วันที่เฉิงชิงเข้าร่วมการสอบเข้าศึกษาสถานศึกษาหนานอี๋ นางหลิ่วและพี่สาวทั้งสามต่างนั่งกันไม่ติด กระวนกระวายยิ่งกว่าตัวเฉิงชิงเองเสียอีก
“นี่ไม่ใช่การสอบเข้ารับราชการเสียหน่อย ไยต้องเป็กันขนาดนี้?”
เฉิงชิงหยอกล้อกับพวกนาง “ขนาดตอนนี้ยังกระวนกระวายเสียขนาดนี้ พอถึงตอนข้าเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการ พวกท่านคงนอนไม่หลับกันทั้งคืน”
บุตรสาวคนที่สามพึมพำ “เมื่อคืนข้าก็นอนไม่หลับแล้ว!”
“พี่สาม พี่ต้องเชื่อมั่นในสติปัญญาของข้าสิ นี่คือต้นกล้าบัณฑิตั้แ่กำเนิดเลยนะ”
เฉิงชิงกล่าวหยอกล้ออีกหลายประโยคเพื่อบรรเทาความกระวนกระวายใจ แต่สภาพจิตใจของนางหลิ่วกลับสับสนวุ่นวายยิ่งนัก
นางหลิ่วไม่รู้ว่าควรจะคาดหวังให้เฉิงชิงสอบผ่านดีหรือไม่
หากสอบเข้าสถานศึกษาได้ เฉิงชิงก็จะอยู่บนเส้นทางของก็สอบเข้ารับราชการอย่างแท้จริงแล้ว นางหลิ่วย่อมเป็ห่วงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลัวว่าความลับเื่เพศของนางจะถูกเปิดเผย
หากสอบไม่ผ่าน… นางหลิ่วมองเห็นถึงการร่ำเรียนอันยากลำบากมาตลอดสองเดือน เห็นว่าเฉิงชิงใส่ใจเื่นี้เป็อย่างยิ่ง เพื่อสิ่งนี้จึงยอมทุ่มเทอย่างเหน็ดเหนื่อย หากเฉิงชิงสอบไม่ผ่าน จะไม่เป็การแสดงให้เห็นว่านางแย่กว่าคนอื่น บุตรชายกำมะลอสุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนเป็ของจริงไม่ได้อยู่ดี!
ระหว่างที่นางหลิ่วรู้สึกสับสนในตัวเอง เฉิงชิงก็สวมเสื้อผ้าออกประตูไปแล้ว
สถานศึกษาหนานอี๋ถูกต่อเติมขยายมาจากโรงศึกษาประจำตระกูลเฉิง เดิมตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอหนานอี๋ นายท่านหกรังเกียจที่พื้นที่ของโรงศึกษาประจำตระกูลมีขนาดเล็ก ยามขยายต่อเติมจึงย้ายมายังทิศเหนือของอำเภอ ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ที่คนตระกูลเฉิงอาศัยอยู่รวมกัน แต่ก็ถือว่าห่างไกลจากความอึกทึกด้วยเช่นกัน ทำให้ศิษย์ของสถานศึกษามีสมาธิในการศึกษาเล่าเรียน
อำเภอหนานอี๋เป็อำเภอที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำ ประตูหลังของบ้านเฉิงชิงก็มีแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่ง ทางน้ำย่อมรวดเร็วกว่าทางบก เฉิงชิงมองไปยังเรือลำน้อยที่สัญจรผ่านไปมาไม่หยุด ล้มเลิกความคิดที่จะเรียก ‘แท็กซี่น้ำ’
ไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก
มิอาจรับประกันได้ว่าจะมีคนเล่นลูกไม้หรือไม่
คนอย่างนายน้อยอวี๋อาจจะมาหยอกนางเล่นอีกรอบ เช่นตั้งใจเรียกนาง ทำให้นางตกน้ำอะไรประเภทนี้ ทำให้นางไม่สามารถเข้าร่วมการสอบได้ ต้องรอไปอีกสามเดือน
ก่อนหน้านี้โรงศึกษาประจำตระกูลเฉิงไม่มีกฎเกณฑ์เหล่านี้ แต่หลังจากขยายต่อเติมเป็ ‘สถานศึกษาหนานอี๋’ แล้ว การบริหารจัดการของสถานศึกษาก็เปลี่ยนเป็ทางการมากขึ้น
เมื่อกล่าวถึงการสอบเข้าศึกษา แน่นอนว่าจัดขึ้นเพื่อรับศิษย์ใหม่จากภายนอก ไม่จำกัดภูมิหลังครอบครัว ขอแค่ไม่เป็คนชนชั้นต่ำ[1]ก็ล้วนสามารถสอบได้ทั้งนั้น
ทุกๆ สามเดือนจะมีโอกาสสอบหนึ่งครั้ง นางเข้าร่วมในการสอบเข้าในเดือนหก เป็การศึกษารอบฤดูร้อน
พลาดครั้งนี้ ก็ได้แต่รอสอบใหม่ในเดือนเก้า
นางคิดจะสอบเข้าสถานศึกษาให้ได้เลยในครั้งนี้ ให้รออีกสามเดือน ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
เฉิงชิงเลิกคิดที่จะนั่งเรือ ไม่ว่าจะเป็เกี้ยวหรือรถม้าล้วนอันตรายทั้งสิ้น ยังคงได้แต่พึ่งสองขานี้เดินไป คิดเสียว่าเป็การออกกำลังกาย
พอนางออกนอกประตูก็มีเพื่อนบ้านทักทายนาง ชื่อเสียงอันดีงามเกี่ยวกับความกตัญญูและความมีอุดมการณ์ของเฉิงชิงแพร่กระจายไปทั่วตรอกหยางหลิ่ว ไม่ว่าฝนตกหรือแดดออก ทุกวันในยามเหม่าจะมีเสียงท่องตำราดังออกมาจากบนห้องใต้หลังคาของบ้านเฉิงชิงตลอดสองเดือนมานี้ไม่มีขาด
ช่างเป็เด็กหนุ่มที่พากเพียรเสียจริง เหล่าเพื่อนบ้านต่างมอบความปรารถนาดีหวังให้เฉิงชิงสอบผ่าน
เฉิงชิงรับความปรารถนาดีของเหล่าเพื่อนบ้านเอาไว้
“เฉิงชิงจะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง!”
สิ้นเสียงเอ่ยคำ ด้านหลังของนางก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้น นายน้อยอวี๋ที่น่ารังเกียจนั่งอยู่บนหลังม้า สายตาจับจ้องลงมายังเฉิงชิง
“พอไม่มีใครให้รีดไถ แม้แต่ค่ารถก็ไม่มีจ่ายจนต้องเดินไปยังสถานศึกษาหรือ? ระยะทางสิบกว่าลี้[2]เชียวนะ พอเ้าเดินไปถึงสถานศึกษา ผู้อื่นเขาก็สอบกันเสร็จหมดแล้ว”
เฉิงชิงไม่สนใจเขา นายน้อยอวี๋จึงขี่ม้ากุบกับๆ ตามเฉิงชิงไป
ระยะทางสิบกว่าลี้น่ะหรือ เฉิงชิงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าก็มาถึงยังสถานศึกษาหนานอี๋ นายน้อยอวี๋ตามมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ตลอดทางเอ่ยถ้อยคำเหน็บแนมเฉิงชิงไม่มีหยุด
เหตุใดเฉิงชิงจึงทนเขา?
เพราะว่าคนแซ่อวี๋เพียงแต่ขยับปากหาได้ลงมือไม่ เฉิงชิงจึงมองเขาเป็ผู้คุ้มกันที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เมื่อมีคุณชายบุตรเ้าเมืองร่วมเดินทาง ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเื่!
สถานศึกษาหนานอี๋ตั้งอยู่บนเนินเล็กเนินหนึ่ง สถานที่ตั้งอยู่ระหว่างทัศนียภาพอันงดงาม บรรยากาศภายนอกไร้ที่ติ
สถานศึกษาแห่งนี้ ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋จ่ายไปทั้งสิ้นสองหมื่นตำลึงเงิน และยังมีคหบดีผู้มีอำนาจในอำเภอคนอื่นบริจาคให้อีกหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง ใช้ระยะเวลาสามปีจึงแล้วเสร็จ นอกจากสภาพแวดล้อมของบัณฑิตที่ดึงดูดผู้คน คุณภาพของการสอนก็ยิ่งทำให้ศิษย์ผู้มีปณิธานจะสอบเข้ารับราชการจิตใจสั่นไหว
สองปีมานี่ ทุกฤดูของการสอบเข้าศึกษา ประตูทางเข้าของสถานศึกษาหนานอี๋จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
เฉิงชิงเดินอย่างเหนื่อยหอบ มองเห็นประตูใหญ่ของสถานศึกษาและผู้เข้าสอบคนอื่นๆ อยู่แต่ไกล ทนมาหนึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดนางก็สามารถสลัดนายน้อยอวี๋ คุณชายบุตรเ้าเมืองที่มีลิ้นอาบยาพิษผู้นี้ได้เสียที จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงยากที่จะซ่อนความยินดีอยู่หลายส่วน
“ขอบคุณคุณชายอวี๋ที่คอยคุ้มกันมาตลอดทาง ครั้งหน้าไม่ต้องมีน้ำใจขนาดนี้ก็ได้ พวกเราแยกกันตรงนี้เถิด!”
หืม?
เ้าเด็กหน้าเหลืองเห็นข้าเป็ผู้คุ้มกันของเขาไปแล้ว!
นายน้อยอวี๋กำลังจะะเิอารมณ์ เขาตามหาเฉิงชิงหวังจะคิดบัญชี สหายร่วมเรียนหลายคนก็เร่งม้าเข้ามาหา ทักทายเขามาแต่ไกล
“อวี๋ซาน วันนี้มีการสอบเข้าสถานศึกษาที่จัดขึ้นฤดูละหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังเป็ฤดูที่เราหยุดพัก ทำไมเ้าถึงไม่ไปเที่ยวเล่นที่เมืองเล่า?”
“นั่นสิ ปกติไม่เคยเห็นเ้าขยันเช่นนี้มาก่อน!”
“อย่าบอกนะว่าวันนี้มีคนในครอบครัวเ้ามาสอบ”
อวี๋ซานยิ้มอย่างเ็า “ข้าไม่มีญาติเช่นนั้น นั่นคือญาติผู้น้องของเฉิงกุย!”
ญาติผู้น้องของเฉิงกุย?
ญาติผู้น้องที่มีเื่ผิดใจกับเฉิงกุยแล้วเกี่ยวอะไรกับอวี๋ซานด้วยเล่า นอกเสียจาก… จะเป็ญาติผู้น้องที่เชิญดวงิญญาบิดากลับมาผู้นั้น!
เหล่าสหายร่วมเรียนต่างหัวเราะ
“อวี๋ซาน ในอำเภอล้วนเล่าลือกันว่าเ้ากับเฉิงกุยรังแกญาติผู้น้องผู้นั้น เ้ายังกล้าที่จะเข้าใกล้เขาอีกหรือ?”
อวี๋ซานใบหน้าดำทะมึน
เขาหันศีรษะกลับไปมองยังประตูทางเข้าสถานศึกษา ไม่สนใจคำเยาะเย้ยของสหายร่วมเรียน เฉิงชิงดูเหมือนจะถูกหญิงรับใช้คนหนึ่งดึงตัวอยู่ ฝ่ายตรงข้ามพยายามยัดกล่องใส่อาหารกล่องหนึ่งส่งให้เฉิงชิง ทว่าถูกเฉิงชิงปฏิเสธ
อวี๋ซานพลิกตัวลงจากม้า เดินไปยังประตูทางเข้าสถานศึกษา
ที่แท้บ้านรองก็สั่งให้หญิงรับใช้นำของบำรุงมาส่งให้ พวกเขาหวาดกลัวเฉิงชิงถึงขนาดต้องเอาใจเช่นนี้?
เฉิงชิงก็ขยันทำให้คนโมโหเสียจริง แม้หญิงรับใช้ที่เป็คนส่งของบำรุงจะส่งต่อถ้อยคำห่วงใยของผู้าุโบ้านรองแล้ว เฉิงชิงก็ยังคงนิ่งไม่รับของที่ฝ่ายตรงข้ามส่งให้
กล่องอาหารเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มีกลิ่นหอมเย็นโชยออกมา ผู้เข้าสอบคนอื่นที่รออยู่ที่ประตูทางเข้าสถานศึกษาต่างก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เฉิงชิงกลับนิ่งไม่ขยับ แล้วหยิบของกินเล่นในอกออกมาแล้วค่อยๆ กัดกิน
แววตาของผู้คนรอบด้านที่มองเฉิงชิงประหนึ่งมองดูคนโง่
แม่นมโจวลอบกระวนกระวายใจ
“นายน้อยเฉิงชิง”
“แม่นมอย่าได้หว่านล้อมอีกเลย เฉิงชิงขอน้อมรับความหวังดีของท่านย่าเลี้ยงไว้ในใจเป็พอ ก่อนที่เฉิงชิงจะมีกำลังพอที่จะแสดงความกตัญญูต่อท่านย่าเลี้ยง มิอาจรับสิ่งของช่วยเหลือจากท่านอีกได้!”
ยามที่เฉิงชิงกล่าวถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผลและคุณธรรมนี้ อวี๋ซานก็เดินเข้ามาใกล้พอที่จะได้ยินถ้อยคำนี้พอดี
ทำไม ตั้งใจพูดให้เขาได้ยินหรือ?
อวี๋ซานคิดจะกล่าวเหน็บแนมเฉิงชิงสักหลายประโยค ทว่าผู้เข้าสอบมากมายอยู่ตรงนั้น ที่นี่คือประตูทางเข้าสถานศึกษา หากเขาเหน็บแนมเฉิงชิงอย่างไร้เหตุผล ไม้ลงทัณฑ์ของสถานศึกษาก็จะฟาดลงมาอย่างไร้ปรานี
เสียงระฆังของสถานศึกษาหนานอี๋ดังขึ้นแล้ว เฉิงชิงจึงเดินเข้าไปยังสถานศึกษาตามหลังผู้เข้าสอบคนอื่น
แม่นมโจวตระหนกสุดชีวิต
หากเฉิงชิงสอบเข้าสถานศึกษาได้จริง ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องโทษนางว่าทำเสียเื่เป็แน่
อวี๋ซานไม่เข้าใจถึงความตระหนกของแม่นมโจว ไยคุณชายบุตรเ้าเมืองต้องไปใส่ใจด้วยว่าหญิงรับใช้คนหนึ่งคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อมองแผ่นหลังของเฉิงชิง สีหน้าของอวี๋ซานก็แสดงถึงความรู้สึกเอาแน่เอานอนไม่ได้
จิตใจของเขาในตอนนี้ก็ว้าวุ่นไม่ต่างกับนางหลิ่ว
เฉิงชิงสอบไม่ผ่านเป็การดีที่สุด เขาจะได้พูดจาเยาะเย้ยฉีกหน้าเ้าเด็กนี่อีกสักครั้ง
แต่หากเฉิงชิงสอบเข้าสถานศึกษาได้เล่า ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับได้?
เพราะอีกฝ่ายจะตกอยู่ภายในกำมือของเขา
เฉิงชิงเข้ามาในสถานศึกษาหนานอี๋เมื่อไร เขาจะต้องสั่งสอนการประพฤติตัวให้เฉิงชิงใหม่ทั้งหมด!
[1] คนชนชั้นต่ำ หมายถึงกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพที่คนในสังคมไม่ยอมรับ อาทิ ทาส โสเภณี สัปเหร่อ เพชฌฆาต เป็ต้น
[2] ลี้ คือมาตราวัดระยะทางของจีน 1 ลี้ ยาวประมาณ 500 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้