเย็น อีกอย่างเขาคงไม่มาควบคุมกำกับ ถ้า้าควบคุมคงควบคุมไปนานแล้ว ไม่รอจนถึงบัดนี้หรอก
หมอนี่เพียงทำท่าทางเ็ามิให้คนเข้าใกล้ ท่าทางในยามนี้ก็เหมือนกับยามปกติไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีอันใดต้องหวาดกลัว
ใช้โอกาสที่เขายังไม่ไป พูดเื่สำคัญเสีย มิงั้นรอเขาไปแล้วนางจะไปหาเขาที่ใดเล่า ซ้ำยังไม่รู้ว่าต้องรอไปกี่วัน
“หม่อมฉันมีเื่อยากหารือกับท่านอ๋องเพคะ”
แม้มู่จื่อหลิงจะบอกตนเองในใจว่าไม่ต้องหวาดกลัว แต่เสียงที่พูดออกไปก็ยังเบาลงอยู่หลายส่วน ประหนึ่งพูดให้ตนเองฟังอย่างไรอย่างนั้น
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็นึกว่าเขาไม่ได้ยิน จึงปลุกความกล้าหาญในตนเอง กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีธุระกับพระองค์”
......
ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มู่จื่อหลิงทนไม่ไหวแล้ว เป็ตนเองพูดเบาจนเกินไป หรือเป็หลงเซี่ยวอวี่ทำเป็ไม่ได้ยิน หรือไม่สนใจนางมาั้แ่แรก แต่ว่าทำไมเขาต้องแกล้งนางตลอดเยี่ยงนี้
“ท่านอ๋อง ที่หม่อมฉันรักษาองค์ชายห้าในวันนี้ ฝ่าายังไม่จ่ายค่ารักษาเลยเพคะ”
มู่จื่อหลิงเพิ่มระดับเสียงไปอีกเท่าหนึ่ง พูดเื่ราวออกมาในทันที ยามพูดนั้นหน้าไม่แดง บรรยากาศไม่ขัดเขิน
ใช่สิ วันนี้นางรักษาหลงเซี่ยวหนาน ออกแรงไปไม่น้อย ทั้งยังบุ่มบ่ามเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอันตราย แล้วหลงเซี่ยวอวี่เป็ฝ่ายเข้าหานางก่อน มิใช่นางเต็มใจไปเอง
คราวก่อนที่ช่วยกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยนางก็ควรมาคิดเงินที่เขา เพียงแต่คราวก่อนเป็นางที่สมัครใจ อีกทั้งก็ยังนานถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นครั้งก่อนก็ช่างมันแล้วกัน
ครั้งนี้นางร้อนเงินนัก มาคิดเงินค่ารักษากับหลงเซี่ยวอวี่ก็ไม่ผิดอันใด น้องชายเ้ายังไม่ชำระเงินเลย
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสองคนนอกจากมีความสัมพันธ์เป็สามีภรรยาแต่ในนามนี้แล้ว สิ่งอื่นๆ ก็เหมือนกับเป็คนแปลกหน้า ต่างคนต่างทำเื่ของตนเอง มิได้ยุ่งเกี่ยวกัน นางไม่รู้เื่เขา เขาก็ไม่รู้เื่ของนาง
อีกอย่างยายเฒ่าไทเฮาผู้นั้นกล่าวว่าชีวิตของหลงเซี่ยวหนานล้ำค่ามิใช่หรือ ค่ารักษาต้องไม่น้อยแน่ มีค่ารักษานี้แล้ว เื่ร้านค้าคงสามารถแก้ไขไปได้เช่นกัน
เพียงแต่ดูเหมือนว่านางจะคิดอย่างไร้เดียงสาไปเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ยืนขึ้นมาั้แ่เมื่อใด ยามนี้จึงสามารถมองเห็นดวงตาล้ำลึกราวบึงน้ำที่ไร้จุดสิ้นสุดได้อย่างเลือนราง
หลังจากหลงเซี่ยวอวี่ลุกขึ้นมาก็มิได้กล่าวสิ่งใด ไม่ได้มองมู่จื่อหลิงอีก เพียงแค่ทอดมองไปยังความมืดมิดที่อยู่ไกลๆ มิอาจทราบได้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่เมินเฉยต่อตนเอง ก็ประหนึ่งถูกน้ำเย็นๆ สาดใส่ตนเองอย่างหมดสภาพ แช่แข็งทั้งความรู้สึกหวาดกลัวและยินดีไปจนหมดสิ้น และในใจยังปรากฏความเสียใจสายหนึ่ง
นางหัวเราะเยาะเย้ยตนเอง ช่างเถิด บุรุษผู้ไม่เคยเห็นตนเองในสายตามาแต่ไหนแต่ไร เ้ายังรั้นจะเอาหน้าร้อนๆ เข้าไปแนบ
ศักดิ์ศรีของนางไม่อนุญาตให้นางถูกเหยียบย่ำเช่นนี้ นางมิอาจมองเขาอีก เพียงแค่ในเวลาที่เขา้านาง ถึงจะสนใจนางเล็กน้อย
เขา้านางอย่างกำเริบเสิบสาน แต่นางกลับไม่สามารถเข้าไปขอค่าตอบแทนโดยปราศจากความกังวลได้เลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่เหตุใดนางยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้