ณ จวนอ๋องมู่
วันนี้มู่เอ้าเทียนมีความสุขเป็อย่างยิ่ง รู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี บุตรสาวตัวน้อยของเขากลับมาแล้ว ทั้งยังมีหลานชายที่ประพฤติดีและน่ารัก และการแต่งงานของบุตรชายคนโตก็ได้รับการตัดสินใจแล้วเช่นกัน
มู่เฉิงอินอยู่ในจวนจนถึงเย็นก่อนขอตัวกลับ ทุกคนในตระกูลมู่ล้วนชื่นชอบแม่นางที่ทั้งอ่อนโยนและใจดีผู้นี้
มู่เอ้าเทียนเขียนจดหมายสองฉบับติดต่อกันและส่งไปที่ชายแดน แจ้งบุตรชายคนรองของตระกูลมู่ มู่เหล่ย ถึงเื่ที่พี่ใหญ่ของอีกฝ่ายกำลังจะหมั้นหมายกับมู่เฉิงอิน และบอกให้เขารีบกลับมา
ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่มั่นคงและงดงาม
ทว่าตรงกันข้าม วันนี้กลับเป็วันที่ครอบครัวรองวุ่นวายชนิดวิหคโผบินสุนัขวิ่งหนี มู่จี้หงรีบกลับที่พักเพื่อตามหาหลิ่วซื่อ บังเอิญเป็อย่างยิ่งที่มู่ชิงอวิ้นเองก็อยู่ที่นั่นด้วย หลังนางพาเจียงจื่อเฮ่าไปส่งถึงที่หมายก็ไม่ได้สนทนาต่อนานนัก และกลับมาถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี แต่ห้องอาหารใหญ่กลับเต็มไปด้วยเสียงแห่งความสุขและเสียงหัวเราะ มู่ชิงอวิ้นไม่ก้าวเท้าออกไปข้างหน้า นางเพียงสั่งให้ห้องครัวเล็กนำอาหารมาส่งให้ที่ห้องของหลิ่วซื่อ สองแม่ลูกจึงนั่งรับประทานกันอยู่ในห้อง
ตอนที่มู่จี้หงมาถึง ทั้งสองเพิ่งกินไปเพียงครึ่งเดียว
“อวิ้นเอ๋อร์ เ้า้าแต่งเป็ชายารองให้กับองค์รัชทายาทจริงๆ หรือ? ลองคิดดูให้ดีเถิด ต้องรู้ด้วยว่าการแยกเรือนและสร้างตัวนั้นมิง่ายเลย บิดาของเ้าไร้ความสามารถที่จะทำเยี่ยงนั้น”
มู่จี้หงนั่งลงบนเก้าอี้ ขมวดคิ้วเป็ทุกข์พลางถอนหายใจ
“ท่านพ่อ ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านแม่เองก็เห็นด้วยเ้าค่ะ”
มู่ชิงอวิ้นจิบน้ำแกงเข้าไปหนึ่งคำ ก่อนเปิดปากกล่าว
ทุกเื่ในครอบครัวนี้มีหลิ่วซื่อเป็ผู้นำ ดังนั้นเมื่อเกิดเื่ขึ้นจึงเป็นางสองแม่ลูกที่มานั่งปรึกษาหารือกัน ส่วนมู่จี้หงนั้น แค่แจ้งเขาให้รับทราบเป็พอแล้ว
“แต่การสร้างตระกูลง่ายดายปานนั้นเสียที่ใด วันคืนของพวกเราในตอนนี้มิใช่ว่าดีอยู่แล้วหรือ? มีพี่ใหญ่คอยปกป้อง ไม่ว่าเื่ใดล้วนไม่ต้องกังวล แล้วเหตุใดจึงต้องออกไปสร้างตระกูลเองด้วยเล่า?”
มู่จี้หงถูมือของตนไปมา กล่าวพึมพำ
ผู้ใดจะรู้ว่าทันทีที่เขาพูดจบ กลับได้ยินเสียงดังปัง หลิ่วซื่อกระแทกชามน้ำแกงในมือลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง “มู่จี้หง เ้าจะหุบปากได้หรือไม่ ดูท่าทางของเ้าในยามนี้เถิด แต่แรกข้าคงตาบอดจริงๆ เหตุใดจึงชอบคนซื่อที่ไม่มีทางต่อสู้ ยอมถูกเอารัดเอาเปรียบเช่นนี้ได้ กระทั่งความสามารถเพียงน้อยก็ไม่มี เกินพอแล้วจริงๆ!”
หลิ่วซื่อคำรามใส่มู่จี้หงด้วยความรังเกียจ
“ท่านแม่ ใจเย็นเถิดเ้าค่ะ”
มู่ชิงอวิ้นปลอบโยนเสียงเบาข้างกายนาง
มู่จี้หงโดนหลิ่วซื่อบ่นด่า เขาทำได้แค่หดศีรษะ ไม่กล้าเอ่ยปากอันใด
หลิ่วซื่อหายใจหอบอย่างอดรนทนไม่ไหว นางตบเบาๆ ที่มือของมู่ชิงอวิ้น “อวิ้นเอ๋อร์ ต่อจากนี้ไปครอบครัวของเราคงต้องพึ่งพาเ้าแล้ว รอจนเ้าแต่งให้องค์รัชทายาท ฐานะครอบครัวรองของเราคงขยับขึ้นมาได้บ้าง ตอนนั้นจะได้ไม่ต้องยืมจมูกผู้อื่นหายใจอีก”
“เ้าค่ะ ข้าทราบดี ท่านแม่ไม่ต้องเป็ห่วง”
มู่ชิงอวิ้นพยักหน้า
หลิ่วซื่อมองดูบุตรสาวโฉมสะคราญที่อยู่ตรงหน้าตน สายตาของนางยากที่จะเก็บซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้ หากกล่าวถึงสิ่งเดียวที่มู่จี้หงมอบให้นาง ย่อมคือบุตรสาวผู้นี้ที่ทั้งเชื่อฟังน่ารัก รู้จักเหตุผล และมีความห่วงใย
“อวิ้นเอ๋อร์ ั้แ่มู่อันเหยียนกลับมา ชีวิตครอบครัวรองของเราก็ลำบากขึ้นเรื่อยๆ คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นั้นนิสัยเปลี่ยนไปมาก มิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเราเหมือนเก่าก่อน ดังนั้นเ้าต้องสู้เพื่อให้ได้แต่งงานกับองค์รัชทายาท เ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดที่ท่านลุงใหญ่กล่าว ไม่ว่าจะเื่แยกเรือนหรือเื่ใดก็ตาม ต่อให้แต่งเข้าจวนขององค์รัชทายาทแล้ว พวกเราก็จะไม่ย้ายออกจากตระกูลมู่ มู่เอ้าเทียนจะไล่พวกเราได้อย่างไร? เขามิอาจทอดทิ้งพวกเราไปได้ ดังนั้นเ้าไม่ต้องกังวล”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วซื่อ มู่จี้หงก็เงยหน้าขึ้น “นี่เป็ความคิดที่ดี ดีมาก อันใดคือการแยกเรือนสร้างตัว ถ้าพวกเราไม่ย้ายเสียอย่างก็ถือว่าจบแล้วมิใช่หรือ แค่อยู่ที่นี่ ข้าย่อมไม่เชื่อว่าพี่ใหญ่จะสามารถไล่พวกเราออกไปได้”
มู่จี้หงรู้สึกว่าความคิดนี้ดีนัก ใบหน้าที่หมองคล้ำเมื่อครู่พลันสลายไปจนสิ้น กลายเป็สีหน้าสดใสทันควัน
หลิ่วซื่อบันดาลโทสะ “เ้าหุบปากได้หรือไม่?”
สามีของนางผู้นี้ไร้ยางอาย ต่อให้ด่าหรือสาปแช่งสักเท่าใด เพียงหมุนกายก็สามารถทำหน้าตาราวกับไม่มีเื่ได้ เขาทำให้นางโมโหจนจะตายแล้ว!
“เ้าค่ะ รอให้เื่เรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยมาคุยกันอีกทีเถิดเ้าค่ะ”
มู่ชิงอวิ้นเองก็พยักหน้าเช่นกัน
สำหรับนางในตอนนี้ ต้องให้การแต่งงานถูกเตรียมให้เรียบร้อยเสียก่อน นางจึงจะสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้
เพราะนางทราบดีว่าหากพลาดโอกาสนี้ไป นางจะไม่มีวันได้ใกล้ชิดกับคนผู้นั้นอีกตลอดกาล
...
คืนนั้นฮวาเหยียนพักผ่อนจนเต็มอิ่ม และตื่นมาอย่างสดชื่นในเช้าวันรุ่งขึ้น ผ่านไปสักพักนางก็เตรียมตัวจะไปที่หออู๋ิเพื่อรับเงิน เมื่อวานนางนัดกับหลงจู้ของหออู๋ิเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เพียงคิดว่านางจะส่งคนไปขนเงินตำลึงและเดินอย่างองอาจเข้าไปในจวนไท่จื่อ ก่อนจะโยนเงินทีละเหรียญใส่หน้าตี้หลิงหาน เช่นนี้ก็ทำอารมณ์ของฮวาเหยียนดีเป็อย่างยิ่งแล้ว แค่นึกถึงฉากนั้นนางก็รู้สึกสุขใจอย่างหาใดเปรียบ
เฮอะ
คิดว่าข้ามิอาจหาเงินสามล้านตำลึงมาได้ใช่หรือไม่? คิดว่าข้าจะทำให้ท่านพ่อและท่านพี่ต้องแย่ไปด้วยใช่หรือไม่? เฮอะ ตี้หลิงหาน สตรีเช่นข้าจะแสดงให้เ้าดูว่าอันใดที่เรียกว่าร่ำรวยมหาศาล!
วันนี้ฮวาเหยียนพาหยวนเป่าออกจวนมาด้วย สองวันก่อนเป็นางไปด้วยตนเอง ดังนั้นวันนี้จึงคิดอยากเดินเล่นกับเ้าตัวน้อยสักหน่อย
หลังทานอาหารเช้า สองแม่ลูกก็พากันออกจากจวน
ทันทีที่ออกจากประตู พลันเห็นนกกางเขนตัวหนึ่งบนต้นหลิวส่งเสียงร้องไม่หยุด
“ออกจากเรือนพบนกกางเขน หมายความว่าวันนี้ย่อมพบเื่ดี”
ฮวาเหยียนอารมณ์ดียิ่ง นางยกยิ้มจนดวงตาและคิ้วโค้งงอ หญิงสาวสวมผ้าโปร่งบนศีรษะ กระโปรงสีขาวนวล เมื่อนางก้าวเท้า กระโปรงก็สะบัดไหวไปมา ดูราวกับเทพธิดา
หยวนเป่าเองก็สงบลงมากเช่นกัน หลังรู้ว่าโอสถที่ตนเองกลั่นขึ้นขายได้ราคางามเป็อย่างยิ่ง เขาก็เบิกบานใจนัก ตราบใดที่สามารถแบ่งเบาความกังวลใจของท่านแม่ได้ เขาย่อมรู้สึกสุขใจ
หยวนเป่าเงยหน้าขึ้นตามเสียงของฮวาเหยียน หัวเล็กๆ นั้นยกขึ้น ดวงตาคู่งามกะพริบปริบ “ท่านแม่ เหตุใดหยวนเป่าจึงเห็นว่ามันมิใช่นกกางเขน แต่เหมือนอีกามากกว่าเล่าขอรับ”
ฮวาเหยียน “...!”
ลูกรัก เ้าแน่ใจหรือ?
เมื่อฮวาเหยียนมองอย่างละเอียด นกตัวนั้นมีสีดำสนิท เป็อีกาจริงๆ ด้วย
ฮวาเหยียนหยิบก้อนกรวดขึ้นมา ขว้างใส่อีกาตัวนั้นและโดนส่วนลำตัวของมัน มันร้องเสียงดังก่อนบินหนีไป ไม่วายทิ้งขนไว้หลายเส้น
เฮอะ!
ตอนนี้ฮวาเหยียนพอใจแล้ว
นางจูงมือหยวนเป่าเพื่อพาไปเดินเล่น
ทั้งสองไม่ได้ตรงไปที่หออู๋ิทันที ทว่าต่างพากันเดินซื้อของสักพัก ทานมื้อกลางวันที่ร้านใกล้ๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหออู๋ิ นั่นเพราะฮวาเหยียนทราบดี หลงจู้ผู้นั้นโปรดปรานการนอนตื่นสาย ยามปกติมิอาจลุกขึ้นั้แ่เช้าได้ อีกทั้งเวลานัดของพวกนางยังเป็เที่ยงวันอีกด้วย
“ท่านแม่ เงินสามล้านตำลึงเก็บครบแล้วจริงหรือ? หากยังไม่พอ ที่ตัวหยวนเป่ายังมียาสมุนไพรอีกหลายขวด ท่านนำไปขายได้ตามใจชอบนะขอรับ”
หยวนเป่าน้อยจับมือฮวาเหยียน พลางเงยหน้าขึ้นถามด้วยท่าทีเชื่อฟัง แสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้าเขา ใบหน้ารูปไข่เล็กๆ ราวกับหยกขาว งดงามดั่งเด็กน้อยในภาพวาด มองจนหัวใจของฮวาเหยียนอ่อนยวบ ทั้งยังภาคภูมิใจอย่างอธิบายไม่ถูก เด็กน้อยผู้นี้คือบุตรชายของนางเอง
“พอแล้วจริงๆ ลูกรักมิต้องเป็กังวล”
เมื่อได้รับการยืนยันจากฮวาเหยียนอีกครั้ง หยวนเป่าจึงพยักหน้าอย่างวางใจ เงาร่างของคนทั้งสอง หนึ่งร่างใหญ่และหนึ่งร่างเล็ก พากันเดินทอดน่องไปยังหออู๋ิ ตลอดทางไม่รู้ว่าดึงดูดความสนใจของผู้คนไปมากเพียงใด
ฮวาเหยียนกับหยวนเป่าไม่ค่อยมี่เวลาสบายๆ แบบนี้เท่าไรนัก ั้แ่กลับมายังตระกูลมู่ ทั้งสองก็ไม่ได้เดินเล่นกันอย่างสบายใจเลย ดังนั้นสองแม่ลูกในเวลานี้จึงสำราญใจเป็อย่างยิ่ง
ฮวาเหยียนยังซื้อถังหูลู่เย็นมาสองไม้ ทั้งสองถือกันคนละไม้
“แม่นางน้อย เ้ารีบไปเสีย อย่ามาวุ่นวายการค้าของข้า ไม่มีเงินแล้วจะซื้อยาอันใดได้? ไปๆๆ”
เมื่อเดินผ่านประตูร้านขายยา ทันใดนั้นฮวาเหยียนก็ได้ยินเสียงดังจากข้างในด้วยทักษะการฟังที่เยี่ยมยอดของตน นางหยุดเท้าโดยไม่รู้ตัว ต่อมาจึงเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ถูกผลักออกจากร้านขายยา
เนื่องจากลงมือรุนแรงเกินไป เด็กหญิงตัวน้อยจึงล้มลงกับพื้น และทำให้กระโปรงผ้าหยาบของนางเลอะโคลนไปไม่น้อย
แต่นางไม่สนความเ็ป รีบร้อนลุกขึ้น “ท่านลุง ข้ามีแค่เหรียญทองแดงนี้เท่านั้น ท่านย่าของข้าไข้ขึ้นสูงมาก ท่านอย่าใจร้ายกับข้าเลย นำยามาให้ข้าเถิดเ้าค่ะ! ขาดเงินอีกกี่เหรียญ ข้าจะช่วยท่านทำงานแลกเงิน ไม่ว่างานหนักหรือสกปรกเพียงใดข้าล้วนทำได้ทั้งสิ้น ขอร้องท่านแล้ว ได้โปรดเถิดเ้าค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้