ครั้นพ่อค้าเห็นหนิงมู่ฉือเป็สตรีอ่อนแอไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าสัตว์ จึงยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกดข่ม “ขาหมูขานี้หนึ่งจิน[1] ราคาสามตำลึงเงินกับสองอีแปะ”
หนิงมู่ฉือชะงักไป เอ่ยกับพ่อค้าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เถ้าแก่ แบบนี้มันเอาเปรียบกันชัดๆ ตามที่ข้ารู้มา เนื้อสันในเป็ส่วนที่ดีที่สุดราคาแค่สามตำลึงเงินกับสองอีแปะเท่านั้น ขาหมูของเ้ายังดีกว่าเนื้อสันในอีกหรือ”
พ่อค้าขายหมูได้ยินประโยคนี้ของหนิงมู่ฉือก็โมโหจนหนวดเครากระดิก เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “อย่างเ้าจะไปรู้อะไร ในบรรดาร้านขายหมูทั้งหมด หมูของข้าสดใหม่ที่สุด แล้วก็ราคาถูกที่สุด หมูนี้ข้าเพิ่งฆ่าวันนี้เอง ไม่รู้เื่ก็ไม่ต้องมาซื้อ ไปๆ อย่ามาขวางการทำมาหากินของข้า” พ่อค้าขายหมูเอ่ยไล่พร้อมกับแกว่งมีดไปมา
ผู้ดูแลห้องครัวเห็นพ่อค้าขายหมูมีท่าทางน่ากลัว จึงดึงแขนเสื้อหนิงมู่ฉือเอาไว้ “แม่นางหนิง พวกเราไปกันเถิด”
หนิงมาฉือส่งยิ้มให้ผู้ดูแลห้องครัว ทว่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เอ่ยตอบโต้พ่อค้าขายหมูไปว่า “อย่างเ้าหรือเรียกว่าทำมาหากิน ข้าขอถามเ้า ขาหมูนี้สองอีแปะจะขายหรือไม่ขาย!”
พ่อค้าขาหมูขมวดคิ้วจนคิ้วทั้งสองขยับเข้ามาใกล้จนกลายเป็เส้นเดียวกัน พร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เ้ากำลังหาเื่ข้าอยู่ใช่หรือไม่”
หนิงมู่ฉือเอาเท้าวางบนแผง เอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “เ้าคิดว่าข้าไม่กล้าอย่างนั้นหรือ ข้าฝึกยุทธ์มาหลายปี ไม่กลัวคนอย่างเ้าหรอก” เอ่ยพร้อมกับกำหมัดไปด้วย
ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อพ่อค้าหมูได้ยินประโยคนี้ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม ใช้ฟันมีดลงมา อย่างไรหนิงมาฉือก็เติบโตมาในจวนแม่ทัพจึงพอมีฝีมืออยู่บ้าง นางกลัวยอดฝีมือ แต่ไม่มีทางกลัวพ่อค้าหมูคนหนึ่ง นางเอี้ยวตัวหลบได้อย่างรวดเร็ว พ่อค้าหมูเห็นเช่นนั้น ก็นึกว่าตัวเองไปหาเื่ผู้มีฝีมือจริงๆ เข้าให้แล้ว
หนิงมู่ฉือโชว์ป้ายคำสั่งของตำหนักอ๋องไปตรงหน้าพ่อค้าหมู พร้อมกับเอ่ยกับพ่อค้าหมูซึ่งไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียงดังว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังล่วงเกินคนของตำหนักอ๋องเป่ยเยียนในปัจจุบันอยู่!”
พ่อค้าหมูได้ยินเช่นนั้นมีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที รีบยิ้มแห้งพร้อมกับเอ่ยประจบ “ฝีมือแม่นางช่างยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร ต้องโทษข้าที่มีตาแต่หามีแววไม่ จนไปล่วงเกินแม่นางเข้า เช่นนั้นข้าขอยกขาหมูขานี้เพื่อขออภัยท่านก็แล้วกัน แม่นางนำกลับไปได้เลย”
หนิงมู่ฉือถลึงตาใส่พ่อค้าหมู พ่อค้าหมูหวาดกลัวจนเหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผาก ยกมือเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาพร้อมกับยิ้มประจบประแจง
หนิงมู่ฉือแค่นเสียงฮึ ก่อนจะนั่งลงแล้วกล่าววาจาสั่งสอนพ่อขาหมู “เ้าต้องขายหมูในราคาตลาด คือครึ่งจินสองอีแปะให้ข้า อีกอย่างเ้าจะทำการค้าเช่นนี้ไม่ได้ ถ้าให้ข้าเห็นว่าเ้าทำการค้าเช่นนี้อีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
พ่อค้าหมูรีบพยักหน้าทันที ก่อนจะประเคนขาหมูให้ด้วยสองมือ ทั้งยังมอบตับหมูให้อีกหลายชิ้น หนิงมู่ฉือเห็นเช่นนั้นรู้สึกดีใจยิ่งนัก พยักหน้ากับพ่อค้าหมูอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
หนิงมู่ฉือหันไปเห็นไก่สดใหม่ที่แผงร้านขายไก่ร้านหนึ่ง ส่งยิ้มให้ผู้ดูแลห้องครัว ก่อนจะจูงมือพาผู้ดูแลห้องครัวไปที่แผงร้านขายไก่ร้านนั้น ไปถึงนางนั่งยองๆ พินิจดูไก่ที่วางอยู่บนแผง
ผู้ดูแลห้องครัวเอ่ยปากชมอย่างอดไม่ได้ “แม่นางหนิงนี่เก่งจริงๆ พ่อค้าหมูคนนี้ได้ชื่อว่าโเี้ที่สุดในแถวนี้ แต่หมูของเขาก็สดใหม่ที่สุดเช่นกัน ข้าเคยอยากจะซื้อหมูของเขา ทว่ากลับถูกเขาขู่จนกลัวเสียก่อน”
นางได้ฟังให้รู้สึกดีใจยิ่งนัก โบกไม้โบกมืออย่างเขินอาย “ท่านผู้ดูแล กับคนเยี่ยงนี้ต้องใช้วิธีแสดงความเหนือกว่าเข้าสู้เท่านั้น ท่านผู้ดูแล ท่านว่าไก่ตัวนี้เป็อย่างไร” นางชี้ไปที่ไก่ต๊อกตัวหนึ่งซึ่งมีขนสีดำ ตรงคอและหางมีสีเหลือง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ไก่ตัวนี้ดูท่าทางดีทีเดียว เนื้อของมันน่าจะนุ่มเหนียวใช้ได้ การจะทำอาหาร วัตถุดิบก็เป็สิ่งสำคัญเช่นกัน”
ผู้ดูแลห้องครัวมองตามมือของหนิงมู่ฉือที่ชี้ออกไปพลางเอ่ยชม “ไก่ตัวนี้ท่าทางไม่เลว เช่นนั้นพวกเราก็ซื้อไก่ตัวนี้เถิด” เอ่ยจบผู้ดูแลห้องครัวจับไก่ขึ้นมาแล้วเดินจะไปจ่ายเงินให้แก่คนขาย
ทว่านางจับแขนผู้ดูแลห้องครัวเอาไว้เสียก่อน “ท่านผู้ดูแล ปกติท่านซื้อของไม่เคยต่อราคาเลยหรือ”
ผู้ดูแลห้องครัวชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เห็นจักเป็อันใดเลย ที่ตำหนักอ๋องมีมากที่สุดก็คือเงินไม่ใช่หรือ” นางได้ฟังก็ถอนหายใจออกมา ทว่าขณะกำลังจะเอ่ยกลับถูกคนผู้หนึ่งดึงดูดสายตาเอาไว้เสียก่อน
เด็กชายผู้หนึ่งซึ่งเสื้อผ้าขาดวิ่นยืนกอดไก่พลางร้องไห้เอามือเช็ดน้ำตาป้อยๆ นางเดินตรงเข้าไปหาด้วยความแปลกใจ “เด็กน้อย เ้าเป็อะไรไป เหตุใดถึงได้ร้องไห้เช่นนี้”
เด็กชายสะอึกสะอื้นน้ำมูกน้ำตาไหลไม่หยุดขณะเอ่ยตอบ “พี่สาว ท่านแม่ของข้าป่วยหนัก ข้า้าเงินไปซื้อยามารักษาท่านแม่ ข้าขายไก่ตัวนี้ให้ท่านได้หรือไม่”
นางมองไก่ที่เด็กชายกำลังอุ้มอยู่ ไก่ตัวนี้มีหงอนสีแดง แววตาฉลาดหลักแหลม มันกำลังจ้องมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่หยุด นางลูบหัวของเด็กชายพร้อมกับเอ่ยถาม “ได้สิ ไก่ตัวนี้ราคาเท่าไหร่”
เด็กชายได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “พี่สาว ไก่ของบ้านข้าตัวนี้ขันเสียงดังมาก พี่สาวให้เงินข้าห้าตำลึงเงินสองอีแปะก็พอแล้ว ท่านหมอบอกว่า เงินค่ารักษาของท่านแม่ข้าคือห้าตำลึงเงินสองอีแปะ”
นางได้ยินเช่นนี้ถอนหายใจออกมาหนึ่งครา ก่อนจะะโเรียกผู้ดูแลห้องครัว ผู้ดูแลห้องครัวซึ่งมีรูปร่างอ้วนท้วมเดินเข้ามาหานาง นางหยิบเงินจากในถุงเงินของผู้ดูแลห้องครัวออกมาเจ็ดตำลึงเงินสองอีแปะ “เ้ายังเป็เด็ก ออกมาหาเงินเพื่อไปเป็ค่ารักษาให้มารดาไม่ใช่เื่ง่าย เช่นนั้นข้าจะซื้อไก่เ้า ส่วนเงินที่เหลืออีกสองตำลึงเงิน เ้านำไปซื้อของกินดีๆ ให้มารดาเ้าเถิด”
เด็กชายมองหนิงมู่ฉืออย่างซาบซึ้ง นางส่งยิ้มตอบกลับไปให้เด็กชาย ก่อนจะกอดไก่ตัวผู้ที่ซื้อมาจากเด็กชายเอาไว้แล้วหมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับผู้ดูแลห้องครัว เดินมาได้สักพักผู้ดูแลห้องครัวก็มองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แม่นางหนิง ไก่ตัวหนึ่งราคาห้าตำลึงเงินสองอีแปะ ข้าก็ว่าแพงแล้ว แต่เ้ากลับจ่ายเงินซื้อไก่มาถึงตัวละเจ็ดตำลึงเงินสองอีแปะ!”
นางจับแขนผู้ดูแลห้องครัวเอาไว้พร้อมกับยิ้มประจบพลางเอ่ยอย่างเ้าเล่ห์ว่า “ท่านผู้ดูแล เมื่อครู่ท่านเป็คนบอกเองมิใช่หรือว่า ที่ตำหนักอ๋องมีไม่ขาดก็คือเงิน พวกเรากลับกันเถิด เอ๊ะ ท่านดูปลาทางนั้นสิ ว่ายเล่นกันอย่างดีใจ พรุ่งนี้จะเป็วันสิ้นปี พวกเรารีบซื้อแล้วรีบกลับไปที่ตำหนักเถิด”
ผู้ดูแลห้องครัวมองหนิงมู่ฉืออย่างต่อว่าครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเดินไปที่แผงร้านขายปลา ผู้ดูแลห้องครัวเลือกปลาตะเพียน ปลาเฉ่าอวี๋ และปลาไนมาอย่างละสองสามตัว รวมทั้งผักสดใหม่อีกหลายชนิด ทั้งสองเดินกันจนเมื่อยขาถึงค่อยกลับตำหนักอ๋อง
ขณะเดินกลับไปที่ตำหนักอ๋อง หนิงมู่ฉือก็บ่นออกมา “การมาซื้อของสดและของแห้งกลับไปทำอาหารนี้เหนื่อยจริงๆ ท่านผู้ดูแล ปกติต้องลำบากท่านแล้ว”
[1] จิน หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้